คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 144

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 533 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1276/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระจำยอมเสื่อมประโยชน์ – การกั้นทางทำให้ใช้สิทธิไม่ได้ – การฟ้องคดีซ้ำ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ห้ามศาลมิให้ดำเนินคดีเรื่องเดิมนั้นต่อไปอีกทั้งคดีหรือเฉพาะประเด็นบางข้อซึ่งศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ส่วน มาตรา 148 เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องคดีเรื่องใด ศาลตัดสินครั้งหนึ่งแล้ว มาฟ้องใหม่ซ้ำอีกไม่ได้
กรณีที่โจทก์ฟ้องแล้วครั้งหนึ่ง ศาลตัดสินแล้ว โจทก์มาฟ้องคดีนี้อีก ไม่ใช่เรื่องศาลดำเนินคดีเดิม กรณีไม่เข้า มาตรา 144 คงเป็นปัญหาตาม มาตรา 148 เท่านั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 แล้ว ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยอ้างว่าภาระจำยอมที่โจทก์อ้างปราศจากรากฐานตามกฎหมายบังคับจำเลยไม่ได้ ศาลอุทธรณ์ยืนในข้อที่ยกฟ้องโดยเหตุว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ไม่ได้เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ใช่เจ้าของที่ดินอันเป็นภารยะทรัพย์ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นที่ว่าจำเลยกั้นทางรายนี้ให้แคบลงได้หรือไม่ ดังนี้ ต้องถือตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นคำพิพากษาอันถึงที่สุด โจทก์ฟ้องคดีใหม่นี้โดยฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินด้วยได้ ไม่ต้องห้ามตาม มาตรา 148
โจทก์ได้ภาระจำยอมโดยอายุความตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม 1401 อันอาจใช้ล้อหรือเกวียนและรถยนต์เข้าออกตามทางผ่านที่ดินของจำเลยแล้ว จำเลยกั้นทางให้แคบลงจนใช้ล้อหรือเกวียนและรถยนต์ไม่ได้ ย่อมเป็นการทำให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมเสื่อมไปขัดต่อ มาตรา 1390 แม้โจทก์จะยังใช้รถจักรยาน 3 ล้อเข้าออกได้หรือโจทก์ไม่ได้เอาเกวียนเข้าเก็บในที่ดินของโจทก์ก็ไม่เป็นข้อแก้ตัว
โจทก์มีทางเอาเกวียนและรถเข้าออกทางอื่นได้ แต่ทางนั้นไม่ใช่ทางสาธารณะและโจทก์ยังไม่มีสิทธิเหนือทางนั้นอาจถูกสั่งปิดเสียเมื่อใดก็ได้ ไม่เรียกว่าทางพิพาทหมดประโยชน์แก่โจทก์อันจะทำให้ภาระจำยอมหมดไปตาม มาตรา 1400

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1276/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระจำยอมทางอายุความและการลดทอนประโยชน์ของภาระจำยอม การฟ้องคดีซ้ำตาม ป.วิ.แพ่ง ม.144, 148
ป.วิ.แพ่ง ม.144 ห้ามศาลมิให้ดำเนินคดีเรื่องเดิมนั้นต่อไปอีกทั้งคดีหรือเฉพาะประเด็นบางข้อ ซึ่งศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ส่วน ม.148 เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องคดีเรื่องใด ศาลตัดสินครั้งหนึ่แล้ว มาฟ้องใหม่ซ้ำอีกไม่ได้
กรณีที่โจทก์ฟ้องแล้วครั้งหนึ่ง ศาล 144,148 ตัดสินแล้ว โจทก์มาฟ้องคดีนี้อีก ไม่ใช่เรื่องศาลดำเนินคดีเดิม กรณีไม่เข้า ม.144 คงเป็นปัญหาตาม ม.148 เท่านั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 แล้ว ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยอ้างว่าภาระจำยอมที่โจทก์อ้างปราศจากรากฐานตาม ก.ม.บังคับจำเลยไม่ได้ ศาลอุทธรณ์ยืนในข้อที่ยกฟ้องโดยเหตุว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ไม่ได้ เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ใช่เจ้าของที่ดินอันเป็นภาระ+ทรัพย์ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นที่ว่าจำเลยกั้นทางรายนี้ให้แคบลงได้หรือไม่ ดังนี้ ต้องถือตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นคำพิพากษาอันถึงที่สุด โจทก์ฟ้องคดีใหม่นี้โดยฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินด้วยได้ ไม่ต้องห้ามตาม ม.148
โจทก์ได้ภาระจำยอมโดยอายุความตาม ป.พ.พ.ม.1401 อันอาจใช้ล้อหรือเกวียนและรถยนต์เข้าออกตามทางผ่านที่ดินของจำเลยแล้ว จำเลยกั้นทางให้แคบลงจนใช้ล้อหรือเกวียนและรถยนต์ไม่ได้ย่อมเป็นการทำให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมเสื่อมไป ขัดต่อ ม.1390 แม้โจทก์จะยังใช้รถจักรยาน 3 ล้อเข้าออกได้หรือโจทก์ไม่ได้เอาเกวียนเข้าเก็บในที่ดินของโจทก์ก็ไม่เป็นข้อแก้ตัว
โจทก์มีทางเอาเกวียนและรถเจ้าออกทางอื่นได้ แต่ทางนั้นไม่ใช่ทางสาธารณะและโจทก์ยังไม่มีสิทธิเหนือทางนั้น อาจถูกสั่งปิดเสียเมื่อใดก็ได้ ไม่เรียกว่าทางพิพาทหมดประโยชน์แก่โจทก์อันจะทำให้ภาระจำยอมหมดไปตาม ม.1400

