พบผลลัพธ์ทั้งหมด 127 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5642/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถบรรทุกน้ำหนักเกินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) ศาลอุทธรณ์มีดุลพินิจไม่ริบได้
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยและสั่งริบรถยนต์บรรทุกของกลาง เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ จึงฟังได้ว่าจำเลยได้ใช้รถยนต์บรรทุกของกลางบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย รถยนต์บรรทุกของกลางจึงเป็นทรัพย์สินที่บุคคลได้ใช้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ได้วินิจฉัยว่ารถยนต์บรรทุกของกลางเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดหรือไม่ ก็ฟังได้แล้วว่ารถยนต์บรรทุกของกลางเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิด ทั้งการสั่งริบของกลางตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) เป็นดุลพินิจของศาล การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าเห็นควรไม่ริบรถยนต์บรรทุกของกลางเท่ากับเป็นการใช้ดุลพินิจไม่ริบทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิด คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 (9) แล้ว
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน และปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่าไม่ริบรถยนต์บรรทุกของกลาง เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน และปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่าไม่ริบรถยนต์บรรทุกของกลาง เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7010/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการสั่งริบของกลาง แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์ และการริบไม่ใช่การเพิ่มเติมโทษ
โจทก์มีคำขอให้ริบไม้และเลื่อยยนต์ของกลางที่จำเลยได้มาจากการกระทำความผิดและใช้ในการกระทำความผิด แต่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำวินิจฉัยว่าจะริบหรือไม่ริบของกลางดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 (9) แม้โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง และการริบทรัพย์สินแม้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 จะบัญญัติว่าเป็นโทษสถานหนึ่ง แต่เป็นโทษที่มุ่งถึงตัวทรัพย์เป็นสำคัญต่างกับโทษสถานอื่นซึ่งแม้จำเลยจะไม่ได้กระทำความผิดหรือกระทำความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ ศาลก็มีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินของกลางได้ จึงมิใช่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ย่อมมีอำนาจสั่งริบของกลางได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6178/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีบัตรประจำตัวประชาชน โดยจำเลยมีสัญชาติไทย องค์ประกอบความผิดตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ และการพิจารณาฟ้องที่ไม่ชอบ
พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2542 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดได้ขยายองค์ประกอบความผิดจากเดิมที่กำหนดให้ผู้กระทำความผิดต้องเป็นผู้ไม่มีสัญชาติไทย ให้เป็น ผู้ใด ซึ่งจะเป็นผู้ที่มีสัญชาติไทยหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น ในการพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหรือไม่ จึงต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2526 มาตรา 14 เดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 เมื่อคำฟ้องของโจทก์ปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้มีสัญชาติไทย จึงเป็นฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิดตามมาตราดังกล่าว ถือเป็นฟ้องที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยไม่ได้
โจทก์ขอให้ริบของกลางที่จำเลยใช้กระทำความผิด แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้มีคำวินิจฉัยว่าจะริบของกลางนั้นหรือไม่ คำพิพากษาจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 (9) แม้คู่ความมิได้ฎีกาปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามมาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ริบของกลางในคดีอื่นที่ผู้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยถูกฟ้องแล้ว จึงไม่จำต้องสั่งริบของกลางในคดีนี้อีก
