คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วิเทศจรรยารักษ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 817 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1144/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีมโนสาเร่และการอุทธรณ์ข้อเท็จจริง: ข้อจำกัดตามกฎหมายและข้อยกเว้น
คดีฟ้องขับไล่ออกจากห้องเช่าเดือนละ 12 บาทเป็นคดีมโนสาเร่อันต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 224 เมื่อฟ้องอุทธรณ์ส่วนมากเป็นข้อเท็จจริง และศาลชั้นต้นสั่ง " รับอุทธรณ์" เฉยๆ ไม่มีข้อความแสดงว่ารับรองว่าให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย กรณีก็ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้น ศาลอุทธรณ์หาจำต้องรับวินิจฉัยให้ไม่
อันว่าสิทธิรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม มาตรา 248นั้นต้องเป็นข้อที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว คดีนี้ข้อเท็จจริงต้องห้ามมาแต่ชั้นอุทธรณ์แล้วจะกลับมารับรองเพื่อรื้อฟื้นให้ศาลฎีกาวินิจฉัยใหม่หาได้ไม่
การใช้ห้องเช่าทำเป็นร้านดัดผมเป็นการใช้เพื่อทำการค้าหาใช่เคหะอันจะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1075/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโต้แย้งแหล่งที่มาของช้างที่ถูกริบ และขอบเขตการฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริง
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องให้ริบช้างของจำเลยโดยฟังว่าช้างถูกนำเข้ามาจากประเทศพะม่านั้น จำเลยจะฎีกาคัดค้านว่าช้างมิได้ถูกนำมาจากประเทศพะม่าแต่เช่าผู้อื่นมาจากในเขตประเทศไทยไม่ได้เพราะถือว่าจำเลยฎีกาค้านในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาในเรื่องนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1075/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโต้แย้งแหล่งที่มาของช้างที่ถูกริบ: ข้อจำกัดในการฎีกาข้อเท็จจริง และการปรับบทลงโทษ
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องให้ริบช้างของจำเลยโดยฟังว่าช้างถูกนำเข้ามาจากประเทศพม่านั้น จำเลยจะฎีกาคัดค้านว่าช้างมิได้ถูกนำมาจากประเทศพม่าแต่เช่าผู้อื่นมาจากในเขตประเทศไทยไม่ได้ เพราะถือว่าจำเลยฎีกาค้านในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาในเรื่องนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1074/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวและการป้องกันผู้อื่น: การใช้กำลังเพื่อป้องกันภัยอันตรายถึงชีวิต
ผู้ตายใช้มีดแทงผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านร้องให้ช่วย จำเลยที่ 1 จึงใช้ไม้ตี 1 ทีและจำเลยที่ 2 ใช้ปืนยิง 1 นัดพร้อมๆ กันทั้งสองคน
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามพยานโจทก์ว่าผู้ตายใช้มีดโถมเข้าแทงผู้ใหญ่บ้านๆ หลบล้มลงและเรียกให้ช่วย จำเลยที่ 2 จึงยิงผู้ตาย 1 นัดในทันทีทันใดขณะที่ยิงนั้นผู้ตายกำลังจะแทงผู้ใหญ่บ้าน ตัวมีดห่างตัวผู้ใหญ่บ้านในขณะที่ล้มอยู่ประมาณ 1 ศอก ถ้าไม่ยิงก่อนนายแผนอาจถูกทำร้ายถึงตายได้ ดังนั้นการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1074/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวและการป้องกันผู้อื่น: การกระทำเพื่อป้องกันภัยอันตรายถึงแก่ชีวิต
ผู้ตายใช้มีดแทงผู้ใหญ่บ้าน ๆ ร้องให้ช่วย จำเลยที่ 1 จึงใช้ไม้ตี 1 ทีและจำเลยที่ 2 ใช้ปืนยิง 1 นัดพร้อม ๆ กันทั้งสองคน
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามพยานโจทก์ผู้ตายใช้มีดโถมเข้าแทงผู้ใหญ่บ้าน ๆ หลบล้มลงและเรียกให้ช่วย จำเลยที่ 2 จึงยิงผู้ตาย 1 นัด ในทันทีทันใดขณะที่ยิงนั้นผู้ตายกำลังจะแทงผู้ใหญ่บ้าน ตัวมีดห่างตัวผู้ใหญ่บ้าน ในขณะที่ล้มอยู่ประมาณ 1 ศอก ถ้าไม่ยิงก่อนนายแผ่นอาจถูกทำร้ายถึงตายได้ ดังนั้นการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1044/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับโทษจำคุกเพื่อการกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย ต้องเป็นโทษจำคุกที่ได้รับมาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง โดยแต่ละครั้งเป็นการกระทำความผิดใหม่
ปัญหาว่าโทษครั้งก่อนที่จำเลยกระทำผิดมาจะเข้าเกณฑ์ที่ศาลจะใช้ดุลยพินิจวางโทษจำเลยฐานมีสันดานเป็นผู้ร้ายตาม พ.ร.บ.กักกันฯ พ.ศ.2479 หรือไม่นั้น ถือว่าเป็นปัญหาข้อ ก.ม.ฎีกาได้