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1246/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฟ้องร้องจากข้อตกลงใหม่หลังสัญญาปรานีประนอม: การละทิ้งทรัพย์สินและสิทธิเรียกคืน
โจทก์จำเลยทำสัญญาปรานีประนอมยอมความกันต่อหน้าศาลว่าโจทก์ยอมตกลงให้จำเลยใช้สิทธิอาศัยและเก็บกินในที่บ้านและสวนรายหนึ่งตลอดชีวิตของจำเลย โดยโจทก์จะไม่เกี่ยวข้องต่อไป จำเลยก็ยอมตกลงว่าจะใช้สิทธิอาศัยและเก็บกินตลอดไปโดยไม่ละทิ้ง ภายหลังโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลว่าจำเลยละทิ้งบ้านพิพาทไป โจทก์จำเลยจึงตกลงกันอีกว่า ถ้าจำเลยละทิ้งบ้านเรือนพิพาทไม่รักษาดูแลอย่างวิญญูชนแล้ว จำเลยยอมคืนบ้านพิพาทและสวนให้โจทก์ ดังนี้ เมื่อจำเลยละทิ้งบ้านพิพาทจนทรุดโทรมเสียหายไม่เคยทำการซ่อมแซมเลย โจทก์ก็ยอมมีอำนาจฟ้องจำเลยขอให้คืนทรัพย์พิพาทได้เพราะโจทก์ฟ้องโดยอาศัยสิทธิตามข้อตกลงที่ทำกันภายหลัง อันเป็นสิทธิที่เกิดขึ้นใหม่ต่างหากจากสัญญาปรานีประนอม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1246/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงภายหลังสัญญาประนีประนอม: สิทธิเรียกร้องคืนทรัพย์จากการละทิ้ง
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อหน้าศาลว่าโจทก์ยอมตกลงให้จำเลยใช้สิทธิอาศัยและเก็บกินในที่บ้านและสวนรายหนึ่งตลอดชีวิตของจำเลย โดยโจทก์จะไม่เกี่ยวข้องต่อไป จำเลยก็ยอมตกลงว่าจะใช้สิทธิอาศัยและเก็บกินตลอดไปโดยไม่ละทิ้ง ภายหลังโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลว่าจำเลยละทิ้งบ้านพิพาทไป โจทก์จำเลยจึงตกลงกันอีกว่า ถ้าจำเลยละทิ้งบ้านเรือนพิพาทไม่รักษาดูแลอย่างวิญญูชนแล้วจำเลยยอมคืนบ้านพิพาทและสวนให้โจทก์ ดังนี้ เมื่อจำเลยละทิ้งบ้านพิพาทจนทรุดโทรมเสียหายไม่เคยทำการซ่อมแซมเลย โจทก์ก็ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยขอให้คืนทรัพย์พิพาทได้เพราะโจทก์ฟ้องโดยอาศัยสิทธิตามข้อตกลงที่ทำกันภายหลังอันเป็นสิทธิที่เกิดขึ้นใหม่ต่างหากจากสัญญาประนีประนอม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดในการนำข้อเท็จจริงจากคดีก่อนมาผูกพันคดีใหม่ แม้คู่ความบางส่วนจะซ้ำกัน ศาลต้องพิจารณาประเด็นและสภาพคดีที่เปลี่ยนแปลง
ผู้มีชื่อในโฉนดร่วมกับผู้อื่นฟ้องขอแบ่งที่ดินเฉพาะส่วนของคนจากผู้ที่ยึดถือครอบครองที่ดินผู้ครอบครองที่ดินต่อสู้ ว่าผู้มีชื่อในโฉนดคนอื่นเอาที่ดินนี้ตีใช้หนี้ตน ทางพิจารณาศาลฟังว่าไม่มีการตีใช้หนี้ แต่เห็นว่าการที่จะฟ้องขอแบ่งเฉพาะส่วนของโจทก์นั้นย่อมแบ่งให้ไม่ได้ จึงพิพากษายกฟ้อง ภายหลังผู้ครอบครองที่ดินเป็นโจกท์ฟ้องทายาทผู้มีชื่อในโฉนดคนหนึ่งขอให้ศาลแสดงว่า ที่พิพาทนี้เป็นกรรมสิทธิของผู้ครอบครองที่ดินทายาทผู้เป็นจำเลยต่อสู้ว่าผู้ครอบครองที่ดินไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้อง อีกเพราะเคยฟ้องกันมาแล้วและในคดีหลังนี้ผู้มีชื่อในโฉนดที่เคยเป็นโจทก์ฟ้องผู้ครอบครองก็ได้ร้องเข้ามาเป็นจำเลยร่วมจนศาลอนุญาตแล้วก็ตาม ศาลฎีกาก็เห็นว่าจะเอาข้อเท็จจริงในในคดีก่อนมารับฟังเป็นข้อเท็จจริงในคดีนี้ไม่ได้ เพราะโจทก์จำเลยในคดีนี้เป็นคู่กรณีคนใหม่และในคดีก่อนศาลยกฟ้อง เพราะเห็นว่าการฟ้องขอแบ่งเฉพาะส่วนของตนย่อมแบ่งให้ไม่ได้เป็นประเด็นสำคัญ การที่ผู้ครอบครองที่ดินมาฟ้องอ้างสิทธิในที่ดินนี้ทั้งแปลงประเด็นก็ไม่เหมือนกับคดีก่อนซึ่งพิพาทกันเฉพาะที่ดิน ส่วนของผู้มีชื่อในโฉนดผู้เป็นโจทก์ฟ้องเท่านั้น จึงจะยกเอาสำนวนก่อนมาผูกพันบังคับคู่ความคดีนี้ใหม่หาได้ไม่ ชอบที่ศาลจะสืบพยานฟังข้อเท็จจริงในสำนวนหลังนี้ต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2493

