พบผลลัพธ์ทั้งหมด 817 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1870/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเงินกู้และที่ดินเป็นประกัน ชำระหนี้ด้วยทรัพย์สินตามราคาที่ตกลง
จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ 250 บาท โดยมอบที่ดินบ้านให้โจทก์ยึดถือเป็นประกันและมีเงื่อนไขว่า จะชำระเงินกู้ภายในกำหนด 15 วันถ้าพ้นกำหนด 15 วัน ที่ดินรายนี้คิดเป็นราคาที่ดิน 250 บาทต้องได้กับโจทก์ ดังนี้เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ก็ต้องให้ที่ดินรายนี้แก่โจทก์เพราะได้กำหนดที่ดินโดยกำหนดราคาลงแน่นอนเป็นการชำระหนี้แทนตัวเงินตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 656 วรรค 2 โจทก์ย่อมฟ้องจำเลยให้โอนที่ดินนั้นแก่โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1856/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนขายที่ดินโดยบุตรเพิ่มเติมข้อความในใบมอบฉันทะเกินความประสงค์เดิมของมารดา ย่อมเป็นโมฆะ
บุตรคนหนึ่งเอาแบบพิมพ์มาให้มารดาพิมพ์ลายนิ้วมือโดยแจ้งว่าจะเอาไปจัดการใส่ชื่อบุตรคนนั้นลงในโฉนดที่ดินของมารดาด้วย มารดาก็ยอมและกดพิมพ์ลายนิ้วมือให้ไป แต่บุตรกลับไปเพิ่มเติมข้อความในใบมอบฉันทะนั้นเป็นว่ามารดามอบอำนาจให้บุตร ขายที่ดินโฉนดนั้นแก่บุตร 3 คน ดังนี้ เป็นการผิดความประสงค์การโอนขายย่อมเป็นโมฆะ มารดาย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมโอนขายนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1856/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนขายที่ดินที่เกินเลยเจตนาเดิมของผู้มอบอำนาจเป็นโมฆะ ผู้มอบอำนาจมีสิทธิขอเพิกถอนได้
บุตรคนหนึ่งเอาแบบพิมพ์มาให้มารดาพิมพ์ลายนิ้วมือโดยแจ้งว่าจะเอาไปจัดการใส่ชื่อบุตรคนนั้นลงในโฉนดที่ดินของมารดาด้วย มารดาก็ยอมและกดพิมพ์ลายนิ้วมือให้ไป แต่บุตรกลับไปเพิ่มเติมข้อความในใบมอบฉันทะนั้นเป็นว่ามารดามอบอำนาจให้บุตร ขายที่ดินโฉนดนั้นแก่บุตร 3 คน ดังนี้ เป็นการผิดความประสงค์การโอนขายย่อมเป็นโมฆะมารดาย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมโอนขายนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1835/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวชอบด้วยกฎหมาย: ผู้ถูกทำร้ายมีสิทธิป้องกันตนเองเมื่อถูกรุกรานถึงอันตรายถึงชีวิต
ผู้ตายเป็นผู้ก่อเรื่องรุกรานจำเลย โดยเข้าชกต่อยจำเลยก่อน จนจำเลยถอยหลังไปติดป่ายี่หร่าล้มลง แล้วผู้ตายจะเข้าบีบคอจำเลย จำเลยอาจถึงอันตรายแก่ชีวิตได้เพราะผู้ตายเป็นคนร่างสูงใหญ่กว่าจำเลยมาก จำเลยจึงชักมีดออกแทงผู้ตาย 1 ที ถูกที่ใต้นมขวา ผู้ตายวิ่งไปได้ 5 วา ก็ล้มลง ครู่หนึ่งก็ถึงแก่ความตายดังนี้ ได้ชื่อว่าจำเลยกระทำป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1835/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัว: การกระทำเพื่อปกป้องชีวิตจากอันตรายใกล้จะถึง แม้เป็นการทำร้ายกลับ
ผู้ตายเป็นผู้ก่อนเรื่องรุกรานจำเลย โดยเข้าชกต่อยจำเลยก่อน จนจำเลยถอยหลังไปติดป่ายี่หร่าล้มลง แล้วผู้ตายจะเข้าบีบคอจำเลย ๆ อาจถึงอันตรายแก่ชีวิตได้ เพราะผู้ตายเป็นคนร่างสูงใหญ่กว่าจำเลยมาก จำเลยจึงชักมีดออกแทงผู้ตาย 1 ที ถูกที่ใต้นมขวาผู้ตายวิ่งไปได้ 5 วา ก็ล้มลง ครู่หนึ่งก็ถึงแก่ความตายดังนี้ ได้ชื่อว่าจำเลยกระทำป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1815/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
วิวาททำร้ายร่างกาย: คู่กรณีไม่มีสิทธิฟ้องร้องลงโทษซึ่งกันและกัน
ผู้ที่วิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันนั้น ไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย ฉะนั้นจึงต่างไม่มีสิทธิฟ้องร้องขอให้ศาลลงโทษอีกฝ่ายหนึ่งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1815/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
วิวาททำร้ายร่างกาย: โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องร้อง
