พบผลลัพธ์ทั้งหมด 24 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 677/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุหย่า: การทำร้ายร่างกายเล็กน้อย, การหมิ่นประมาทด้วยคำพูด, และการพิสูจน์เหตุการณ์ในอดีต
ภรรยาเอาเล็บข่วนหน้าสามีเป็นรอยถูกข่วนเพียงเล็กน้อยเลือดออกซิบๆ เท่านั้น จะถือว่าเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บจนเป็นเหตุหย่าตามนัยมาตรา 1500(2) ยังไม่ได้
สามีภรรยาเป็นชาวออสเตรเลีย สามีเป็นผู้จัดการบริษัท ภรรยาตามไปทวงกุญแจรถจากสามีในที่ทำงานของสามี สามีไม่ให้ภรรยาได้พูดกับผู้ช่วยจัดการ(ชาวออสเตรเลีย)ต่อหน้าสามีเป็นภาษาอังกฤษแปลได้ความว่า 'คุณช่วยพูดกับอ้ายหมูนี่ให้รู้เรื่องทีเถิด' คำว่าอ้ายหมู นี้หมายถึงโจทก์เป็นคำด่าและคำสบประมาทแม้จำเลยจะได้ใช้ถ้อยคำที่หยาบคายนี้ด่าโจทก์ แต่ก็เพราะโกรธโจทก์ที่ไม่ยอมมอบกุญแจรถให้พฤติการณ์เช่นนี้แม้จะถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ก็ยังไม่ใช่เป็นการหมิ่นประมาทซึ่งเป็นการร้ายแรงอันจะเป็นเหตุหย่าได้ตามมาตรา 1500(2)
โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยต่อโจทก์หลายประการแต่มิได้กล่าวอ้างเลยว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาอย่างร้ายแรง และไม่ได้กล่าวเลยว่าการกระทำอย่างไรบ้างที่โจทก์ถือว่าเป็นการกระทำในลักษณะนั้นทั้งยังสรุปไว้ท้ายฟ้องโดยกล่าวแต่เหตุหย่าประการอื่นด้วยดังนี้ ศาลย่อมไม่ยกเหตุหย่าเรื่องทำการเป็นปฏิปักษ์ฯการเป็นสามีภรรยาฯขึ้นวินิจฉัย (ไม่ว่าการกระทำตามที่บรรยายไว้นั้นจะพอให้ถือว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ฯหรือไม่ก็ตาม)
โจทก์นำสืบว่า จำเลยเคยทำร้ายร่างกายโจทก์ถึงบาดเจ็บมาครั้งหนึ่งแล้วต่อมาภายหลังยังข่วนหน้าโจทก์อีกการทำร้ายครั้งแรกนั้นล่วงเลยกำหนด 3 เดือนซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะนำมาฟ้องอ้างเป็นเหตุหย่าในคดีนี้ได้ และเมื่อการข่วนหน้าในครั้งหลังนี้ก็ไม่เข้าลักษณะเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บอันจะเป็นเหตุหย่าได้แล้วแม้ศาลจะยกเอาการทำร้ายร่างกายในครั้งก่อนมาสนับสนุนตามมาตรา1509 วรรค2 ก็หาเป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ไม่
สามีภรรยาเป็นชาวออสเตรเลีย สามีเป็นผู้จัดการบริษัท ภรรยาตามไปทวงกุญแจรถจากสามีในที่ทำงานของสามี สามีไม่ให้ภรรยาได้พูดกับผู้ช่วยจัดการ(ชาวออสเตรเลีย)ต่อหน้าสามีเป็นภาษาอังกฤษแปลได้ความว่า 'คุณช่วยพูดกับอ้ายหมูนี่ให้รู้เรื่องทีเถิด' คำว่าอ้ายหมู นี้หมายถึงโจทก์เป็นคำด่าและคำสบประมาทแม้จำเลยจะได้ใช้ถ้อยคำที่หยาบคายนี้ด่าโจทก์ แต่ก็เพราะโกรธโจทก์ที่ไม่ยอมมอบกุญแจรถให้พฤติการณ์เช่นนี้แม้จะถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ก็ยังไม่ใช่เป็นการหมิ่นประมาทซึ่งเป็นการร้ายแรงอันจะเป็นเหตุหย่าได้ตามมาตรา 1500(2)
โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยต่อโจทก์หลายประการแต่มิได้กล่าวอ้างเลยว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาอย่างร้ายแรง และไม่ได้กล่าวเลยว่าการกระทำอย่างไรบ้างที่โจทก์ถือว่าเป็นการกระทำในลักษณะนั้นทั้งยังสรุปไว้ท้ายฟ้องโดยกล่าวแต่เหตุหย่าประการอื่นด้วยดังนี้ ศาลย่อมไม่ยกเหตุหย่าเรื่องทำการเป็นปฏิปักษ์ฯการเป็นสามีภรรยาฯขึ้นวินิจฉัย (ไม่ว่าการกระทำตามที่บรรยายไว้นั้นจะพอให้ถือว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ฯหรือไม่ก็ตาม)
