พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,756 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 379/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการ通行ทางพิพาท: อนุญาตการใช้ทางสำหรับคน สัตว์ และเครื่องจักรกลเกษตร แต่เว้นรถยนต์
ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิเดินผ่านตามทางพิพาทรวมถึงสัตว์พาหนะและพาหนะอย่างอื่น เว้นแต่รถยนต์ ดังนี้โจทก์นำรถไถนาซึ่งเป็นรถ 2 ล้อ ใช้เครื่องยนต์ สำหรับลากจูงเครื่องอุปกรณ์ไถนาผ่านได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2940/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งแยกที่ดินตามการครอบครองจริง แม้เนื้อที่ตามโฉนดไม่ตรงกับที่รังวัดได้ ศาลต้องยึดส่วนสัดการครอบครองเป็นหลัก
ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลย 4 คนแบ่งแยกที่ดินกรรมสิทธิ์รวมซึ่งมีเนื้อที่ตามโฉนด 81 ไร่ 2 งาน 42ตารางวา ให้เป็นส่วนของโจทก์เนื้อที่ 27 ไร่84 ตารางวาตามที่ครอบครอง เมื่อได้ความจากพยานหลักฐานในชั้นพิจารณาว่าโจทก์จำเลยต่างได้ปกครองที่พิพาทกันตามส่วนของตน และเมื่อคำนวณตามส่วนสัดของที่ดินทั้งหมดเป็นเกณฑ์แล้ว ผลปรากฏว่าโจทก์มีอยู่ 2 ส่วน จำเลยทั้งสี่มีคนละ 1 ส่วนย่อมเห็นได้ว่าความสำคัญตามคำพิพากษาต้องถือเอาส่วนสัดที่ต่างคนต่างปกครองเป็นสำคัญข้อความที่เกี่ยวกับจำนวนเนื้อที่นั้นเป็นเพียงความประสงค์ที่จะแสดงถึงส่วนสัดที่คำนวณได้จากจำนวนเนื้อที่ที่ปรากฏอยู่ในโฉนดเท่านั้นฉะนั้นเมื่อปรากฏในชั้นบังคับคดีว่าเนื้อที่ดินตามโฉนดขาดไป คงรังวัดได้ 71 ไร่ 2 งาน 70 ตารางวา จึงชอบที่จะถือเอาส่วนที่ดินที่โจทก์ครอบครองตามที่ระบุไว้ในคำพิพากษา เป็นเงื่อนไขสำคัญกว่าจำนวนเนื้อที่สำหรับใช้เป็นหลักในการบังคับคดี ศาลย่อมให้แบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ 2 ใน 6 ส่วนของที่ดินที่รังวัดได้ ขาดเกินเพียงใดให้คิดชดเชยกันระหว่างที่ดินที่โจทก์ครอบครองกับที่ดินติดต่อส่วนที่เหลือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2940/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งแยกที่ดิน: ถือการครอบครองเป็นหลัก แม้เนื้อที่โฉนดไม่ตรงกับที่รังวัดจริง
ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลย 4 คนแบ่งแยกที่ดินกรรมสิทธิ์รวมซึ่งมีเนื้อที่ตามโฉนด 81 ไร่ 2 งาน 52 ตารางวา ให้เป็นส่วนของโจทก์เนื้อที่ 27 ไร่ 84 ตารางวา ตามที่ครอบครอง เมื่อได้ความจากพยานหลักฐานในชั้นพิจารณาว่าโจทก์จำเลยต่างได้ปกครองที่พิพาทกันตามส่วนของตน และเมื่อคำนวณตามส่วนสัดของที่ดินทั้งหมดเป็นเกณฑ์แล้ว ผลปรากฏว่าโจทก์มีอยู่ 2 ส่วน จำเลยทั้งสี่มีคนละ 1 ส่วน ย่อมเห็นได้ว่าความสำคัญตามคำพิพากษาต้องถือเอาส่วนสัดที่ต่างคนต่างปกครองเป็นสำคัญ ข้อความที่เกี่ยวกับจำนวนเนื้อที่นั้นเป็นเพียงความประสงค์ที่จะแสดงถึงส่วนสัดที่คำนวณได้จากจำนวนเนื้อที่ที่ปรากฏอยู่ในโฉนดเท่านั้น ฉะนั้น เมื่อปรากฏในชั้นบังคับคดีว่าเนื้อที่ดินตามโฉนดขาดไป คงรังวัดได้ 71 ไร่ 2 งาน 70 ตารางวา จึงชอบที่จะถือเอาส่วนที่ดินที่โจทก์ครอบครองตามที่ระบุไว้ในคำพิพากษาเป็นเงื่อนไขสำคัญกว่าจำนวนเนื้อที่สำหรับใช้เป็นหลักในการบังคับคดี ศาลย่อมให้แบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ 2 ใน 6 ส่วนของที่ดินที่รังวัดได้ ขาดเกินเพียงใดให้คิดชดเชยกันระหว่างที่ดินที่โจทก์ครอบครองกับที่ดินติดต่อส่วนที่เหลือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2367/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับการบังคับคดีตามคำพิพากษา: ต้องแบ่งทรัพย์สินก่อนใช้ค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ให้กลับมาเป็นของโจทก์และจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันคนละครึ่ง