พบผลลัพธ์ทั้งหมด 817 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1434/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุสุดวิสัยกับการพยายามฆ่า: ปืนแก๊บชำรุด
ใช้ปืนแก๊บที่บรรจุกระสุนและดินปืนไว้นานจนดินปืนชื้นยิงจนแก๊บแตกเป็นประกายไฟ แต่กระสุนไม่ลั่นนั้น ถือได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยของจำเลยที่จะป้องกันได้มาขัดขวางเสีย จำเลยย่อมมีผิดฐานพยายามฆ่าคน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1398/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่ชำระค่าเช่าของผู้เช่า แม้มีการต่อสู้คดีก่อนหน้า และการผิดนัดชำระค่าเช่าเป็นเหตุให้ถูกขับไล่
เดิมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2494 โจทก์เคยฟ้องขับไล่จำเลยโดยอ้างว่าจำเลยเป็นผู้อาศัยนายเป่งส่ำนายเป่งส่ำได้ออกจากห้องพิพาทไปแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิอยู่ต่อไป คดีนั้นจำเลยต่อสู้ว่าจำเลยเองเป็นผู้เช่าจากโจทก์และได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยเป็นผู้เช่าและได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ พิพากษายกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาฎีกาที่1356/2496ซึ่งอ่านให้โจทก์จำเลยฟังเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2497
ดังนี้จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าตั้งแต่เดิมคือตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2494(วันที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยอาศัย)ตลอดมา จะอ้างว่าระหว่างพิจารณาคดีเรื่องก่อน (ตั้งแต่ ก.พ. 94 ถึงวันฟังคำพิพากษาศาลฎีกา 24 เม.ย. 97) จำเลยไม่ต้องชำระเพราะคดีนั้นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยอาศัย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่านั้นไม่ได้
จำเลยกลับนำค่าเช่าสำหรับเดือนมกราคม กับเดือนกุมภาพันธ์2497 รวม 2 เดือนไปชำระโจทก์โดยถือว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกย้อนหลังขึ้นไปจากนี้ เมื่อโจทก์ไม่ยอมรับจึงไม่ใช่ความผิดของโจทก์ และพฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าแล้ว ทั้งต่อมาเดือนเมษายนโจทก์ส่งคนไปเก็บค่าเช่าที่ค้างทั้งหมดรวม 39 เดือนจำเลยก็ไม่ชำระโจทก์เตือนอีกจำเลยก็ไม่ชำระ ดังนี้เรียกว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่ามากกว่า 2 คราวติดๆ กันตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ มาตรา 16(1) แล้ว โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้
ดังนี้จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าตั้งแต่เดิมคือตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2494(วันที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยอาศัย)ตลอดมา จะอ้างว่าระหว่างพิจารณาคดีเรื่องก่อน (ตั้งแต่ ก.พ. 94 ถึงวันฟังคำพิพากษาศาลฎีกา 24 เม.ย. 97) จำเลยไม่ต้องชำระเพราะคดีนั้นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยอาศัย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่านั้นไม่ได้
จำเลยกลับนำค่าเช่าสำหรับเดือนมกราคม กับเดือนกุมภาพันธ์2497 รวม 2 เดือนไปชำระโจทก์โดยถือว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกย้อนหลังขึ้นไปจากนี้ เมื่อโจทก์ไม่ยอมรับจึงไม่ใช่ความผิดของโจทก์ และพฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าแล้ว ทั้งต่อมาเดือนเมษายนโจทก์ส่งคนไปเก็บค่าเช่าที่ค้างทั้งหมดรวม 39 เดือนจำเลยก็ไม่ชำระโจทก์เตือนอีกจำเลยก็ไม่ชำระ ดังนี้เรียกว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่ามากกว่า 2 คราวติดๆ กันตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ มาตรา 16(1) แล้ว โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1398/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิและหน้าที่ของผู้เช่าตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า การผิดนัดชำระค่าเช่า และสิทธิของเจ้าของบ้านในการฟ้องขับไล่
เดิมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2494 โจทก์เคยฟ้องขับไล่จำเลยโดยอ้างว่าจำเลยเป็นผู้อาศัยนายเป่งส่ำนายเป่งส่ำได้ออกจากห้องพิพาทไปแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิอยู่ต่อไป คดีนั้นจำเลยต่อสู้ว่าจำเลยเองเป็นผู้เช่าจากโจทก์และได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยเป็นผู้เช่าและได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ พิพากษายกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาฎีกาที่1356/2496ซึ่งอ่านให้โจทก์จำเลยฟังเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2497
ดังนี้จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าตั้งแต่เดิมคือตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2494(วันที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยอาศัย)ตลอดมา จะอ้างว่าระหว่างพิจารณาคดีเรื่องก่อน (ตั้งแต่ ก.พ. 94 ถึงวันฟังคำพิพากษาศาลฎีกา 24 เม.ย. 97) จำเลยไม่ต้องชำระเพราะคดีนั้นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยอาศัย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่านั้นไม่ได้
จำเลยกลับนำค่าเช่าสำหรับเดือนมกราคม กับเดือนกุมภาพันธ์2497 รวม 2 เดือนไปชำระโจทก์โดยถือว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกย้อนหลังขึ้นไปจากนี้ เมื่อโจทก์ไม่ยอมรับจึงไม่ใช่ความผิดของโจทก์ และพฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าแล้ว ทั้งต่อมาเดือนเมษายนโจทก์ส่งคนไปเก็บค่าเช่าที่ค้างทั้งหมดรวม 39 เดือนจำเลยก็ไม่ชำระโจทก์เตือนอีกจำเลยก็ไม่ชำระ ดังนี้เรียกว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่ามากกว่า 2 คราวติดๆ กันตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ มาตรา 16(1) แล้ว โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้
ดังนี้จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าตั้งแต่เดิมคือตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2494(วันที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยอาศัย)ตลอดมา จะอ้างว่าระหว่างพิจารณาคดีเรื่องก่อน (ตั้งแต่ ก.พ. 94 ถึงวันฟังคำพิพากษาศาลฎีกา 24 เม.ย. 97) จำเลยไม่ต้องชำระเพราะคดีนั้นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยอาศัย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่านั้นไม่ได้
จำเลยกลับนำค่าเช่าสำหรับเดือนมกราคม กับเดือนกุมภาพันธ์2497 รวม 2 เดือนไปชำระโจทก์โดยถือว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกย้อนหลังขึ้นไปจากนี้ เมื่อโจทก์ไม่ยอมรับจึงไม่ใช่ความผิดของโจทก์ และพฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าแล้ว ทั้งต่อมาเดือนเมษายนโจทก์ส่งคนไปเก็บค่าเช่าที่ค้างทั้งหมดรวม 39 เดือนจำเลยก็ไม่ชำระโจทก์เตือนอีกจำเลยก็ไม่ชำระ ดังนี้เรียกว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่ามากกว่า 2 คราวติดๆ กันตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ มาตรา 16(1) แล้ว โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1398/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผิดนัดชำระค่าเช่าหลังศาลตัดสินว่าจำเลยเป็นผู้เช่าตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่ได้
เดิมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2494 โจทก์เคยฟ้องขับไล่จำเลยโดยอ้างว่าจำเลยเป็นผู้อาศัยนายเปงสำ ๆ ได้ออกจากห้องพิพาทไปแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิอยู่ต่อไป คดีนั้นจำเลยต่อสู้ว่าจำเลยเองเป็นผู้เช่าจากโจทก์และได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ ศาลฎีกา พิพากษาว่าจำเลยเป็นผู้เช่าและได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ พิพากษายกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1356/2496 ซึ่งอ่านให้โจทก์จำเลยฟังเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2497
ดังนี้จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าตั้งแต่เดิมคือตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2494 (วันที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยอาศัย) ตลอดมา จะอ้างว่าระหว่างพิจารณาคดีเรื่องก่อน (ตั้งแต่ ก.พ.94 ถึงวันฟังคำพิพากษาศาลฎีกา 24 เม.ย.97) จำเลยไม่ต้องชำระเพราะคดีนั้นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยอาศัย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่านั้นไม่ได้
