พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,756 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3669/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยมีหน้าที่จดทะเบียนโอนรถยนต์ตามคำพิพากษา แม้กรรมสิทธิ์โอนไปแล้ว แต่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาให้ครบถ้วน
คำพิพากษาของศาลฎีกาที่บังคับให้จำเลยโอนรถยนต์โดยสารพิพาท ให้เป็นชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ โดยให้ไปจดทะเบียนโอนนั้น จำเลยย่อม มีหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนโอนรถยนต์โดยสารพิพาทให้เป็นชื่อโจทก์ เป็นเจ้าของ และกระทำการอันจำเป็นเพื่อให้มีการจดทะเบียนได้ตาม คำพิพากษา การที่จำเลยเพียงแต่นำเอาเอกสารหลักฐานการโอนทะเบียนไปมอบไว้ต่อศาลชั้นต้น เพื่อให้โจทก์รับไปจัดการจดทะเบียนเอง ครั้นโจทก์นำไปจัดการปรากฏว่ามีเหตุขัดข้อง เพราะต้องไปดำเนินการต่อเจ้าพนักงานทะเบียนรถยนต์กรมตำรวจเสียก่อน และผู้ที่จะไปจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้คือบุคคลอื่นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของในทะเบียน ทั้งต้องนำรถไปตรวจสภาพด้วย จำเลยจึงยังหาได้ดำเนินการจดทะเบียนโอน รถยนต์โดยสารพิพาทให้เป็นชื่อโจทก์ตามคำพิพากษาไม่ แม้ขณะศาล พิพากษารถยนต์โดยสารได้ตกมาอยู่ในความควบคุมของนายทะเบียนขนส่งตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 4 จำเลยจึงได้ดำเนินการทำหลักฐานการโอนทะเบียนให้ต่อนายทะเบียนขนส่งเพื่อให้ คำพิพากษาของศาลมีผลบังคับได้แต่เมื่อตามหลักฐานที่จำเลยทำให้ ไปยังไม่อาจจดทะเบียนโอนรถยนต์โดยสารพิพาทให้เป็นชื่อโจทก์ เป็นเจ้าของได้ เพราะต้องให้บุคคลอื่นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของในทะเบียน ไปดำเนินการต่อเจ้าพนักงานทะเบียนรถยนต์กรมตำรวจเสียก่อน จำเลยจึงจะอ้างว่าได้ปฏิบัติชอบด้วยคำพิพากษาแล้วมิได้
หากรถยนต์โดยสารพิพาททรุดโทรมจนไม่อยู่ในสภาพที่จะจดทะเบียนโอนกันได้ ก็ถือได้ว่าเป็นกรณีจำเลยไม่สามารถจดทะเบียน โอนรถยนต์โดยสารพิพาทได้ ซึ่งตามคำพิพากษากำหนดว่าจำเลยจะ ต้องชำระเงินค่ารถพิพาท 2 คัน จำนวน 300,000บาท ให้โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยนั่นเอง จำเลยจะอ้างเอาการที่รถทรุดโทรมเพราะ การใช้ตามปกติของโจทก์มาเป็นข้ออ้างเพื่อไม่ชำระเงินตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้วมิได้
แม้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์โดยสารพิพาทได้โอนไปยังโจทก์แล้วตั้งแต่ที่จำเลยส่งมอบแก่โจทก์มิใช่ด้วยการโอนทะเบียนนั้น จำเลยก็ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา คือโอนทะเบียนรถยนต์โดยสารพิพาทให้โจทก์
หากรถยนต์โดยสารพิพาททรุดโทรมจนไม่อยู่ในสภาพที่จะจดทะเบียนโอนกันได้ ก็ถือได้ว่าเป็นกรณีจำเลยไม่สามารถจดทะเบียน โอนรถยนต์โดยสารพิพาทได้ ซึ่งตามคำพิพากษากำหนดว่าจำเลยจะ ต้องชำระเงินค่ารถพิพาท 2 คัน จำนวน 300,000บาท ให้โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยนั่นเอง จำเลยจะอ้างเอาการที่รถทรุดโทรมเพราะ การใช้ตามปกติของโจทก์มาเป็นข้ออ้างเพื่อไม่ชำระเงินตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้วมิได้
แม้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์โดยสารพิพาทได้โอนไปยังโจทก์แล้วตั้งแต่ที่จำเลยส่งมอบแก่โจทก์มิใช่ด้วยการโอนทะเบียนนั้น จำเลยก็ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา คือโอนทะเบียนรถยนต์โดยสารพิพาทให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3631/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนการยึดทรัพย์ไม่ถือเป็นการสละสิทธิในการบังคับคดี ตราบใดที่หนี้ยังไม่ถูกชำระ
