คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 271

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,756 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 696/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบังคับคดี: โจทก์มีสิทธิบังคับคดีต่อได้แม้เกิน 10 ปี หากร้องขอภายในกำหนด
เมื่อโจทก์ร้องขอบังคับภายใน 10 ปีนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 แล้ว โจทก์ก็มีสิทธิที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไปจนกว่าการบังคับคดีจะแล้วเสร็จ แม้จะเกิน 10 ปีนับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาโจทก์ก็ไม่หมดสิทธิ์ที่จะดำเนินการบังคับคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 696/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบังคับคดีไม่ระงับ แม้เวลาเกิน 10 ปี หากเจ้าหนี้ร้องขอภายในกำหนด
เมื่อโจทก์ร้องขอบังคับคดีภายใน 10 ปีนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา271 แล้วโจทก์ก็มีสิทธิที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไปจนกว่าการบังคับคดีจะแล้วเสร็จ แม้จะเกิน 10 ปีนับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา โจทก์ก็ไม่หมดสิทธิที่จะดำเนินการบังคับคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2388/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: การขายทรัพย์สินและการชำระหนี้เป็นงวด ศาลฎีกาชี้ว่าจำเลยยังไม่ผิดสัญญา
ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในศาล ข้อ 2 มีข้อความดังนี้ "หากจำเลยตกลงขายหรือโอนทรัพย์สินใดๆ ของจำเลยได้ก่อนในรอบระยะชำระหนี้ 6 เดือนแรกหรือในระยะ 6 เดือนต่อๆ ไปก็ตาม จำเลยจะต้องแจ้งให้ศาลและโจทก์ทราบด้วย และให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ก่อน ภายในวงเงินที่จะต้องชำระตามงวดในข้อ 1 หากจำเลยไม่แจ้งศาลหรือไม่แจ้งโจทก์ หรือไม่ชำระเงินแก่โจทก์เมื่อขายหรือโอนทรัพย์สินใดๆ ของจำเลยแล้ว ให้ถือว่าจำเลยผิดนัดและยอมให้โจทก์บังคับคดีทั้งหมดทันที ที่จะถือว่าจำเลยผิดนัดและยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทั้งหมดนั้น มีดังนี้คือเมื่อขายทรัพย์สินใด ๆ ของจำเลยแล้วไม่แจ้งศาล หรือไม่แจ้งโจทก์หรือไม่ชำระเงินให้แก่โจทก์ ข้อความในสัญญาใช้คำว่า หรือ ดังนั้น จำเลยจะเลือกปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ ไม่เป็นการผิดสัญญา ตามสัญญาข้อนี้มิได้บังคับให้จำเลยนำเงินทั้งหมดที่ขายทรัพย์สินได้มาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ทั้งหมด แต่ให้ชำระหนี้แก่โจทก์ก่อนภายในวงเงินที่จะต้องชำระตามงวดเท่านั้น งวดที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระจำเลยจึงไม่ต้องชำระให้แก่โจทก์ แม้จะขายทรัพย์สินได้เป็นเงินจำนวนเกินกว่าหนี้ทั้งหมดของโจทก์ก็ตาม และตามสัญญามิได้มีข้อตกลงให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นจำนวนเงินน้อยกว่าจำนวนเงินที่จะต้องชำระกันเป็นงวดๆ เมื่อขายทรัพย์สินได้ ดังนั้นแม้จำเลยจะขายทรัพย์สินไปแล้ว ก็ต้องรวบรวมเงินให้ได้จำนวนพอแก่การชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นงวดๆ ตามสัญญาตามคำร้องของโจทก์ จำเลยขายแร่ไปเพียง 97 หาบ ไม่ปรากฏว่าราคาเท่าใดพอจะชำระหนี้งวดแรกให้แก่โจทก์หรือไม่ ก็ไม่ทราบวันที่จำเลยขายแร่ก็ยังไม่ถึงกำหนดชำระเงินงวดแรก ดังนั้น จำเลยจึงยังมิได้กระทำผิดสัญญาที่จะทำให้โจทก์มีสิทธิบังคับคดีทั้งหมดได้ในทันที