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน: คดีก่อนผูกพันคดีหลังไม่ได้ หากคู่ความและประเด็นข้อพิพาทเปลี่ยนแปลง
ผู้มีชื่อในโฉนดร่วมกับผู้อื่นฟ้องขอแบ่งที่ดินเฉพาะส่วนของตนจากผู้ที่ยึดถือครอบครองที่ดิน ผู้ครอบครองที่ดินต่อสู้ว่า ผู้มีชื่อในโฉนดคนอื่นเอาที่ดินนี้ตีใช้หนี้ตน ทางพิจารณาศาลฟังว่าไม่มีการตีใช้หนี้ แต่เห็นว่า การที่จะฟ้องขอแบ่งเฉพาะส่วนของโจทก์นั้นย่อมแบ่งให้ไม่ได้ จึงพิพากษายกฟ้อง ภายหลังผู้ครอบครองที่ดินเป็นโจทก์ฟ้องทายาทผู้มีชื่อในโฉนดคนหนึ่งขอให้ศาลแสดงว่า ที่พิพาทนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ครอบครองที่ดิน ทายาทผู้เป็นจำเลยต่อสู้ว่า ผู้ครอบครองที่ดินไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้องอีกเพราะเคยฟ้องกันมาแล้วและในคดีหลังนี้ ผู้มีชื่อในโฉนดที่เคยเป็นโจทก์ฟ้องผู้ครอบครองก็ได้ร้องเข้ามาเป็นจำเลยร่วม จนศาลอนุญาตแล้วก็ตาม ศาลฎีกาก็เห็นว่าจะเอาข้อเท็จจริงในคดีก่อนมารับฟังเป็นข้อเท็จจริงในคดีนี้ไม่ได้ เพราะโจทก์จำเลยในคดีนี้เป็นคู่กรณีคนใหม่ และในคดีก่อนศาลยกฟ้องเพราะเห็นว่า การฟ้องขอแบ่งเฉพาะส่วนของตน ย่อมแบ่งให้ไม่ได้ เป็นประเด็นสำคัญ การที่ผู้ครอบครองที่ดินมาฟ้องอ้างสิทธิในที่ดินนี้ทั้งแปลงประเด็นก็ไม่เหมือนกับคดีก่อนซึ่งพิพาทกันเฉพาะที่ดินส่วนของผู้มีชื่อในโฉนดผู้เป็นโจทก์ฟ้องเท่านั้น จึงจะยกเอาสำนวนก่อนมาผูกพันบังคับคู่ความคดีนี้ใหม่หาได้ไม่ชอบที่ศาลจะสืบพยานฟังข้อเท็จจริงในสำนวนหลังนี้ต่อไป(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 23/2493)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1438/2493