ตาม พ.ร.บ.กักกัน ฯ พ.ศ.2479 ม.8 ว่า บุคคลที่มีสันดานเป็นผู้ร้ายจะต้องเป็นบุคคลที่เคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง ๆ คำว่า "ครั้ง " ตามมาตรานี้หมายความว่าเคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้วซึ่งเรียกได้ว่าครั้งที่ 1 ยังขืนไปกระทำความผิดขึ้นใหม่และเมื่อศาลพิพากษาลงโทษสำหรับความผิดครั้งใหม่นี้จึงเป็นครั้งที่ 2 หาใช่เรื่องบุคคลที่จะทำความผิดมาแล้วหลายเรื่องหรือกระทำความผิดหลายกะทงและถูกแยกฟ้องเป็นหลายสำนวนไม่ ในกรณีเช่นนี้เมื่อศาลพิพากษาลงโทษตาม+เรียกได้ว่ากระทำความผิดเพียงครั้งเดียวเพราะยังมิได้กระทำความผิดอันใดขึ้นใหม่หลังจากที่ได้รับโทษตามคำพิพากษาของศาลมาแล้วจะเอาโทษสำหรับความผิดในเรื่องก่อน ๆ มาวินิจฉัยเป็นหลายครั้งไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1044/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับโทษจำคุกเพื่อเพิ่มโทษกักกันตาม พ.ร.บ.กักกันฯ ต้องพิจารณาเป็นรายครั้ง หากยังไม่เคยได้รับโทษจำคุกถึง 2 ครั้ง การเพิ่มโทษกักกันจึงไม่ชอบ
ปัญหาว่าโทษครั้งก่อนที่จำเลยกระทำผิดมาจะเข้าเกณฑ์ที่ศาลจะใช้ดุลพินิจวางโทษจำเลยฐานมีสันดานเป็นผู้ร้ายตาม พระราชบัญญัติกักกันฯ พ.ศ.2479 หรือไม่นั้น ถือว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายฎีกาได้
ตาม พระราชบัญญัติกักกันฯ พ.ศ.2479 มาตรา 8 ว่า บุคคลที่มีสันดานเป็นผู้ร้ายจะต้องเป็นบุคคลที่เคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้งๆ คำว่า "ครั้ง" ตามมาตรานี้หมายความว่าเคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้วซึ่งเรียกได้ว่าครั้งที่ 1 ยังขืนไปกระทำความผิดขึ้นใหม่ และเมื่อศาลพิพากษาลงโทษสำหรับความผิดครั้งใหม่นี้จึงเป็นครั้งที่ 2 หาใช่เรื่องบุคคลที่จะทำความผิดมาแล้วหลายเรื่องหรือกระทำความผิดหลายกระทงและถูกแยกฟ้องเป็นหลายสำนวนไม่ ในกรณีเช่นนี้เมื่อศาลพิพากษาลงโทษตามสำนวนนั้นได้เรียกได้ว่ากระทำความผิดเพียงครั้งเดียวเพราะยังมิได้กระทำความผิดอันใดขึ้นใหม่หลังจากที่ได้รับโทษตามคำพิพากษาของศาลมาแล้ว จะเอาโทษสำหรับความผิดในเรื่องก่อนๆ มาวินิจฉัยเป็นหลายครั้งไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1029/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขบทมาตราความผิดและกระทงโทษในคดีอาญา, จำเลยฎีกาขอลดหย่อนโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา250 ข้อ2,3 มาตรา 184 และ มาตรา 120 รวม 3 กระทงเมื่อลดโทษตาม มาตรา 59 แล้วคงรวมกระทงลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต ตาม มาตรา 36
โจทก์จำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยผิดตาม มาตรา 250 ข้อ 2 ไม่ใช่ข้อ 3 และที่ว่ารวมกระทงลงโทษตาม มาตรา 36 ก็ไม่ถูกต้องเป็น มาตรา 71 จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นตามบทมาตราดังกล่าวนอกจากที่แก้คงยืนดังนี้ จำเลยฎีกาขอให้ลดหย่อนผ่อนโทษได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1029/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานและแก้ไขโทษรวมกระทง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ก.ม.อาญา ม.250 ข้อ 3 ม.184 และ ม.120 รวม 3 กะทงเมื่อลดโทษตาม ม.59 แล้วคงรวมกะทงลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต ตาม ม.36
โจทก์จำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.อ.ม.245 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยผิดตาม ม.250 ข้อ 2 ไม่ใช่ข้อ 3 และที่ว่ารวมกะทงลงโทษตาม ม.36 ก็ไม่ถูกต้องเป็น ม.71 จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นตามบทมาตราดังกล่าวนอกจากที่แก้คงยืนดังนี้ จำเลยฎีกาขอให้ลดหย่อนผ่อนโทษได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1014/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าหน้าที่รับเงินค่าปรับยักยอกเงินของราชการ มีความผิดฐานทุจริตในหน้าที่
การที่จำเลยรับราชการเป็นพลตำรวจเป็นเจ้าหน้าที่รับเงินและปกครองดูแลรักษาเงินค่าเปรียบเทียบปรับอันเป็นเงินของทางราชการตำรวจที่ได้รับไว้ เมื่อนำส่งให้ไม่ครบจำนวนที่รับไว้ก็ย่อมได้ชื่อว่ากระทำการทุจริตในหน้าที่ยักยอกเงินรายนี้เป็นอาณาประโยชน์ของตนเสียเอง
of 82