ให้แบ่งที่ดินดังกล่าวให้โจทก์กับจำเลยที่ 1 คนละเท่าๆกัน หากตกลงแบ่งกันไม่ได้ให้ประมูลระหว่างกันเอง หรือขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง หากจำเลยทั้งสองไม่สามารถจัดการให้เป็นไปตามข้อแรกได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายหรือค่าที่ดินให้โจทก์150,000บาท ดังนี้ การบังคับคดีต้องเป็นไปตามลำดับที่ศาลได้พิพากษาไว้ คือต้องแบ่งที่ดินพิพาทกันระหว่างโจทก์และจำเลยที่1 ผู้เป็นเจ้าของรวมเสียก่อน ถ้าการแบ่งตกลงกันไม่ได้ก็เอาที่ดินออกขายแบ่งเงินกันตามส่วน จำเลยที่ 1 จะไม่ยอมแบ่งที่ดินให้โจทก์โดยจะเลือกใช้ค่าเสียหายแทนหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2367/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามลำดับขั้นตอนที่ศาลพิพากษา การแบ่งทรัพย์สินก่อนชำระค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ให้กลับมาเป็นของโจทก์และจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันคนละครึ่ง ให้แบ่งที่ดินดังกล่าวให้โจทก์กับจำเลยที่ 1 คนละเท่า ๆ กัน หากตกลงแบ่งกันไม่ได้ให้ประมูลระหว่างกันเอง หรือขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง หากจำเลยทั้งสองไม่สามารถจัดการให้เป็นไปตามข้อแรกได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหาย หรือค่าที่ดินให้โจทก์ 150,000 บาท ดังนี้ การบังคับคดีต้องเป็นไปตามลำดับที่ศาลได้พิพากษาไว้ คือต้องแบ่งที่ดินพิพาทกันระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ผู้เป็นเจ้าของรวมเสียก่อน ถ้าการแบ่งตกลงกันไม่ได้ก็เอาที่ดินออกขายแบ่งเงินกันตามส่วน จำเลยที่ 1 จะไม่ยอมแบ่งที่ดินให้โจทก์โดยจะเลือกใช้ค่าเสียหายแทนหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2323/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจบังคับคดีขับไล่หลังการโอนสิทธิ - ยังคงมีผล
แม้โจทก์จะโอนขายกรรมสิทธิ์ห้องพิพาทไปในระหว่างการบังคับคดีตามคำพิพากษา โจทก์ก็คงยังมีอำนาจบังคับคดีให้จำเลยและบริวารออกไปจากห้องพิพาทตามคำพิพากษาให้ขับไล่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2217/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินและการบังคับคดี: กรณีตัวแทนทำสัญญาซื้อขายและหนี้สินสมรส
จำเลยมาศาลโดยไม่ปรากฏว่านอกจากตัวจำเลยแล้วมีพยานจำเลยมาศาลอีก และไม่ปรากฏว่าเมื่อศาลสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดี และถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบกับให้นัดสืบพยานโจทก์ต่อไปแล้วจำเลยได้แถลงขอสืบพยานที่มาศาล ดังนั้น จำเลยจะอ้างว่าการที่ศาลไม่ถามจำเลยเสียก่อนว่า จำเลยจะสืบพยานของจำเลยต่อไปหรือไม่นั้น เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นเพราะเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องแถลงต่อศาลเอง
ศาลพิพากษาให้ อ. ใช้เงินคืนแก่สามีจำเลยตามฟ้องจำเลยมิได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับสามี สามีจำเลยเท่านั้นที่จะบังคับยึดทรัพย์ของ อ. ตามคำพิพากษาได้
เมื่อทรัพย์ที่พิพาทเป็นของโจทก์ แม้ปรากฏว่า อ. ในในฐานะตัวแทนโจทก์มีอำนาจทำสัญญาขายที่พิพาทให้สามีจำเลยได้ แต่โจทก์ก็มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับ อ.และอ. ก็มิได้ถูกฟ้องในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ ทั้งจำเลยและสามีจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของ อ.จึงไม่มีสิทธิบังคับคดีเหนือที่พิพาทซึ่งเป็นของโจทก์และเป็นบุคคลนอกคดีได้
