พบผลลัพธ์ทั้งหมด 817 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1269/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการต่อสู้คดีและการกู้ยืมเงินของบริษัท การกู้ยืมเงินไม่เกินวัตถุประสงค์
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ซึ่งตามสัญญามีข้อความชัดว่าผู้กู้ได้รับเงินไปแล้วจำเลยต่อสู้เพียงว่าไม่ได้รับเงินไป เหตุใดจึงไม่มีการรับเงินอันจะทำให้สัญญาหรือหนี้ที่ระบุไว้ไม่สมบูรณ์ จำเลยหาได้กล่าวอ้างอย่างใดไม่ ดังนี้จำเลยจะขอนำสืบไม่ได้ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.ม.94
ในวัตถุประสงค์ของบริษัทข้อ 11 ระบุไว้ว่า "ฯลฯทำการนำทรัพย์สินของบริษัทที่มีอยู่ทั้งหมดหรือบางส่วน ฯลฯ จำนำ จำนอง เอาค้ำประกันจำหน่ายไปหมุนส่งเป็นตัวเงินหรือจัดการอย่างใดก็ได้สุดแต่บรีษัทจะเห็นสมควร " ดังนี้เมื่อการกู้ยืมโดยเอาทรัพย์สินของบริษัทมอบไว้หรือตราไว้เป็นประกันเงินกู้ซึ่งเรียกว่าจำนำหรือจำนองไว้แล้ว และการกู้ยืมธรรมดาซึ่งทรัพย์สินของบริษัทจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้โดยสิ้นเชิงย่อมเป็นที่เห็นได้ชัดว่าอยู่ในอำนาจของบริษัทที่จะทำได้การกู้เช่นนี้จึงไม่เป็นการนอกวัตถุประสงค์ของบริษัทจำเลย
ฎีกาที่ 246/2485,799/2493,1111/2496
ในวัตถุประสงค์ของบริษัทข้อ 11 ระบุไว้ว่า "ฯลฯทำการนำทรัพย์สินของบริษัทที่มีอยู่ทั้งหมดหรือบางส่วน ฯลฯ จำนำ จำนอง เอาค้ำประกันจำหน่ายไปหมุนส่งเป็นตัวเงินหรือจัดการอย่างใดก็ได้สุดแต่บรีษัทจะเห็นสมควร " ดังนี้เมื่อการกู้ยืมโดยเอาทรัพย์สินของบริษัทมอบไว้หรือตราไว้เป็นประกันเงินกู้ซึ่งเรียกว่าจำนำหรือจำนองไว้แล้ว และการกู้ยืมธรรมดาซึ่งทรัพย์สินของบริษัทจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้โดยสิ้นเชิงย่อมเป็นที่เห็นได้ชัดว่าอยู่ในอำนาจของบริษัทที่จะทำได้การกู้เช่นนี้จึงไม่เป็นการนอกวัตถุประสงค์ของบริษัทจำเลย
ฎีกาที่ 246/2485,799/2493,1111/2496
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1262/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์และแจ้งข้อความเท็จ: การพิจารณาความผิดหลายกระทงและการกำหนดโทษ
เสมียนพนักงานการรถไฟฯ เป็นเจ้าพนักงานตาม พระราชบัญญัติการรถไฟพ.ศ.2494 มาตรา18 และตาม กฎหมายอาญา
ดังนั้นเมื่อเสมียนพนักงานขายตั๋วของการรถไฟฯ ยักยอกเงินที่ขายตั๋วได้และจดแจ้งเท็จลงในบัญชีจำนวนขายตั๋วจึงมีความผิดตาม กฎหมายอาญา มาตรา 131 และ 230 รวม 2 กระทง
ดังนั้นเมื่อเสมียนพนักงานขายตั๋วของการรถไฟฯ ยักยอกเงินที่ขายตั๋วได้และจดแจ้งเท็จลงในบัญชีจำนวนขายตั๋วจึงมีความผิดตาม กฎหมายอาญา มาตรา 131 และ 230 รวม 2 กระทง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1262/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดยักยอกทรัพย์และแจ้งบัญชีเท็จของเจ้าพนักงานการรถไฟ