โจทก์ขอให้ริบของกลางที่จำเลยใช้กระทำความผิด แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้มีคำวินิจฉัยว่าจะริบของกลางนั้นหรือไม่ คำพิพากษาจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 (9) แม้คู่ความมิได้ฎีกาปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามมาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ริบของกลางในคดีอื่นที่ผู้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยถูกฟ้องแล้ว จึงไม่จำต้องสั่งริบของกลางในคดีนี้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5331/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีอาญาผู้กระทำผิดอายุไม่เกิน 18 ปี และการแก้ไขคำพิพากษาเดิมเมื่อจำเลยพ้นสภาพผู้เยาว์ รวมถึงการริบของกลาง
ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ส่งตัวจำเลยไปยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จนกว่าจำเลยจะมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ แต่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาจำเลยมีอายุครบ 18 ปีแล้ว จึงไม่อาจส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ตาม ป.อ. มาตรา 75 ประกอบมาตรา 74 (5) ได้ จึงเห็นควรมอบตัวจำเลยให้บิดามารดาจำเลยโดยวางข้อกำหนดให้บิดามารดาจำเลยปฏิบัติตามและกำหนดวิธีการดำเนินการและเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของจำเลย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 80, 288, 371 และขอให้ริบปลอกมีดของกลาง แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้วินิจฉัยว่าจะริบของกลางนั้นหรือไม่ คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 186 (9) แม้คู่ความมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และการริบทรัพย์สินของกลางไม่เป็นการเพิ่มโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225 เมื่อปลอกมีดของกลางเป็นส่วนประกอบของมีดที่จำเลยใช้กระทำความผิด จึงให้ริบ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 80, 288, 371 และขอให้ริบปลอกมีดของกลาง แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้วินิจฉัยว่าจะริบของกลางนั้นหรือไม่ คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 186 (9) แม้คู่ความมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และการริบทรัพย์สินของกลางไม่เป็นการเพิ่มโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225 เมื่อปลอกมีดของกลางเป็นส่วนประกอบของมีดที่จำเลยใช้กระทำความผิด จึงให้ริบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 817/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายและการฆ่าเพื่อความสะดวกในการกระทำผิด ศาลพิจารณาความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง
จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนขู่บังคับให้ผู้ตายขึ้นรถยนต์กระบะไปกับจำเลยกับพวก อันเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เมื่อถึงที่เปลี่ยวจำเลยกับพวกร่วมกันชิงทรัพย์ผู้ตายโดยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย แสดงว่าจำเลยกับพวกร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตายเพื่อความสะดวกแก่การชิงทรัพย์และฆ่าผู้ตายในขณะที่การชิงทรัพย์และฆ่าผู้ตายยังไม่ขาดตอนจากกัน อันเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยใช้อาวุธปืน และฐานฆ่าผู้อื่นเพื่อความสะดวกในการกระทำความผิด เพื่อจะเอาและเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่จำเลยกับพวกได้กระทำความผิด เพื่อปกปิดความผิดและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดที่ได้กระทำนั้นเอง จึงมิใช่เป็นความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตายอีกกรรมหนึ่งต่างหาก
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 โดยไม่ระบุวรรคไม่ถูกต้อง รวมทั้งเมื่อฟังว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 289 (6) (7) แล้ว ก็ไม่จำต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 288 อีก นอกจากนี้โจทก์ขอให้ริบหัวกระสุนปืน 2 หัว และกระสุนปืนหัวตะกั่ว 1 นัด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ริบหัวกระสุนปืนทั้งหมดรวม 3 หัว ก็ไม่ถูกต้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 โดยไม่ระบุวรรคไม่ถูกต้อง รวมทั้งเมื่อฟังว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 289 (6) (7) แล้ว ก็ไม่จำต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 288 อีก นอกจากนี้โจทก์ขอให้ริบหัวกระสุนปืน 2 หัว และกระสุนปืนหัวตะกั่ว 1 นัด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ริบหัวกระสุนปืนทั้งหมดรวม 3 หัว ก็ไม่ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4745/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคืนเรือของกลางคดีลักลอบขนน้ำมัน: เจ้าของเรือเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดหรือไม่