ผู้ที่วิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันนั้น ไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย ฉะนั้นจึงต่างไม่มีสิทธิฟ้องร้องขอให้ศาลลงโทษอีกฝ่ายหนึ่งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1805/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยอ้างการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา 1382 และ พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน
พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2486 มาตรา 14 และกฎกระทรวงมหาดไทยซึ่งออกตาม พ.ร.บ.นี้ข้อ 1 ว่าผู้ขอจดทะเบียนการได้มา ซึ่งกรรมสิทธิที่ดินที่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิแล้วตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1382 ต้องยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินพร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลแสดงว่าตนมีกรรมสิทธิในที่ดินนั้น ฉะนั้นการที่ผู้ครอบครองที่ดินจนได้กรรมสิทธิตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1382 แล้ว แม้ที่ดินนั้นจะมีชื่อผู้อื่นในโฉนด ผู้ครอบครองก็ย่อมจะยื่นคำร้องต่อศาลอย่างคดีไม่มีข้อพิพาทขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าตนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิในที่ดินแปลงนั้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องฟ้องผู้มีชื่อในโฉนดนั้นมาเป็นจำเลยอย่างคดีมีข้อพิพาท แต่ถ้าผู้มีชื่อในโฉนดร้องคัดค้านเข้ามาศาลก็ย่อมสั่งว่าคดีกลายเป็นมีข้อพิพาทให้เสียกค่าธรรมเนียมและดำเนินคดีอย่างคดีมีข้อพิพาทตาม ป.ม.วิ.แพ่ง ฯ มาตรา 188 ข้อ 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1805/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินหลังได้มาโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ผู้ครอบครองขอคำสั่งศาลแสดงกรรมสิทธิ์ได้
พระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน(ฉบับที่ 7) พ.ศ.2486 มาตรา 14และกฎกระทรวงมหาดไทยซึ่งออกตาม พระราชบัญญัตินี้ข้อ 1 ว่าผู้ขอจดทะเบียนการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินที่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์แล้วตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ต้องยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินพร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลแสดงว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น ฉะนั้นการที่ผู้ครอบครองที่ดินจนได้กรรมสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว แม้ที่ดินนั้นจะมีชื่อผู้อื่นในโฉนด ผู้ครอบครองก็ย่อมจะยื่นคำร้องต่อศาลอย่างคดีไม่มีข้อพิพาทขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าตนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องฟ้องผู้มีชื่อในโฉนดนั้นมาเป็นจำเลยอย่างคดีมีข้อพิพาท แต่ถ้าผู้มีชื่อในโฉนดร้องคัดค้านเข้ามา ศาลก็ย่อมสั่งว่าคดีกลายเป็นมีข้อพิพาทให้เสียค่าธรรมเนียมและดำเนินคดีอย่างคดีมีข้อพิพาทตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 188 ข้อ 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1742/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฟ้องร้องยังคงมีอยู่ แม้ถูกอัยการฟ้องและศาลยกฟ้องคดีเดียวกัน
ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยบุกรุกและทำร้ายร่างกายโจทก์ ต่อมาอัยการฟ้องโจทก์กับจำเลยหาว่าวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันในที่สาธารณะสถาน เนื่องจากกรณีเดียวกันนี้ โจทก์จึงร้องขอต่อศาลให้งดการพิจารณาคดีของโจทก์ไว้รอผลคดีที่อัยการ เป็นโจทก์ จนศาลพิพากษายกฟ้องคดีที่อัยการเป็นโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์จึงขอให้ศาลดำเนินคดีของโจทก์ที่รอไว้ต่อไป ดังนี้คดีไม่ต้องด้วย ป.ม.วิ.อาญามาตรา 39 (4) สิทธิฟ้องร้องของโจทก์ที่ฟ้องไว้แล้ว ยังคงมีอยู่ หาได้หมดไปไม่
(อ้างฎีกาที่ 149/2483)
(อ้างฎีกาที่ 149/2483)