โจทก์นำสืบว่า จำเลยเคยทำร้ายร่างกายโจทก์ถึงบาดเจ็บมาครั้งหนึ่งแล้วต่อมาภายหลังยังข่วนหน้าโจทก์อีกการทำร้ายครั้งแรกนั้นล่วงเลยกำหนด 3 เดือนซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะนำมาฟ้องอ้างเป็นเหตุหย่าในคดีนี้ได้ และเมื่อการข่วนหน้าในครั้งหลังนี้ก็ไม่เข้าลักษณะเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บอันจะเป็นเหตุหย่าได้แล้วแม้ศาลจะยกเอาการทำร้ายร่างกายในครั้งก่อนมาสนับสนุนตามมาตรา1509 วรรค2 ก็หาเป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 780/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่าต้องมีเหตุอันสมควร และสัญญาประนีประนอมย่อมระงับสิทธิเรียกร้องเดิม การฟ้องซ้ำและอายุความ
เหตุหย่าในข้อจงใจละทิ้งร้างเกินกว่า 1 ปีนั้น ตราบใดที่ยังทิ้งร้างกันอยู่ ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องขอหย่าได้ ไม่ขาดอายุความ
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2502)
คดีก่อน ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยอ้างเหตุว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในข้อที่กล่าวหาว่าจำเลยร้องเรียนต่อกรมมหาดไทย เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ และที่ว่าจำเลยลงใจละทิ้งร้างโจทก์นั้น ในฟ้องไม่กล่าวว่า เหตุเกิดเมื่อใด ทิ้งร้างไปเมื่อใด โดยยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อโต้เถียงเรื่องการหย่าเลย โจทก์ฟ้องคดีหลังกล่าวหาว่าจำเลยร้องเรียนต่อกรมมหาดไทย และร้องเรียนต่อสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันและว่าจำเลยจงใจทิ้งร้างโจทก์เป็นเวลากว่า 1 ปี เป็นคนละประเด็น คนละเหตุไม่เป็นฟ้องซ้ำ
กล่าวฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไป ย่อมแสดงความหมายอยู่ในตัวแล้ว ไม่จำต้องกล่าวว่ากระทำการอย่างใด อันได้ชื่อว่าเป็นการจงใจละทิ้งร้าง ฟ้องเช่นนี้ไม่เคลือบคลุม
เมื่อปรากฏว่า โจทก์เองก็ไม่ต้องการจะให้จำเลยมาอยู่ร่วมกับโจทก์ โจทก์จะกลับมาฟ้องขอหย่าโดยอ้างเหตุว่าจำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์หาได้ไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอหย่าจำเลยตามข้ออ้างเช่นว่านี้
โจทก์ฟ้องขอหย่าอ้างเหตุว่า จำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน แต่ปรากฏว่า เป็นเรื่องเกิดขึ้นก่อนที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกัน โจทก์จะอ้างเหตุที่ว่านั้นมาเป็นข้อฟ้องหย่าหาได้ไม่ เพราะผลของสัญญาประนีประนอมนั้น ย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2502)
คดีก่อน ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยอ้างเหตุว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในข้อที่กล่าวหาว่าจำเลยร้องเรียนต่อกรมมหาดไทย เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ และที่ว่าจำเลยลงใจละทิ้งร้างโจทก์นั้น ในฟ้องไม่กล่าวว่า เหตุเกิดเมื่อใด ทิ้งร้างไปเมื่อใด โดยยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อโต้เถียงเรื่องการหย่าเลย โจทก์ฟ้องคดีหลังกล่าวหาว่าจำเลยร้องเรียนต่อกรมมหาดไทย และร้องเรียนต่อสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันและว่าจำเลยจงใจทิ้งร้างโจทก์เป็นเวลากว่า 1 ปี เป็นคนละประเด็น คนละเหตุไม่เป็นฟ้องซ้ำ
กล่าวฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไป ย่อมแสดงความหมายอยู่ในตัวแล้ว ไม่จำต้องกล่าวว่ากระทำการอย่างใด อันได้ชื่อว่าเป็นการจงใจละทิ้งร้าง ฟ้องเช่นนี้ไม่เคลือบคลุม