เสมียนพนักงานการรถไฟ ฯ เป็นเจ้าพนักงานตาม พ.ร.บ.การรถไฟ พ.ศ.2494 ม.18 และ ตาม ก.ม.อาญา
ดังนั้นเมื่อเสมียนพนักงานขายตั๋วของการรถไฟ ฯ ยักยอกเงินที่ขายตั๋วได้และจดแจ้งเท็จลงในบัญชีจำนวนขายตั๋วจึงมีความผิดตาม ก.ม.อาญา ม.131 และ 230 รวม 2 กะทง
ดังนั้นเมื่อเสมียนพนักงานขายตั๋วของการรถไฟ ฯ ยักยอกเงินที่ขายตั๋วได้และจดแจ้งเท็จลงในบัญชีจำนวนขายตั๋วจึงมีความผิดตาม ก.ม.อาญา ม.131 และ 230 รวม 2 กะทง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1243/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมที่ทำโดยมารดา เกี่ยวกับทรัพย์สินบุตรผู้เยาว์ ไม่สมบูรณ์และไม่ผูกพัน
จำเลยขอให้ศาลวินิจฉัยเบื้องต้นว่าสัญญาท้ายคำให้การและฟ้องแย้งเป็นสัญญาประนีประนอม ดังนี้ประเด็นข้อวินิจฉัยก็อยู่ที่ว่าข้อความที่ปรากฎในเอกสารฉบับนั้นจะเป็นการเพียงพอตาม ก.ม.ที่ศาลจะบังคับให้เป็นไปตามนั้นหรือไม่เท่านั้น ถ้าศาลเห็นว่ายังไม่มีเหตุผลเพียงพอหรือข้อความกำกวม จำเป็นต้องฟังพยานหลักฐานอื่นต่อไปก่อนก็อาจระงับไว้โดยยังไม่วินิจฉัยปัญหาเบื้องต้นในชั้นนี้ก็ได้
อนึ่งยังปรากฎต่อไปว่าศาลได้เปรียบเทียบให้คู่ความอ้างนายเย๊ะเป็นพยานคนกลางแต่เพียงคนเดียว โจทก์ไม่ยอมฉนั้นเมื่อศาลชั้นต้นเรียกนายเย๊ะเข้ามาเป็นพยานศาลและรับฟังตามคำพยานปากนี้ขึ้นปรับคดีให้โจทก์แพ้จึงเป็นการไม่ชอบ
สัญญาที่จำเลยขอให้วินิจฉัยเบื้องต้นโดยอ้างว่าเป็นสัญญาประนีประนอม ฯ นั้น แม้จะยอมรับฟังว่าเป็นสัญญาประนีประนอมแต่บุตรของโจทก์ทั้ง 3 ยังไม่บรรลุนิติภาวะฉนั้นมารดาย่อมไม่มีสิทธิที่จะทำสัญญาประนีประนอม ฯ เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของบุตรผู้เป็นเด็กโดยลำพังตาม ป.พ.พ.ม.1546 ข้อพิพาทจึงไม่อาจระงับไปได้ คดีจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป
อนึ่งยังปรากฎต่อไปว่าศาลได้เปรียบเทียบให้คู่ความอ้างนายเย๊ะเป็นพยานคนกลางแต่เพียงคนเดียว โจทก์ไม่ยอมฉนั้นเมื่อศาลชั้นต้นเรียกนายเย๊ะเข้ามาเป็นพยานศาลและรับฟังตามคำพยานปากนี้ขึ้นปรับคดีให้โจทก์แพ้จึงเป็นการไม่ชอบ
สัญญาที่จำเลยขอให้วินิจฉัยเบื้องต้นโดยอ้างว่าเป็นสัญญาประนีประนอม ฯ นั้น แม้จะยอมรับฟังว่าเป็นสัญญาประนีประนอมแต่บุตรของโจทก์ทั้ง 3 ยังไม่บรรลุนิติภาวะฉนั้นมารดาย่อมไม่มีสิทธิที่จะทำสัญญาประนีประนอม ฯ เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของบุตรผู้เป็นเด็กโดยลำพังตาม ป.พ.พ.ม.1546 ข้อพิพาทจึงไม่อาจระงับไปได้ คดีจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1243/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความกับทรัพย์สินเด็ก: สิทธิของมารดา, ผลผูกพัน, และการพิจารณาคดี