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2388/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: การขายทรัพย์สินและการชำระหนี้เป็นงวด ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยยังมิได้ผิดสัญญา
ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในศาล ข้อ 2 มีข้อความดังนี้ "หากจำเลยตกลงขายหรือโอนทรัพย์สินใดๆ ของจำเลยได้ก่อนในรอบระยะชำระหนี้ 6 เดือนแรกหรือในระยะ 6 เดือนต่อๆ ไปก็ตาม จำเลยจะต้องแจ้งให้ศาลและโจทก์ทราบด้วย และให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ก่อน ภายในวงเงินที่จะต้องชำระตามงวดในข้อ 1 หากจำเลยไม่แจ้งศาลหรือไม่แจ้งโจทก์หรือไม่ชำระเงินแก่โจทก์เมื่อขายหรือโอนทรัพย์สินใดๆ ของจำเลยแล้วให้ถือว่าจำเลยผิดนัดและยอมให้โจทก์บังคับคดีทั้งหมดทันที ที่จะถือว่าจำเลยผิดนัดและยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทั้งหมดนั้น มีดังนี้คือเมื่อขายทรัพย์สินใด ๆ ของจำเลยแล้วไม่แจ้งศาล หรือไม่แจ้งโจทก์หรือไม่ชำระเงินให้แก่โจทก์ ข้อความในสัญญาใช้คำว่า หรือ ดังนั้นจำเลยจะเลือกปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ ไม่เป็นการผิดสัญญาตามสัญญาข้อนี้มิได้บังคับให้จำเลยนำเงินทั้งหมดที่ขายทรัพย์สินได้มาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ทั้งหมด แต่ให้ชำระหนี้แก่โจทก์ก่อนภายในวงเงินที่จะต้องชำระตามงวดเท่านั้น งวดที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระจำเลยจึงไม่ต้องชำระให้แก่โจทก์ แม้จะขายทรัพย์สินได้เป็นเงินจำนวนเกินกว่าหนี้ทั้งหมดของโจทก์ก็ตาม และตามสัญญามิได้มีข้อตกลงให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นจำนวนเงินน้อยกว่าจำนวนเงินที่จะต้องชำระกันเป็นงวดๆ เมื่อขายทรัพย์สินได้ดังนั้นแม้จำเลยจะขายทรัพย์สินไปแล้ว ก็ต้องรวบรวมเงินให้ได้จำนวนพอแก่การชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นงวดๆ ตามสัญญาตามคำร้องของโจทก์ จำเลยขายแร่ไปเพียง 97 หาบ ไม่ปรากฏว่าราคาเท่าใดพอจะชำระหนี้งวดแรกให้แก่โจทก์หรือไม่ ก็ไม่ทราบวันที่จำเลยขายแร่ก็ยังไม่ถึงกำหนดชำระเงินงวดแรก ดังนั้น จำเลยจึงยังมิได้กระทำผิดสัญญาที่จะทำให้โจทก์มีสิทธิบังคับคดีทั้งหมดได้ในทันที

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2093/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการบังคับคดีจำกัดเฉพาะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ซื้อที่ดินจากการประมูลไม่มีสิทธิ
ผู้ร้องเป็นผู้รับซื้อที่ดินของจำเลยได้จากการขายทอดตลาดเป็นบุคคลภายนอกคดี ไม่ใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ไม่มีสิทธิขอให้ศาลบังคับจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาขนย้ายเครื่องจักรออกจากที่ดินซึ่งผู้ร้องซื้อไว้ ผู้ร้องชอบที่ไปฟ้องร้องเป็นคดีต่างหาก จะใช้สิทธิขอบังคับในคดีนี้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2093/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบังคับคดีจำกัดเฉพาะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดไม่มีสิทธิบังคับคดีแทนเจ้าหนี้