จำเลยกลับนำค่าเช่าสำหรับเดือนมกราคม กับเดือน กุมภาพันธ์ 2497 รวม 2 เดือน ไปชำระโจทก์โดยถือว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกย้อนหลังขึ้นไปจากนี้ เมื่อโจทก์ไม่ยอมรับจึงไม่ใช่ความผิดของโจทก์ และ พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าแล้ว ทั้งต่อมาเดือนเมษายนโจทก์ส่งคนไปเก็บค่าเช่าที่ค้างทั้งหมดรวม39 เดือน จำเลยก็ไม่ชำระ โจทก์เตือนอีกจำเลยก็ไม่ชำระ ดังนี้เรียกว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่ามากกว่า 2 คราวติด ๆ กัน ตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ ม. 16(1) แล้ว โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้
ดังนี้จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าตั้งแต่เดิมคือตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2494 (วันที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยอาศัย) ตลอดมา จะอ้างว่าระหว่างพิจารณาคดีเรื่องก่อน (ตั้งแต่ ก.พ.94 ถึงวันฟังคำพิพากษาศาลฎีกา 24 เม.ย.97) จำเลยไม่ต้องชำระเพราะคดีนั้นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยอาศัย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่านั้นไม่ได้
จำเลยกลับนำค่าเช่าสำหรับเดือนมกราคม กับเดือน กุมภาพันธ์ 2497 รวม 2 เดือน ไปชำระโจทก์โดยถือว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกย้อนหลังขึ้นไปจากนี้ เมื่อโจทก์ไม่ยอมรับจึงไม่ใช่ความผิดของโจทก์ และ พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าแล้ว ทั้งต่อมาเดือนเมษายนโจทก์ส่งคนไปเก็บค่าเช่าที่ค้างทั้งหมดรวม39 เดือน จำเลยก็ไม่ชำระ โจทก์เตือนอีกจำเลยก็ไม่ชำระ ดังนี้เรียกว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่ามากกว่า 2 คราวติด ๆ กัน ตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ ม. 16(1) แล้ว โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1372/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทรัสต์เก่ากว่า 50 ปี ข้อพิพาทหน้าที่ทรัสตี ศาลยืนตามเดิม
จ. ยอมให้ที่ดินเป็นทรัสต์ทำสุเหร่า จึงให้ลงชื่อสุเหร่าในโฉนดแต่เดิม แล้วเปลี่ยนจากชื่อสุเหร่าเป็นชื่อทรัสตี ได้ชื่อว่า จ. ได้สละที่ดินไปแล้ว ไม่ใช่ทรัพย์ของ จ. ทายาทของ จ. ไม่เคยครอบครองที่ดินและทรัสตีก็ไม่ได้ครอบครองแทนทายาทของจ. จ.จะขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินนั้นไม่ใช่ทรัสต์ไม่ได้
ตามฟ้องและคำให้การรับรองกันว่า ตั้งทรัสต์โดยชอบ เมื่อ พ.ศ.2443 คงเถียงกันว่า ทรัสตีทำผิดหน้าที่ควรถอดถอนหรือไม่ ศาลยกฟ้อง โจทก์จะฎีกาว่า ทรัสตีตั้งมา 50ปีแล้ว ควรสิ้นสภาพอ้างว่า เป็นข้อที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนดังนี้ ฎีกาโจทก์ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่โต้เถียงกันในฟ้องและคำให้การเลย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ตามฟ้องและคำให้การรับรองกันว่า ตั้งทรัสต์โดยชอบ เมื่อ พ.ศ.2443 คงเถียงกันว่า ทรัสตีทำผิดหน้าที่ควรถอดถอนหรือไม่ ศาลยกฟ้อง โจทก์จะฎีกาว่า ทรัสตีตั้งมา 50ปีแล้ว ควรสิ้นสภาพอ้างว่า เป็นข้อที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนดังนี้ ฎีกาโจทก์ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่โต้เถียงกันในฟ้องและคำให้การเลย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1372/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทรัสต์มีวัตถุประสงค์ชัดเจน การฟ้องร้องต้องเกี่ยวข้องกับประเด็นหน้าที่ของทรัสตี การหมดอายุทรัสต์ไม่ใช่ประเด็นที่ยกขึ้นมาได้
จ. ยอมให้ที่ดินเป็นทรัสต์ทำสุเหร่า จึงให้ลงชื่อสุเหร่าในโฉนดแต่เดิม แล้วเปลี่ยนจากชื่อสุเหร่าเป็นชื่อทรัสตี ได้ชื่อว่า จ. ได้สละที่ดินไปแล้ว ไม่ใช่ทรัพย์ของ จ. ทายาทของ จ. ไม่เคยครอบครองที่ดินและทรัสตีก็ไม่ได้ครอบครองแทนทายาทของจ. จ.จะขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินนั้นไม่ใช่ทรัสต์ไม่ได้