จำเลยขอให้ศาลวินิจฉัยเบื้องต้นว่าสัญญาท้ายคำให้การและฟ้องแย้งเป็นสัญญาประนีประนอม ดังนี้ประเด็นข้อวินิจฉัยก็อยู่ที่ว่าข้อความที่ปรากฏในเอกสารฉบับนั้นจะเป็นการเพียงพอตามกฎหมายที่ศาลจะบังคับให้เป็นไปตามนั้นหรือไม่เท่านั้น ถ้าศาลเห็นว่ายังไม่มีเหตุผลเพียงพอ หรือข้อความกำกวมจำเป็นต้องฟังพยานหลักฐานอื่นต่อไปก่อนก็อาจระงับไว้ โดยยังไม่วินิจฉัยปัญหาเบี้องต้นในชั้นนี้ก็ได้
อนึ่งยังปรากฏต่อไปว่าศาลได้เปรียบเทียบให้คู่ความอ้างนายเย๊ะเป็นพยานคนกลางแต่เพียงคนเดียว โจทก์ไม่ยอม ฉะนั้นเมื่อศาลชั้นต้นเรียกนายเย๊ะเข้ามาเป็นพยานศาลและรับฟังตามคำพยานปากนี้ขึ้นปรับคดีให้โจทก์แพ้จึงเป็นการไม่ชอบ
สัญญาที่จำเลยขอให้วินิจฉัยเบื้องต้นโดยอ้างว่าเป็นสัญญาประนีประนอมฯนั้น แม้จะยอมรับฟังว่าเป็นสัญญาประนีประนอมแต่บุตรของโจทก์ทั้ง 3 ยังไม่บรรลุนิติภาวะฉะนั้นมารดาย่อมไม่มีสิทธิที่จะทำสัญญาประนีประนอมฯ เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของบุตรผู้เป็นเด็กโดยลำพังตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546ข้อพิพาทจึงไม่อาจระงับไปได้ คดีจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป
อนึ่งยังปรากฏต่อไปว่าศาลได้เปรียบเทียบให้คู่ความอ้างนายเย๊ะเป็นพยานคนกลางแต่เพียงคนเดียว โจทก์ไม่ยอม ฉะนั้นเมื่อศาลชั้นต้นเรียกนายเย๊ะเข้ามาเป็นพยานศาลและรับฟังตามคำพยานปากนี้ขึ้นปรับคดีให้โจทก์แพ้จึงเป็นการไม่ชอบ
สัญญาที่จำเลยขอให้วินิจฉัยเบื้องต้นโดยอ้างว่าเป็นสัญญาประนีประนอมฯนั้น แม้จะยอมรับฟังว่าเป็นสัญญาประนีประนอมแต่บุตรของโจทก์ทั้ง 3 ยังไม่บรรลุนิติภาวะฉะนั้นมารดาย่อมไม่มีสิทธิที่จะทำสัญญาประนีประนอมฯ เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของบุตรผู้เป็นเด็กโดยลำพังตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546ข้อพิพาทจึงไม่อาจระงับไปได้ คดีจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1188/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีละเมิดจากเรือชน: ใช้ ป.พ.พ.ม.448 แม้มีกฎหมายเฉพาะ
การฟ้องคดีเรียกค่าเสียหายเนื่องจากเหตุเรือโดนกันนั้นต้องใช้อายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ.ม.448
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2499)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2499)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1188/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องค่าเสียหายจากเรือชน: ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งฯ หรือกฎหมายเดินเรือพิเศษ
การฟ้องคดีเรียกค่าเสียหายเนื่องจากเหตุเรือโดนกันนั้นต้องใช้อายุความ 1 ปี ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2499)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1170/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงคำให้การและการนำสืบพยานหักล้างเอกสารในคดีแพ่ง