เมื่อปรากฏว่า โจทก์เองก็ไม่ต้องการจะให้จำเลยมาอยู่ร่วมกับโจทก์ โจทก์จะกลับมาฟ้องขอหย่าโดยอ้างเหตุว่าจำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์หาได้ไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอหย่าจำเลยตามข้ออ้างเช่นว่านี้
โจทก์ฟ้องขอหย่าอ้างเหตุว่า จำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน แต่ปรากฏว่า เป็นเรื่องเกิดขึ้นก่อนที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกัน โจทก์จะอ้างเหตุที่ว่านั้นมาเป็นข้อฟ้องหย่าหาได้ไม่ เพราะผลของสัญญาประนีประนอมนั้น ย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 780/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องหย่าขาดอายุความเมื่อใด? ศาลฎีกาชี้การทิ้งร้างยังไม่ขาดอายุความจนกว่าจะสิ้นสุด + ผลสัญญาประนีประนอม
เหตุหย่าในข้อจงใจละทิ้งร้างเกินกว่า 1 ปีนั้น ตราบใดที่ยังทิ้งร้างกันอยู่ ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องขอหย่าได้ไม่ขาดอายุความ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2502)
คดีก่อน ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยอ้างเหตุว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในข้อที่กล่าวหาว่าจำเลยร้องเรียนต่อกรมมหาดไทยเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ และที่ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์นั้น ในฟ้องไม่กล่าวว่า เหตุเกิดเมื่อใดทิ้งร้างไปเมื่อใด โดยยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อโต้เถียงเรื่องการหย่าเลย โจทก์ฟ้องคดีหลังกล่าวหาว่าจำเลยร้องเรียนต่อกรมมหาดไทย และร้องเรียนต่อสภาวัฒนธรรมแห่งชาติเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน และว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์เป็นเวลากว่า 1 ปี เป็นคนละประเด็น คนละเหตุไม่เป็นฟ้องซ้ำ
กล่าวฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไป ย่อมแสดงความหมายอยู่ในตัวแล้ว ไม่จำต้องกล่าวว่ากระทำการอย่างใดอันได้ชื่อว่าเป็นการจงใจละทิ้งร้าง ฟ้องเช่นนี้ไม่เคลือบคลุม
เมื่อปรากฏว่า โจทก์เองก็ไม่ต้องการจะให้จำเลยมาอยู่ร่วมกับโจทก์ โจทก์จะกลับมาฟ้องขอหย่าโดยอ้างเหตุว่าจำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์หาได้ไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอหย่าจำเลยตามข้ออ้างเช่นว่านี้
โจทก์ฟ้องขอหย่าอ้างเหตุว่า จำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน แต่ปรากฏว่า เป็นเรื่องเกิดขึ้นก่อนที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกัน โจทก์จะอ้างเหตุที่ว่านั้นมาเป็นข้อฟ้องหย่าหาได้ไม่ เพราะผลของสัญญาประนีประนอมนั้น ย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน
คดีก่อน ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยอ้างเหตุว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในข้อที่กล่าวหาว่าจำเลยร้องเรียนต่อกรมมหาดไทยเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ และที่ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์นั้น ในฟ้องไม่กล่าวว่า เหตุเกิดเมื่อใดทิ้งร้างไปเมื่อใด โดยยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อโต้เถียงเรื่องการหย่าเลย โจทก์ฟ้องคดีหลังกล่าวหาว่าจำเลยร้องเรียนต่อกรมมหาดไทย และร้องเรียนต่อสภาวัฒนธรรมแห่งชาติเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน และว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์เป็นเวลากว่า 1 ปี เป็นคนละประเด็น คนละเหตุไม่เป็นฟ้องซ้ำ