ผู้ร้องเป็นผู้รับซื้อที่ดินของจำเลยได้จากการขายทอดตลาดเป็นบุคคลภายนอกคดี ไม่ใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ไม่มีสิทธิขอให้ศาลบังคับจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาขนย้ายเครื่องจักรออกจากที่ดินซึ่งผู้ร้องซื้อไว้ ผู้ร้องชอบที่ไปฟ้องร้องเป็นคดีต่างหาก จะใช้สิทธิขอบังคับในคดีนี้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2092/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการบังคับคดีของบุคคลภายนอกคดี ผู้ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดไม่มีอำนาจบังคับจำเลย
ผู้ร้องยื่นคำแถลงต่อศาลว่า ศาลมีคำสั่งให้จำเลยขนย้ายเครื่องจักรออกจากที่ดินที่ผู้ร้องซื้อจากการขายทอดตลาดของศาลครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ขนย้าย ผู้ร้องจึงทำการขนย้ายเครื่องจักรออกไปฝากคลังสินค้า โดยผู้ร้องเสียค่าใช้จ่ายและค่าเช่าโกดังขอให้จำเลยชำระ ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยปฏิบัติ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้นให้ผู้ร้องรับผิดค่าใช้จ่ายในการขนย้ายเครื่องจักรและค่ารักษาที่ฝากคลังสินค้าถึงวันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนค่ารักษาเครื่องจักรนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ถึงวันรับเครื่องจักรคืนจากคลังสินค้าให้จำเลยรับผิดคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นการบังคับผู้ร้องและจำเลยให้ต้องรับผิดปฏิบัติตามคำสั่งและคำพิพากษาแต่ปรากฏว่าผู้ร้องเป็นผู้ซื้อที่ดินได้จากการขายทอดตลาดของศาลหาใช่เป็นผู้มีอำนาจขอให้บังคับจำเลยได้ไม่ เพราะผู้ร้องมิใช่คู่ความหรือบุคคลผู้เป็นฝ่ายชนะ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) แต่เป็นบุคคลภายนอกคดีไม่มีสิทธิบังคับคดีในคดีนี้ได้ เมื่อมีข้อโต้แย้งสิทธิเกิดขึ้นระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ผู้ร้องก็ชอบที่จะฟ้องจำเลยเป็นคดีต่างหากจากคดีเดิมจะใช้สิทธิขอบังคับจำเลยในคดีนี้ไม่ได้ ศาลชอบที่จะยกคำแถลงของผู้ร้องเสียแต่ต้นเมื่อตามกฎหมายผู้ร้องไม่มีอำนาจขอให้ศาลบังคับจำเลยในคดีนี้ได้แล้ว แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาในข้อที่ศาลอุทธรณ์ให้ต้องรับผิดก็ตาม กรณีเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยให้จำเลยไม่ต้องรับผิดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2092/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการบังคับคดีของผู้ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาด: ผู้ซื้อไม่มีอำนาจบังคับจำเลยแทนเจ้าหนี้เดิม
ผู้ร้องยื่นคำแถลงต่อศาลว่า ศาลมีคำสั่งให้จำเลยขนย้ายเครื่องจักรออกจากที่ดินที่ผู้ร้องซื้อจากการขายทอดตลาดของศาล ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ขนย้าย ผู้ร้องจึงทำการขนย้ายเครื่องจักรออกไปฝากคลังสินค้า โดยผู้ร้องเสียค่าใช้จ่ายและค่าเช่าโกดัง ขอให้จำเลยชำระ ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยปฏิบัติ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้นให้ผู้ร้องรับผิดค่าใช้จ่ายในการขนย้ายเครื่องจักรและค่ารักษาที่ฝากคลังสินค้าถึงวันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนค่ารักษาเครื่องจักรนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ถึงวันรับเครื่องจักรคืนจากคลังสินค้าให้จำเลยรับผิดคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นการบังคับผู้ร้องและจำเลยให้ต้องรับผิดปฏิบัติตามคำสั่งและคำพิพากษาแต่ปรากฏว่าผู้ร้องเป็นผู้ซื้อที่ดินได้จากการขายทอดตลาดของศาลหาใช่เป็นผู้มีอำนาจขอให้บังคับจำเลยได้ไม่ เพราะผู้ร้องมิใช่คู่ความหรือบุคคลผู้เป็นฝ่ายชนะ(เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) แต่เป็นบุคคลภายนอกคดี ไม่มีสิทธิบังคับคดีในคดีนี้ได้.