คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 271

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,756 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 492/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยผิดนัด: ศาลต้องใช้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยของโจทก์ คำสั่งเดิมขัดแย้งกับคำพิพากษา
การที่ศาลชั้นต้นระบุไว้ในคำพิพากษาว่าให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 20.25 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2542 แต่ดอกเบี้ยต้องไม่เกินประกาศกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น หมายความว่า หากมีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยใหม่ต่ำกว่าอัตราร้อยละ 20.25 ต่อปี โดยประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าว ปรากฏว่าธนาคารแห่งประเทศไทยมีประกาศ กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลดโดยให้ธนาคารพาณิชย์ออกประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บแต่ละประเภทของตนเองได้ซึ่งในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2542 ธนาคารโจทก์ได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยกรณีผิดนัดลงเหลือเพียงอัตราร้อยละ 14.50ต่อปี ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามคำแถลงของจำเลยที่ 1ที่ขอทราบจำนวนหนี้ตามคำพิพากษา เพื่อจะได้ชำระหนี้ให้ถูกต้องเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2544 ว่าให้คิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 20.25 ต่อปี ไปก่อน จนกว่าคำพิพากษาจะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขนั้น จึงเป็นคำสั่งที่มิได้คำนึงถึงข้อความในคำพิพากษาที่ให้คิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินประกาศกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย อันเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบเพราะขัดแย้งกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเอง ดังนั้น นับแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2542 โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเพียงอัตราร้อยละ 14.50 ต่อปี จนถึงวันชำระเงินตามคำพิพากษาครบถ้วนแต่หากในช่วงเวลาดังกล่าวโจทก์มีการประกาศอัตราดอกเบี้ยใหม่โจทก์ก็ต้องคิดดอกเบี้ยตามอัตราใหม่นั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 20.25 ต่อปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 456/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำหรือไม่: ความเสียหายหลังคำพิพากษาเดิม ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คดีก่อนโจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์หรือใช้ราคาแทนและให้ใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ ส่วนคดีนี้ขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายในการยึดรถยนต์และค่าเสื่อมราคา ซึ่งเป็นความเสียหายของโจทก์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากศาลมีคำพิพากษาในคดีก่อนแล้ว คำขอบังคับจำเลยทั้งสองในคดีนี้จึงต่างจากคำขอบังคับของโจทก์ในคดีก่อน และมิใช่เป็นประเด็นที่ศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ทั้งมิใช่กรณีที่จะไปว่ากล่าวในชั้นบังคับคดีในคดีก่อนได้ เพราะการบังคับคดีจะต้องอาศัยคำพิพากษาในคดีก่อนเป็นหลักแห่งคำบังคับ ซึ่งไม่มีหนี้ตามฟ้องโจทก์ในคดีนี้ที่จะบังคับให้จำเลยทั้งสองต้องชำระแก่โจทก์รวมอยู่ด้วย ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 330/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เงินวางศาลชำระหนี้ตามคำพิพากษา หากเจ้าหนี้ไม่เรียกรับภายใน 5 ปี เงินตกเป็นของแผ่นดิน
เงินที่จำเลยนำมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ตามที่ศาลออกคำบังคับ ถือได้ว่าเป็นเงินที่ค้างจ่ายอยู่ในศาล โจทก์ผู้มีสิทธิจะต้องเรียกเอาภายในห้าปีนับแต่วันที่จำเลยนำเงินมาวางศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 323 มิใช่นับจากวันที่โจทก์ผู้มีสิทธิได้ทราบถึงการวางเงิน กรณีมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิบังคับเอาแก่จำเลยได้ภายใน 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 266/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าหนี้มีสิทธิบังคับคดีภายใน 10 ปี การไม่บังคับคดีไม่ทำให้ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในหนี้ที่เพิ่มขึ้น