กล่าวฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไป ย่อมแสดงความหมายอยู่ในตัวแล้ว ไม่จำต้องกล่าวว่ากระทำการอย่างใดอันได้ชื่อว่าเป็นการจงใจละทิ้งร้าง ฟ้องเช่นนี้ไม่เคลือบคลุม
เมื่อปรากฏว่า โจทก์เองก็ไม่ต้องการจะให้จำเลยมาอยู่ร่วมกับโจทก์ โจทก์จะกลับมาฟ้องขอหย่าโดยอ้างเหตุว่าจำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์หาได้ไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอหย่าจำเลยตามข้ออ้างเช่นว่านี้
โจทก์ฟ้องขอหย่าอ้างเหตุว่า จำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน แต่ปรากฏว่า เป็นเรื่องเกิดขึ้นก่อนที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกัน โจทก์จะอ้างเหตุที่ว่านั้นมาเป็นข้อฟ้องหย่าหาได้ไม่ เพราะผลของสัญญาประนีประนอมนั้น ย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 412/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1500(2) และผลของการผัดผ่อนการฟ้อง
เหตุขอหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1500 (2) นั้น เมื่อไม่ได้ยกขึ้นอ้างฟ้องร้องเสียในกำหนด 3 เดือน สิทธิฟ้องร้องย่อมระงับไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1509
การที่โจทก์ยอมให้จำเลยผัดไปโดยอ้างว่า จำเลยขอผัดผ่อนไว้ (ขอผัดการหย่า อย่าเพิ่งฟ้องร้อง) ย่อมไม่เป็นเหตุที่จะกระทำให้อายุความตาม ก.ม.ในเรื่องนี้ยืดออกไปได้
การที่โจทก์ยอมให้จำเลยผัดไปโดยอ้างว่า จำเลยขอผัดผ่อนไว้ (ขอผัดการหย่า อย่าเพิ่งฟ้องร้อง) ย่อมไม่เป็นเหตุที่จะกระทำให้อายุความตาม ก.ม.ในเรื่องนี้ยืดออกไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 412/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 1509 การผัดผ่อนไม่ทำให้ขยายอายุความ
เหตุขอหย่าตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1500(2) นั้น เมื่อไม่ได้ยกขึ้นอ้างฟ้องร้องเสียในกำหนด 3 เดือนสิทธิฟ้องร้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1509
การที่โจทก์ยอมให้จำเลยผัดไปโดยอ้างว่า จำเลยขอผัดผ่อนไว้(ขอผัดการหย่า อย่าเพิ่งฟ้องร้อง) ย่อมไม่เป็นเหตุที่จะกระทำให้อายุความตาม กฎหมายในเรื่องนี้ยืดออกไปได้
การที่โจทก์ยอมให้จำเลยผัดไปโดยอ้างว่า จำเลยขอผัดผ่อนไว้(ขอผัดการหย่า อย่าเพิ่งฟ้องร้อง) ย่อมไม่เป็นเหตุที่จะกระทำให้อายุความตาม กฎหมายในเรื่องนี้ยืดออกไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุหย่าจากการกระทำรุนแรงและเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
ชายหญิงเป็นสามีภริยากันมากว่า 20 ปี มีแต่เหตุระหองระแหงไม่ราบรื่นตลอดมาโดยหญิงทำร้าย ด่าขับไล่และใช้ปัสสาวะสาดชายแม้เหตุหย่าบางข้อ จะขาดอายุความ 3 เดือนก็ดีก็ยังสนับสนุนเหตุหย่าที่ยังไม่ขาดอายุความได้ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1509 วรรคสอง และเมื่อฟังได้ว่าหญิงทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากับชายอย่างร้ายแรงชายก็มีสิทธิฟ้องหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับหญิงได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุหย่าจากการกระทำเป็นปฏิปักษ์และทำร้ายร่างกายต่อเนื่อง แม้บางเหตุขาดอายุความ ก็ยังสนับสนุนเหตุหย่าอื่นได้