เมื่อมีข้อโต้แย้งสิทธิเกิดขึ้นระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ผู้ร้องก็ชอบที่จะฟ้องจำเลยเป็นคดีต่างหากจากคดีเดิม จะใช้สิทธิขอบังคับจำเลยในคดีนี้ไม่ได้ ศาลชอบที่จะยกคำแถลงของผู้ร้องเสียแต่ต้นเมื่อตามกฎหมายผู้ร้องไม่มีอำนาจขอให้ศาลบังคับจำเลยในคดีนี้ได้แล้ว แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาในข้อที่ศาลอุทธรณ์ให้ต้องรับผิดก็ตาม กรณีเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยให้จำเลยไม่ต้องรับผิดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1769/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบังคับคดีของเจ้าหนี้หลายราย: ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินก่อนย่อมมีสิทธิบังคับคดีก่อน แม้คดีถึงที่สุดแล้ว
เดิมผู้ร้องฟ้องจำเลยขอถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณศาลพิพากษาให้จำเลยคืนที่ดินพิพาทซึ่งมี น.ส.3 ให้แก่ผู้ร้องคดีอยู่ระหว่างการบังคับคดี ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยตามสัญญากู้ยืมแล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังนี้ ถือว่าที่ดินพิพาทยังคงเป็นของจำเลยอยู่ เพราะคดีทั้งสองสำนวนนี้ยังอยู่ในชั้นบังคับคดีด้วยกัน ผู้ร้องจะอ้างคำพิพากษาในคดีที่ผู้ร้องชนะจำเลยมายันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ แม้คดีจะถึงที่สุดแล้วก็ตาม โจทก์ในฐานะที่เป็นบุคคลภายนอกอาจพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง (2) และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปจริง ส่วนคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยนั้น กลับส่อพิรุธว่าอาจจะไม่มีมูลความจริงตามฟ้อง ผู้ร้องย่อมจะขอให้ถอนการยึดไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1769/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบังคับคดีของเจ้าหนี้หลายราย: เจ้าหนี้รายหลังมีสิทธิบังคับคดีได้ แม้มีคำพิพากษาในคดีก่อนหน้า
เดิมผู้ร้องฟ้องจำเลยขอถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณ ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนที่ดินพิพาทซึ่งมี น.ส.3 ให้แก่ผู้ร้องคดีอยู่ระหว่างการบังคับคดี ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยตามสัญญากู้ยืมแล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังนี้ ถือว่าที่ดินพิพาทยังคงเป็นของจำเลยอยู่ เพราะคดีทั้งสองสำนวนนี้ยังอยู่ในชั้นบังคับคดีด้วยกัน ผู้ร้องจะอ้างคำพิพากษาในคดีที่ผู้ร้องชนะจำเลยมายันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ แม้คดีจะถึงที่สุดแล้วก็ตาม โจทก์ในฐานะที่เป็นบุคคลภายนอกอาจพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง (2) และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปจริง ส่วนคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยนั้น กลับส่อพิรุธว่าอาจจะไม่มีมูลความจริงตามฟ้อง ผู้ร้องย่อมจะขอให้ถอนการยึดไม่ได้
of 176