การบังคับคดีเป็นสิทธิตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 271 โจทก์จะบังคับคดีเมื่อใดภายใน 10 ปี จึงเป็นสิทธิที่โจทก์สามารถทำได้โดยชอบ จำเลยเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษามีหน้าที่ชำระหนี้ เมื่อจำเลยไม่ชำระ จึงต้องรับผิดในหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากจำนวนดอกเบี้ยที่ศาลกำหนดไว้ในคำพิพากษามิใช่เป็นผลจากการที่โจทก์ไม่ดำเนินการบังคับคดี การที่โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินการบังคับคดีในทันทีทำให้จำเลยเป็นหนี้โจทก์มากขึ้นจึงมิใช่เหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 266/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าหนี้ในการบังคับคดีและการล้มละลายของลูกหนี้: การเพิกเฉยไม่บังคับคดีไม่เป็นเหตุล้มละลาย
การบังคับคดีเป็นสิทธิตามกฎหมาย โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องดำเนินการบังคับคดีตาม ขั้นตอนให้ครบถ้วนภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาและตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษานั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 ดังนั้นโจทก์จะดำเนินการบังคับคดีเมื่อใด ภายในกำหนด 10 ปี จึงเป็นสิทธิที่โจทก์สามารถทำได้โดยชอบ จำเลยเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษามีหน้าที่นำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยไม่ชำระ จึงต้องรับผิดในหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากจำนวนดอกเบี้ยที่ศาลกำหนดไว้ในคำพิพากษาแก่โจทก์ หาใช่เป็นผลจากการที่โจทก์ไม่ดำเนินการบังคับคดีแต่อย่างใด ดังนั้น การที่โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินการบังคับดีในทันทีจึงมิใช่เหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 210/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ตามคำพิพากษาต้องถูกต้องตามสภาพรถยนต์ที่ใช้การได้ โจทก์มีสิทธิปฏิเสธรับมอบหากสภาพไม่ดี
ศาลชั้นต้นมีคำวินิจฉัยไว้ว่าจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อผิดสัญญาจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 2ผู้ค้ำประกันส่งมอบรถยนต์ในสภาพใช้การได้ดีคืนโจทก์ หากไม่ส่งมอบคืนก็ให้ใช้ราคาแทน แม้ในตอนท้ายของคำพิพากษามิได้ระบุว่ารถยนต์จะต้องอยู่ในสภาพเช่นไรก็ตามแต่ก็พึงเป็นที่เข้าใจว่าจะต้องอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดีดังที่ได้มีคำวินิจฉัยไว้แล้วในตอนต้นเพราะการพิจารณาถึงความหมายของคำพิพากษาเพื่อปฏิบัติการชำระหนี้ที่ถูกต้อง จะต้องพิจารณาจากคำพิพากษาทั้งฉบับ ดังนั้น เมื่อรถยนต์ไม่อยู่ในสภาพใช้การได้ดีแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์แก่โจทก์ ก็เท่ากับจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้องตรงตามคำพิพากษา โจทก์ย่อมมีสิทธิปฏิเสธไม่ยอมรับรถยนต์และขอให้บังคับจำเลยทั้งสองปฏิบัติชำระหนี้ตามคำพิพากษาลำดับที่สองต่อไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 210/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิเสธการรับมอบรถยนต์ที่ชำระหนี้ไม่ถูกต้องตามคำพิพากษา ศาลมีสิทธิปฏิเสธและบังคับตามคำพิพากษาเดิมได้
ศาลชั้นต้นมีคำวินิจฉัยชัดเจนให้จำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อร่วมกับจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันส่งมอบรถยนต์ในสภาพใช้การได้ดีคืนโจทก์ หากไม่ส่งมอบคืนก็ให้ใช้ราคาแทนพร้อมกับค่าเสียหาย แม้ในตอนท้ายของคำพิพากษาจะมิได้ระบุว่าจำเลยทั้งสองจะต้องส่งมอบรถยนต์แก่โจทก์ในสภาพเช่นไรแต่ก็พึงเข้าใจได้ว่าจะต้องส่งมอบในสภาพที่ใช้การได้ดีดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้แล้วในตอนต้น เพราะการพิจารณาถึงความหมายของคำพิพากษาเพื่อปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้องนั้นต้องพิจารณาจากคำพิพากษาทั้งฉบับ มิใช่เฉพาะแต่ส่วนใดส่วนหนึ่ง การที่จำเลยที่ 1 นำรถยนต์มาส่งมอบแก่โจทก์หลังจากมีคำบังคับแล้วถึง 1 ปีเศษ ซึ่งเมื่อตรวจสอบแล้วปรากฏว่าไม่มีทะเบียนทำให้ไม่ทราบว่าเป็นรถยนต์คันเดียวกับที่ศาลมีคำพิพากษาหรือไม่ แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ใช้รถยนต์อย่างไม่ดูแลรักษา เพราะแม้กระทั่งทะเบียนรถก็ไม่มี ฉะนั้น การที่โจทก์ไม่ยอมรับรถยนต์โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติการชำระหนี้ไม่ถูกต้องตรงตามคำพิพากษาเพราะไม่อยู่ในสภาพใช้การได้ดีจึงมีเหตุผลและเป็นการกระทำโดยชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 210/2545 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ตามคำพิพากษาต้องถูกต้องตามสภาพรถยนต์ที่ส่งมอบ โจทก์มีสิทธิปฏิเสธหากสภาพไม่ใช้การได้