ในคดีร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบนั้น ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามคำร้องของผู้ร้องมีเพียงว่าศาลจะสั่งคืนเรือของกลางให้แก่เจ้าของซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่เท่านั้น ส่วนประเด็นที่ว่าศาลจะสั่งริบเรือของกลางได้หรือไม่ยุติไปตามคำสั่งศาลในคดีหลักซึ่งถึงที่สุดแล้ว ผู้ร้องจะยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาในคำร้องขอคืนเรือของกลางต่อไปอีกไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3299/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษตามมาตรา 78 และการริบของกลาง ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาศาลล่างได้
ตามบทบัญญัติ ป.อ. มาตรา 78 เมื่อปรากฏว่ามีเหตุบรรเทาโทษ ถ้าศาลเห็นสมควรจะลดโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นก็ได้ ซึ่งเป็นบทบัญญัติในการใช้ดุลพินิจในการลงโทษให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์ของผู้กระทำความผิดเป็นรายบุคคลไป หาใช่บทบังคับที่จะต้องลดโทษให้แก่ผู้กระทำความผิดเพราะมีเหตุบรรเทาโทษเสมอไปไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ริบของกลางทั้งหมด แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้มีคำวินิจฉัยว่าจะริบของกลางดังกล่าวหรือไม่ คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองยังไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 186 (9) แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 และการริบทรัพย์สินของกลางนี้ไม่เป็นการเพิ่มโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 เมื่อปรากฏว่าทรัพย์สินของกลางเป็นทรัพย์สินที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดและมีไว้เป็นความผิด จึงให้ริบ
โจทก์ฟ้องขอให้ริบของกลางทั้งหมด แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้มีคำวินิจฉัยว่าจะริบของกลางดังกล่าวหรือไม่ คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองยังไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 186 (9) แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 และการริบทรัพย์สินของกลางนี้ไม่เป็นการเพิ่มโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 เมื่อปรากฏว่าทรัพย์สินของกลางเป็นทรัพย์สินที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดและมีไว้เป็นความผิด จึงให้ริบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1875/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองและพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต: ความผิดหลายกรรมต่างกัน และการรอการลงโทษ
ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นความผิดต่างกรรมกับความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่รับใบอนุญาต เพราะความผิดทั้งสองฐานมีเจตนาในการกระทำความผิดเป็นคนละเจตนาแตกต่างกัน และเป็นความผิดต่างฐานกัน แม้จำเลยจะกระทำความผิดทั้งสองฐานนี้ในวาระเดียวกัน การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 91
แม้ความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะ จะเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง และ ป.อ. มาตรา 371 ต้องลงโทษตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด มิได้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 371 และตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ดังกล่าวมิได้มีบทบัญญัติให้ริบอาวุธปืนก็ตาม แต่อาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนจึงเป็นทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิด ซึ่งโจทก์ได้ขอให้ริบและอ้าง ป.อ. มาตรา 32 มาท้ายฟ้องแล้ว จึงริบอาวุธปืนของกลางได้
การที่ศาลสั่ริบอาวุธปืนของกลางตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ แม้จะมิได้ระบุกฎหมายที่ให้อำนาจริบไว้ก็ตาม ถือว่าศาลได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับของกลางครบถ้วนแล้วตาม ป.วิ.อ. มาตรา 186 (9)
แม้ความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะ จะเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง และ ป.อ. มาตรา 371 ต้องลงโทษตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด มิได้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 371 และตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ดังกล่าวมิได้มีบทบัญญัติให้ริบอาวุธปืนก็ตาม แต่อาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนจึงเป็นทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิด ซึ่งโจทก์ได้ขอให้ริบและอ้าง ป.อ. มาตรา 32 มาท้ายฟ้องแล้ว จึงริบอาวุธปืนของกลางได้