ศาลพิพากษาให้ อ. ใช้เงินคืนแก่สามีจำเลยตามฟ้องจำเลยมิได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับสามี สามีจำเลยเท่านั้นที่จะบังคับยึดทรัพย์ของ อ. ตามคำพิพากษาได้
เมื่อทรัพย์ที่พิพาทเป็นของโจทก์ แม้ปรากฏว่า อ. ในในฐานะตัวแทนโจทก์มีอำนาจทำสัญญาขายที่พิพาทให้สามีจำเลยได้ แต่โจทก์ก็มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับ อ.และอ. ก็มิได้ถูกฟ้องในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ ทั้งจำเลยและสามีจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของ อ.จึงไม่มีสิทธิบังคับคดีเหนือที่พิพาทซึ่งเป็นของโจทก์และเป็นบุคคลนอกคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2217/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการยึดหน่วงทรัพย์สินของคู่สัญญาเช่าซื้อและการบังคับคดีต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
จำเลยมาศาลโดยไม่ปรากฏว่านอกจากตัวจำเลยแล้วมีพยานจำเลยมาศาลอีก และไม่ปรากฏว่าเมื่อศาลสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดี และถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบกับให้นัดสืบพยานโจทก์ต่อไปแล้วจำเลยได้แถลงขอสืบพยานที่มาศาล ดังนั้น จำเลยจะอ้างว่าการที่ศาลไม่ถามจำเลยเสียก่อนว่า จำเลยจะสืบพยานของจำเลยต่อไปหรือไม่นั้น เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นเพราะเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องแถลงต่อศาลเอง
ศาลพิพากษาให้ อ. ใช้เงินคืนแก่สามีจำเลยตามฟ้อง จำเลยมิได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับสามี สามีจำเลยเท่านั้นที่จะบังคับยึดทรัพย์ของ อ. ตามคำพิพากษาได้
เมื่อทรัพย์ที่พิพาทเป็นของโจทก์ แม้ปรากฏว่า อ. ในฐานะตัวแทนโจทก์มีอำนาจทำสัญญาขายที่พิพาทให้สามีจำเลยได้ แต่โจทก์ก็มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับ อ. และ อ. ก็มิได้ถูกฟ้องในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ ทั้งจำเลยและสามีจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของ อ. จึงไม่มีสิทธิ์บังคับคดีเหนือที่พิพาทซึ่งเป็นของโจทก์และเป็นบุคคลนอกคดีได้
ศาลพิพากษาให้ อ. ใช้เงินคืนแก่สามีจำเลยตามฟ้อง จำเลยมิได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับสามี สามีจำเลยเท่านั้นที่จะบังคับยึดทรัพย์ของ อ. ตามคำพิพากษาได้
เมื่อทรัพย์ที่พิพาทเป็นของโจทก์ แม้ปรากฏว่า อ. ในฐานะตัวแทนโจทก์มีอำนาจทำสัญญาขายที่พิพาทให้สามีจำเลยได้ แต่โจทก์ก็มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับ อ. และ อ. ก็มิได้ถูกฟ้องในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ ทั้งจำเลยและสามีจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของ อ. จึงไม่มีสิทธิ์บังคับคดีเหนือที่พิพาทซึ่งเป็นของโจทก์และเป็นบุคคลนอกคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2174/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยผิดนัดหลังยอมความ: ไม่บังคับได้
คู่ความยอมความกันในคดีให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องถึงวันทำยอม ศาลพิพากษาให้เป็นไปตามนั้นแล้ว โจทก์จะขอบังคับให้ชำระดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดหลังจากวันยอมความจนถึงวันชำระเสร็จไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1646/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความบังคับคดี: การร้องขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปี ทำให้สิทธิในการบังคับคดีไม่ขาดอายุความ
เมื่อโจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปีนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะดำเนินการบังคับต่อไปจนกว่าการบังคับจะแล้วเสร็จ