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์แล้วขอถอนการยึดไปโดยอ้างในคำร้องว่า โจทก์ยังไม่คิดจะยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาดต่อไป ขอถอนการยึดโดยยอมเสียค่าธรรมเนียมตามกฎหมาย ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์สละสิทธิในการบังคับคดี ตราบเท่าที่จำเลยยังไม่ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ย่อมขอให้บังคับคดีได้ต่อไปอีกภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ ดังนั้นโจทก์จึงขอให้ยึดทรัพย์ของจำเลยที่เคยขอถอนการยึดไปแล้วนั้นได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3631/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนการยึดทรัพย์ไม่ถือเป็นการสละสิทธิในการบังคับคดี ตราบเท่าที่หนี้ยังไม่ถูกชำระ
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์แล้วขอถอนการยึดไปโดยอ้างในคำร้องว่า โจทก์ยังไม่คิดจะยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาดต่อไป ขอถอนการยึดโดยยอมเสียค่าธรรมเนียมตามกฎหมาย ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์สละสิทธิในการบังคับคดี ตราบเท่าที่จำเลยยังไม่ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์ย่อมขอให้บังคับคดีได้ต่อไปอีกภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ ดังนั้นโจทก์จึงขอให้ยึดทรัพย์ของจำเลยที่เคยขอถอนการยึดไปแล้วนั้นได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3365/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ: การรุกล้ำที่ดินหลังทำสัญญาถือเป็นการจงใจไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา
โจทก์จำเลยพิพาทกันเกี่ยวกับที่ดินซึ่งมีอยู่ติดต่อกันในที่สุดได้ยอมความกันในศาล โดยโจทก์ยอมขายที่ดินตามอาณาเขตที่กำหนดกันไว้ให้แก่จำเลย และจำเลยตกลงจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินส่วนที่ไม่ได้ขาย ศาลพิพากษาตามยอม เห็นได้ว่าข้อสาระสำคัญแห่งสัญญาคือจำเลยจะต้องไม่บุกรุกที่ดินโจทก์ การที่จำเลยสร้างกำแพงรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์เกินกว่าอาณาเขตที่โจทก์ขาย ถือได้ว่าจำเลยจงใจไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงชอบที่จะขอให้บังคับคดีได้โดยไม่จำต้องฟ้องเป็นคดีใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3359/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ: การกำหนดเวลาชำระหนี้รายเดือนโดยไม่ระบุวันตายตัว
สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยมีข้อความว่า จำเลยสัญญาว่าจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น 30,000 บาท โดยจะผ่อนชำระให้เป็นรายเดือนเดือนละ 500 บาท เริ่มเดือนแรกในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2524 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น เป็นการกำหนดให้จำเลยชำระเงินเป็นรายเดือนโดยมิได้ระบุวันที่แน่นอน คงระบุเฉพาะเดือนแรกเท่านั้น ฉะนั้น ในเดือนถัดไปจำเลยจะชำระในวันใดก็ได้ เพียงแต่ให้อยู่ในกำหนดของแต่ละเดือน. การที่จำเลยส่งเงินทางธนาณัติเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์เดือนที่สามคือเดือนมกราคม 2525 โดยส่งในวันที่ 21 นั้น ถือได้ว่าจำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์ตรงตามสัญญาแล้วมิได้ผิดนัด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3359/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ การกำหนดวันชำระหนี้ที่ยืดหยุ่น
สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยมีข้อความว่า จำเลยสัญญาว่าจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น 30,000 บาท โดยจะผ่อนชำระให้เป็นรายเดือนเดือนละ 500 บาท เริ่มเดือนแรกในวันที่ 18 พฤศจิกายน2524 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น เป็นการกำหนดให้จำเลยชำระเงินเป็นรายเดือนโดยมิได้ระบุวันที่แน่นอน คงระบุเฉพาะเดือนแรกเท่านั้น ฉะนั้น ในเดือนถัดไปจำเลยจะชำระในวันใดก็ได้ เพียงแต่ให้อยู่ในกำหนดของแต่ละเดือน. การที่จำเลยส่งเงินทางธนาณัติเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์เดือนที่สามคือเดือนมกราคม 2525 โดยส่งในวันที่ 21 นั้น ถือได้ว่าจำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์ตรงตามสัญญาแล้วมิได้ผิดนัด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3351/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บทบัญญัติมาตรา 13 พ.ร.บ.การรถไฟฯ ไม่ใช่ข้ออ้างปฏิเสธหนี้ แต่ใช้บังคับคดีเมื่อจำเป็น สิทธิฟ้องร้องกับบังคับคดีเป็นคนละส่วน
มาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย ๆ ไม่ใช่บทบัญญัติที่มีไว้เพื่อประโยชน์ในการปฏิเสธหนี้ในทุกกรณี แต่เป็นบทบัญญัติที่มีไว้ใช้ในชั้นบังคับคดีในกรณีที่มีความจำเป็นต้องบังคับคดีเท่านั้น ที่จำเลยยกมาตรา 13 ขึ้นต่อสู้เพื่อปฏิเสธความรับผิดไม่จ่ายค่าชดเชยตามฟ้องโดยอ้างว่าเป็นการพ้นวิสัยที่ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีจึงไม่ถูกต้อง เพราะสิทธิในการฟ้องร้องกับปัญหาในการบังคับคดีเป็นคนละเรื่องกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2754-2755/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ตามคำพิพากษา: คืนทรัพย์ที่ลักไปเท่านั้น, ไม่อาจบังคับให้ขุดของจากที่ดินผู้อื่นได้
การที่ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนทรัพย์คือมันสำปะหลังให้โจทก์ร่วมหมายถึงมันสำปะหลังที่จำเลยลักเอาไปจากโจทก์ร่วมเท่านั้น แม้โดยสภาพมันสำปะหลังจะเป็นสังกมทรัพย์จำเลยก็ไม่มีสิทธิขอให้ศาลบังคับโจทก์ร่วมไปขุดมันสำปะหลังจากไร่ของจำเลย เมื่อจำเลยไม่คืนมันสำปะหลังที่ลักเอาไปให้โจทก์ร่วมตามคำบังคับ โจทก์ร่วมย่อมมีสิทธิขอให้ศาลออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยมาขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ร่วมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2754-2755/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยต้องคืนมันสำปะหลังที่ลักไปเท่านั้น ศาลไม่อนุญาตให้ชดใช้ด้วยการขุดมันสำปะหลังในไร่ของจำเลย
การที่ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนทรัพย์คือมันสำปะหลังให้โจทก์ร่วมหมายถึงมันสำปะหลังที่จำเลยลักเอาไปจากโจทก์ร่วมเท่านั้น แม้โดยสภาพมันสำปะหลังจะเป็นสังกมทรัพย์จำเลยก็ไม่มีสิทธิขอให้ศาลบังคับโจทก์ร่วมไปขุดมันสำปะหลังจากไร่ของจำเลย เมื่อจำเลยไม่คืนมันสำปะหลังที่ลักเอาไปให้โจทก์ร่วมตามคำบังคับ โจทก์ร่วมย่อมมีสิทธิขอให้ศาลออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยมาขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ร่วมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2278/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้ตามคำพิพากษา: การบังคับคดีและการสะดุดหยุดอายุความ
การที่โจทก์ดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา ถือได้ว่าเป็นการทำการอื่นใดอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดีเพื่อให้ใช้หนี้ตามที่เรียกร้องดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 อายุความจึงสะดุดหยุดลง จำเลยทั้งสามร้องคัดค้านการขายทอดตลาดและใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อมา เมื่อคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาฎีกาอายุความจึงเริ่มนับใหม่แต่เวลานั้นสืบไป ดังนั้นนับแต่วันศาลฎีกาพิพากษาถึงวันที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีล้มละลาย สิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาชั้นที่สุดของศาลดังกล่าวจึงยังไม่ขาดอายุความ