ในคำให้การของจำเลยปฏิเสธการกู้ยืมตามฟ้อง พอมาในชั้นพิจารณาตอนแรกจำเลยแถลงรับโดยเข้าใจผิดว่าจำเลยลงชื่อในสัญญากู้ตามฟ้องจริง ศาลจึงมีคำสั่งให้จำเลยนำสืบก่อน แล้วจำเลยยื่นคำร้องว่าที่แถลงไปนั้นคลาดเคลื่อนขอดูต้นเอกสาร ครั้นตรวจเอกสารต้นสัญญากู้แล้วจำเลยปฏิเสธว่าไม่ใช่ลายมือจำเลยในสัญญากู้ที่ฟ้อง ดังนี้ ศาลย่อมมีคำสั่งในหน้าที่นำสืบใหม่ให้โจทก์เป็นฝ่ายนำสืบก่อนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1170/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำให้การและการนำสืบพยาน การรับรองเอกสาร และการหักล้างเอกสาร
ในคำให้การของจำเลยปฏิเสธการกู้ยืมตามฟ้อง พอมาในชั้นพิจารณาตอนแรกจำเลยแถลงรับโดยเข้าใจผิดว่าจำเลยลงชื่อในสัญญากู้ตามฟ้องจริง ศาลจึงมีคำสั่งให้จำเลยนำสืบก่อน แล้วจำเลยยื่นคำร้องว่าที่แถลงไปนั้นคลาดเคลื่อนขอดูต้นเอกสาร ครั้นตรวจเอกสารต้นสัญญากู้แล้วจำเลยปฏิเสธว่าไม่ใช่ลายมือจำเลยในสัญญากู้ที่ฟ้องดังนี้ ศาลย่อมมีคำสั่งในหน้าที่นำสืบใหม่ให้โจทก์เป็นฝ่ายนำสืบก่อนได้+
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1144/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมโนสาเร่ ค่าเช่าต่ำ & การใช้ห้องเช่าเพื่อค้า ไม่ได้รับความคุ้มครอง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
คดีฟ้องขับไล่ออกจากห้องเช่าเดือนละ 12 บาท เป็นคดีมโนสาเร่อันต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ม.224 เมื่อฟ้องอุทธรณ์ส่วนมากเป็นข้อเท็จจริงและศาลชั้นต้นสั่ง "รับอุทธรณ์" เฉย ๆ ไม่มีข้อความแสดงว่ารับรองว่าให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย กรณีก็ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้น ศาลอุทธรณ์หาจำต้องรับวินิจฉัยให้ไม่
อันว่าสิทธิรับมอบให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ม.248 นั้นต้องเป็นข้อที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว คดีนี้ข้อเท็จจริงต้องห้ามมาแต่ชั้นอุทธรณ์แล้วจะกลับมารับรองเพื่อรื้อฟื้นให้ศาลฎีกาวินิจฉัยใหม่หาได้ไม่
การใช้ห้องเช่าทำเป็นร้านตัดผมเป็นการใช้เพื่อทำการค้าหาใช่เคหะอันจะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ ไม่
อันว่าสิทธิรับมอบให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ม.248 นั้นต้องเป็นข้อที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว คดีนี้ข้อเท็จจริงต้องห้ามมาแต่ชั้นอุทธรณ์แล้วจะกลับมารับรองเพื่อรื้อฟื้นให้ศาลฎีกาวินิจฉัยใหม่หาได้ไม่
การใช้ห้องเช่าทำเป็นร้านตัดผมเป็นการใช้เพื่อทำการค้าหาใช่เคหะอันจะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ ไม่