การพิจารณาถึงความหมายของคำพิพากษาเพื่อปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้อง จะต้องพิจารณาจากคำพิพากษาทั้งฉบับมิใช่แต่เฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง
ศาลชั้นต้นมีคำวินิจฉัยไว้ชัดเจนว่าจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อผิดสัญญาจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันส่งมอบ รถยนต์ในสภาพใช้การได้ดีคืนโจทก์หากไม่ส่งมอบคืนก็ให้ใช้ราคาแทนพร้อมกับค่าเสียหาย แม้ในตอนท้ายของ คำพิพากษาจะมิได้ระบุว่ารถยนต์ที่จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ส่งมอบแก่โจทก์จะต้องอยู่ในสภาพเช่นไรก็ตาม แต่ก็พึงเป็นที่เข้าใจได้ว่ารถยนต์จะต้องอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดีดังที่ศาลได้มีคำวินิจฉัยไว้ในตอนต้น หากรถยนต์ไม่อยู่ในสภาพใช้การได้ดีแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ดังกล่าวแก่โจทก์ก็เท่ากับจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้องตรงตามคำพิพากษา โจทก์ย่อมมีสิทธิปฏิเสธไม่ยอมรับรถยนต์และขอให้บังคับจำเลยทั้งสองปฏิบัติการชำระหนี้ตาม คำพิพากษาลำดับที่สองต่อไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9660/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อผิดนัดโจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้ ศาลไม่จำเป็นต้องไต่สวนคำร้อง
จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้มีคำสั่งยกเลิกหมายบังคับคดีโดยอ้างว่า ศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายตาม ป.วิ.พ.มาตรา 296 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อไม่มีเหตุที่ศาลจะมีคำสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขหมายบังคับคดีศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะยกคำร้องได้ บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมิได้บังคับว่าศาลชั้นต้นจะต้องไต่สวนคำร้องก่อนมีคำสั่ง
ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลมีคำพิพากษาตามยอมได้กำหนดวันเวลาที่จำเลยจะต้องชำระเงินให้โจทก์ไว้ก่อนวันเวลาที่โจทก์จะต้องมีหน้าที่ปฎิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ อันเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งมีกำหนดเวลาที่แน่นอน จำเลยจะเข้าใจเอาเองว่าโจทก์จะไม่ดำเนินการอย่างใด ๆ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แล้วจำเลยระงับการชำระค่าจ้างที่จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความไว้ชั่วคราวหาได้ไม่ เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าจ้างให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามวันที่กำหนดไว้ ถือได้ว่าจำเลยผิดนัดโจทก์มีสิทธิขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยได้ทันที

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8616/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บังคับคดีตามคำพิพากษาซื้อขายบ้าน: โจทก์ต้องดำเนินการตามลำดับที่ศาลกำหนด แม้บ้านมีสภาพชำรุด
คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสองให้จำเลยทำสัญญาซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินแปลงที่ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายและรับชำระราคาบ้านพร้อมที่ดินส่วนที่เหลือ ให้จำเลยติดตั้งโทรศัพท์ประจำบ้านที่ตกลงจะขายและชำระค่าขาดประโยชน์เป็นเงินเดือนละ 10,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะโอนขายบ้านพร้อมที่ดินแก่โจทก์ หากไม่อาจโอนขายบ้านและที่ดินได้ให้คืนเงิน 950,000 บาท และชำระค่าเสียหาย 1,000,000บาท พร้อมดอกเบี้ยจากต้นเงิน 1,950,000 บาท ในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดังนั้นการบังคับคดีจึงต้องอาศัยคำพิพากษาดังกล่าวเป็นหลักแห่งการบังคับ เมื่อจำเลยได้ติดตั้งโทรศัพท์ประจำบ้านที่ตกลงจะซื้อจะขายและพร้อมจะทำสัญญาซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินด้วยการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ เท่ากับจำเลยพร้อมจะปฏิบัติตามคำพิพากษาในลำดับแรกแล้ว โจทก์จะกล่าวอ้างและเรียกร้องให้จำเลยแก้ไขความชำรุดบกพร่องและความไม่เรียบร้อยของบ้านพิพาทก่อนโดยจำเลยไม่ยอมรับและตกลงด้วยนั้นไม่ได้ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าบ้านพิพาทอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อย โจทก์เสียหายอย่างไรก็ต้องไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยเป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก
of 176