การที่ศาลสั่ริบอาวุธปืนของกลางตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ แม้จะมิได้ระบุกฎหมายที่ให้อำนาจริบไว้ก็ตาม ถือว่าศาลได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับของกลางครบถ้วนแล้วตาม ป.วิ.อ. มาตรา 186 (9)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5248/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพตามฟ้องรวมถึงการยอมรับประวัติอาชญากรรมเดิม และการบวกโทษจำคุกรอการลงโทษตามกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2079/2542 ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี และปรับ 15,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ฐานเสพเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ภายในกำหนดระยะเวลารอการลงโทษดังกล่าวจำเลยกระทำความผิดคดีนี้อีกขอให้บวกโทษเข้ากับโทษของจำเลยคดีนี้ เมื่อศาลชั้นต้นอ่านอธิบายฟ้องทั้งหมดให้จำเลยฟัง จำเลยได้ให้การว่า ได้ทราบคำฟ้องตลอดแล้ว ข้าพเจ้าจำเลยขอให้การรับสารภาพตามฟ้อง ดังนั้น คำให้การจำเลยที่รับสารภาพตามฟ้องดังกล่าวจึงย่อมหมายรวมถึงการรับว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนตามที่โจทก์กล่าวหาในฟ้องด้วย ศาลชั้นต้นจึงนำโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษจำคุกในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายให้เบาลงแล้วรวมโทษจำคุกกับฐานอื่นเป็นจำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยไม่ได้ระบุว่าให้นำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษคดีนี้ ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าในที่สุดแล้วศาลลงโทษจำคุก จำนวนเท่าใด ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ชัดเจนขึ้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษจำคุกในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายให้เบาลงแล้วรวมโทษจำคุกกับฐานอื่นเป็นจำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยไม่ได้ระบุว่าให้นำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษคดีนี้ ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าในที่สุดแล้วศาลลงโทษจำคุก จำนวนเท่าใด ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ชัดเจนขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1552/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ซีดีรอมเป็นวัสดุโทรทัศน์ได้หากบันทึกข้อมูลที่สามารถถ่ายทอดภาพ/เสียงได้ การกระทำละเมิดลิขสิทธิ์และจำหน่ายสื่อลามกผิดกฎหมาย
แผ่นซีดีรอมเป็นวัตถุที่สามารถนำมาใช้ทำเป็นวัสดุโทรทัศน์ได้ตามความหมายใน(2) ของคำว่า เทปหรือวัสดุโทรทัศน์ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 แต่ซีดีรอมแผ่นใดจะมีลักษณะครบถ้วนที่จะถือว่าเป็นวัสดุโทรทัศน์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่บันทึกหรืออัดลงในวัสดุดังกล่าวว่าจะมีผลทำให้แผ่นซีดีรอมนั้นสามารถจัดถ่ายทอดออกเป็นภาพหรือเสียง หรือทั้งภาพและเสียงได้ในลักษณะต่อเนื่องกันไปโดยอุปกรณ์อื่นซึ่งเป็นลักษณะของวัสดุโทรทัศน์ตามความหมายในวรรคสองของคำว่าเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ได้หรือไม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณาจากสิ่งที่บันทึกหรืออัดลงไปในแผ่นซีดีรอมแต่ละแผ่นดังนั้นเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าแผ่นซีดีรอมที่บันทึกโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เป็นวัสดุโทรทัศน์จำเลยให้การรับสารภาพจึงฟังได้ว่าแผ่นซีดีรอมดังกล่าวเป็นวัสดุโทรทัศน์
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำพิพากษาเกี่ยวกับของกลางว่าของกลางให้ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ ส่วนสิ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดให้ริบ ไม่ชัดเจนว่าของกลางใดที่ให้ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ ส่วนแผ่นซีดีรอมภาพยนตร์ลามกเป็นทรัพย์สินที่จำเลยมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดอันควรริบ ไม่ใช่สิ่งที่ใช้ในการกระทำความผิด ศาลฎีกาจึงแก้ไขให้ถูกต้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำพิพากษาเกี่ยวกับของกลางว่าของกลางให้ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ ส่วนสิ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดให้ริบ ไม่ชัดเจนว่าของกลางใดที่ให้ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ ส่วนแผ่นซีดีรอมภาพยนตร์ลามกเป็นทรัพย์สินที่จำเลยมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดอันควรริบ ไม่ใช่สิ่งที่ใช้ในการกระทำความผิด ศาลฎีกาจึงแก้ไขให้ถูกต้อง