ชายหญิงเป็นสามีภริยากันมากว่า 20 ปี มีแต่เหตุระหองระแหง ไม่ราบรื่นตลอดมา โดยหญิงทำร้าย ด่า ขับไล่ และใช้ปัสสาวะสาดชาย แม้เหตุหย่าบางข้อ จะขาดอายุความ 3 เดือนก็ดี ก็ยังสนับสนุนเหตุหย่าที่ยังไม่ขาดอายุความได้ ตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1509 วรรค 2 และเมื่อฟังได้ว่าหญิงทำการเป็นปฏิปักษ์ ต่อการเป็นสามีภริยากับชายอย่างร้ายแรง ชายก็มีสิทธิฟ้องหย่าขากจากการเป็นสามีภริยากับหญิงได้ ตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1500 ( 3 )
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1456/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุหย่าต่อเนื่อง: ละทิ้งและไม่เลี้ยงดู แม้เวลาเกิน 2 ปี ไม่ขาดอายุความ
เหตุหย่าเพราะสามีจงใจละทิ้งภรรยา หรือสามีไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูภรรยานั้น ตราบใดที่เหตุดั่งกล่าวแล้วยังคงอยู่ ย่อมเป็นเหตุที่เกิดต่อเนื่องกันตลอดมา
สามีได้จงใจละทิ้งร้างภรรยาไปประเทศจีน เมื่อกลับมาแล้วก็มิได้มาอยู่กินกับภรรยาเยี่ยงสามีภรรยา ทั้งมิได้ส่งเสียอุปการะเลี้ยงดูภรรยาตามสมควร และสามีได้ปฏิบัติต่ภรรยาเช่นนี้ต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ภรรยาฟ้องของหย่า แม้จะเป็นเวลาเกินกว่า 2 ปี คดีก็หาขาดอายุความตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 2509 ไม่
สามีได้จงใจละทิ้งร้างภรรยาไปประเทศจีน เมื่อกลับมาแล้วก็มิได้มาอยู่กินกับภรรยาเยี่ยงสามีภรรยา ทั้งมิได้ส่งเสียอุปการะเลี้ยงดูภรรยาตามสมควร และสามีได้ปฏิบัติต่ภรรยาเช่นนี้ต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ภรรยาฟ้องของหย่า แม้จะเป็นเวลาเกินกว่า 2 ปี คดีก็หาขาดอายุความตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 2509 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1456/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุจงใจละทิ้งและไม่เลี้ยงดูต่อเนื่องเป็นเหตุหย่าได้ แม้เกิน 2 ปี ไม่ขาดอายุความ
เหตุหย่าเพราะสามีจงใจละทิ้งภรรยา หรือสามีไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูภรรยานั้น ตราบใดที่เหตุดังกล่าวแล้วยังคงอยู่ ย่อมเป็นเหตุที่เกิดต่อเนื่องกันตลอดมา
สามีได้จงใจละทิ้งร้างภรรยาไปประเทศจีน เมื่อกลับมาแล้วก็มิได้มาอยู่กินกับภรรยาเยี่ยงสามีภรรยา ทั้งมิได้ส่งเสียอุปการะเลี้ยงดูภรรยาตามสมควร และสามีได้ปฏิบัติต่อภรรยาเช่นนี้ต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ภรรยาฟ้องขอหย่า แม้จะเป็นเวลาเกินกว่า 2 ปี คดีก็หาขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1509 ไม่
สามีได้จงใจละทิ้งร้างภรรยาไปประเทศจีน เมื่อกลับมาแล้วก็มิได้มาอยู่กินกับภรรยาเยี่ยงสามีภรรยา ทั้งมิได้ส่งเสียอุปการะเลี้ยงดูภรรยาตามสมควร และสามีได้ปฏิบัติต่อภรรยาเช่นนี้ต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ภรรยาฟ้องขอหย่า แม้จะเป็นเวลาเกินกว่า 2 ปี คดีก็หาขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1509 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องหย่า: การยกเหตุอายุความต้องทำตั้งแต่แรก มิอาจยกขึ้นต่อสู้ภายหลัง
โจทก์ฟ้องขอหย่าขาดจากสามีภริยากับจำเลย จำเลยต่อสู้ปฏิเสธเหตุหย่า มิได้ยกเอาอายุความขึ้นต่อสู้ไว้แม้ภายหลังจำเลยจะยื่นคำร้องขอให้ศาลยกฟ้องโจทก์เสียโดยอ้างว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความแล้ว ก็ดีคำร้องดังกล่าวก็มิใช่เป็นคำให้การเพิ่มเติมศาลจึงจะยกเอาเรื่องอายุความขึ้นเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์ไม่ได้