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำหลังศาลสั่งไม่บังคับตามยอม โจทก์ต้องอุทธรณ์คำสั่ง ไม่ใช่ฟ้องใหม่
โจทก์ฟ้องจำเลยขอไถ่ถอนการขายฝากที่ดิน แล้วตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมให้โจทก์ไถ่ถอนได้ภายในกำหนด 2 เดือน ศาลพิพากษาตามยอม ครั้นครบกำหนดแล้ว โจทก์ไม่นำเงินไปขอไถ่ถอน เพิ่งจะเอาเงินไปขอไถ่ถอนภายหลัง จำเลยจึงไม่ยอมให้ไถ่ถอน โจทก์ไปร้องต่อศาลศาลสั่งไม่บังคับให้ แต่โจทก์ก็มิได้อุทธรณ์ฎีกาคำสั่งศาล กลับนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยยอมให้โจทก์ไถ่ถอนที่ดินแปลงนี้อีก ดังนี้ ถือว่าเป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1438/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำหลังศาลสั่งไม่บังคับตามสัญญาประณีประนอม การฟ้องร้องต้องดำเนินตามคำสั่งศาลเดิม
โจทก์ฟ้องจำเลยขอไถ่ถอนการขายฝากที่ดิน แล้วตกลงทำสัญญาประณีประนอมยอมความยอมให้โจทก์ไถ่ถอนได้ภายในกำหนด 2 เดือน ศาลพิพากษาตามยอมครั้นครบกำหนดแล้วโจทก์ไม่นำเงินไปขอไถ่ถอน เพิ่งจะเอาเงินไปขอไถ่ถอนภายหลังจำเลยจึงไม่ยอมให้ไถ่ถอนโจทก์ไปร้องต่อศาล ๆ สั่งไม่บังคับให้ แต่โจทก์ก็มิได้อุทธรณ์ฎีกาคำสั่งศาล กลับนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยยอมให้โจทก์ไถ่ถอนที่ดินแปลงนี้อีก ดังนี้ถือว่าเป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1267/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อห้ามตาม ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา 144 ใช้กับคดีเดิมเท่านั้น คดีฟ้องใหม่ไม่เข้าข่าย
ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 144 วรรคต้นที่ว่า "เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งวินิจฉัย ชี้ขาดคดีหรือในประเด็นข้อใดแห่งคดีแล้ว ห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้น อันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วนั้น" เป็นบทบัญญัติห้ามไม่ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีเดิมอีกเท่านั้นถ้าเป็นคดีฟ้องใหม่ไม่ใช่คดีเดิมบทบัญญัติ ดังกล่าวไม่บังคับถึง
พี่สาวโจทก์เคยฟ้องขอแบ่งทรัพย์จากจำเลยโดยอ้างว่าเป็นมฤดกของมารดา ศาลตัดสินว่าทรัพย์พิพาทไม่ใช่มฤดกของมารดาแต่เป็นของจำเลยกับสามีมาครั้งหนึ่งแล้ว บัดนี้โจทก์มาฟ้องขอแบ่งทรัพย์นั้นจากจำเลยโดยอ้างว่าเป็นมฤดกของมารดาอีก ดังนี้คดีไม่ต้องข้อห้ามตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 144

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1267/2493

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ มาตรา 144 ว.พ.พ. ไม่ห้ามคดีฟ้องใหม่ หากไม่ใช่คดีเดิม แม้ประเด็นข้อพิพาทคล้ายคลึงกัน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 วรรคต้นที่ว่า"เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือในประเด็นข้อใดแห่งคดีแล้ว ห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้น อันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วนั้น" เป็นบทบัญญัติห้ามไม่ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีเดิมอีกเท่านั้น ถ้าเป็นคดีฟ้องใหม่ไม่ใช่คดีเดิมบทบัญญัติดังกล่าวไม่บังคับถึง
พี่สาวโจทก์เคยฟ้องขอแบ่งทรัพย์จากจำเลย โดยอ้างว่าเป็นมรดกของมารดา ศาลตัดสินว่าทรัพย์พิพาทไม่ใช่มรดกของมารดาแต่เป็นของจำเลยกับสามีมาครั้งหนึ่งแล้ว บัดนี้โจทก์มาฟ้องขอแบ่งทรัพย์นั้นจากจำเลยโดยอ้างว่าเป็นมรดกของมารดาอีก ดังนี้ คดีไม่ต้องข้อห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144
of 54