ตามฟ้องและคำให้การรับรองกันว่า ตั้งทรัสต์โดยชอบ เมื่อ พ.ศ.2443 คงเถียงกันว่า ทรัสตีทำผิดหน้าที่ควรถอดถอนหรือไม่ ศาลยกฟ้อง โจทก์จะฎีกาว่า ทรัสตีตั้งมา 50ปีแล้ว ควรสิ้นสภาพอ้างว่า เป็นข้อที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนดังนี้ ฎีกาโจทก์ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่โต้เถียงกันในฟ้องและคำให้การเลย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ตามฟ้องและคำให้การรับรองกันว่า ตั้งทรัสต์โดยชอบ เมื่อ พ.ศ.2443 คงเถียงกันว่า ทรัสตีทำผิดหน้าที่ควรถอดถอนหรือไม่ ศาลยกฟ้อง โจทก์จะฎีกาว่า ทรัสตีตั้งมา 50ปีแล้ว ควรสิ้นสภาพอ้างว่า เป็นข้อที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนดังนี้ ฎีกาโจทก์ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่โต้เถียงกันในฟ้องและคำให้การเลย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงเดิมหลังศาลอุทธรณ์ตัดสินแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ตาม ม. 300 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับลงโทษจำเลยเพียงทำร้ายร่างกายตาม ม. 254 เช่นนี้ เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริง แม้จะอ้างเหตุผลไปคนละนัย แต่ในที่สุดก็เห็นต้องกันว่าจำเลยไม่ผิดฐานลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์ดังข้อหาของโจทก์จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ฐานชิงทรัพย์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ดังนี้ โจทก์จะฎีกาข้อเท็จจริงขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์หาได้ไม่ เป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา ม. 219
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 21/249+)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 21/249+)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเมื่อศาลชั้นต้นและอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงตรงกันว่าจำเลยไม่ผิดฐานชิงทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ตาม มาตรา 300ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับลงโทษจำเลยเพียงทำร้ายร่างกายตาม มาตรา 254 เช่นนี้เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริง แม้จะอ้างเหตุผลไปคนละนัย แต่ในที่สุดก็เห็นต้องกันว่าจำเลยไม่ผิดฐานลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์ดังข้อหาของโจทก์ จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ฐานชิงทรัพย์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ดังนี้โจทก์จะฎีกาข้อเท็จจริงขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์หาได้ไม่ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 (ประชุมใหญ่ครั้งที่21/2498)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงขัดกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ตาม มาตรา 300ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับลงโทษจำเลยเพียงทำร้ายร่างกายตาม มาตรา 254 เช่นนี้เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริง แม้จะอ้างเหตุผลไปคนละนัย แต่ในที่สุดก็เห็นต้องกันว่าจำเลยไม่ผิดฐานลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์ดังข้อหาของโจทก์ จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ฐานชิงทรัพย์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ดังนี้โจทก์จะฎีกาข้อเท็จจริงขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์หาได้ไม่ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 (ประชุมใหญ่ครั้งที่21/2498)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1367/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าต้องอ้างอิงกรรมสิทธิที่แท้จริงของผู้ให้เช่า หากผู้ให้เช่าไม่มีกรรมสิทธิ สัญญาเช่าย่อมเป็นโมฆะ
เมื่อฟ้องของโจทก์ยืนยันว่าโจทก์เป็นเจ้าของนาพิพาทหาได้กล่าวอ้างถึงสิทธิอื่นใดเหนือที่พิพาทขึ้นสนับสนุนอีกไม่ เมื่อโจทก์ยอมรับว่าที่พิพาทนั้นไม่ใช่ของโจทก์เป็นของกรมชลประทานโดยเจ้าของเดิมแบ่งยกให้กรมชลประทานไปแล้วก่อนโอนขายให้โจทก์ ดังนี้ตามฟ้องและคำรับของโจทก์ย่อมแสดงว่าโจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆ เหนือที่พิพาททั้งสิ้น (รวมทั้งสิทธิให้เช่า) เมื่อตนไม่มีสิทธิใด ๆ แล้ว จะอ้างว่าสัญญาเช่าปิดปากผู้เช่ามิให้โต้เถียงสิทธิของผู้ให้เช่านั้นก็ไม่ได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 27/2498)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 27/2498)