คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 186

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 127 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5226-5227/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการลงโทษฐานฉ้อโกงจัดหางาน แม้ไม่เข้าฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต และการแก้ไขคำพิพากษาเรื่องค่าชดใช้
พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 91 ตรี เป็นบทบัญญัติที่กำหนดลักษณะการกระทำผิดและโทษไว้เป็นการเฉพาะ มิได้อาศัยฐานความผิดอื่นฐานใดฐานหนึ่งในบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดตามมาตรา 91 ตรี ได้แม้จำเลยมิได้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ. 2528 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง,80
โจทก์มีคำขอให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายทั้งสองคนละ 80,000 บาทศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9) และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ในเรื่องนี้จึงไม่มีอำนาจสั่งคืนเงินดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายทั้งสองนั้นแม้คู่ความจะมิได้อุทธรณ์ฎีกาในข้อกฎหมายดังกล่าว แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยเองได้ตามมาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 โดยพิพากษาแก้ไขให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2995/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์จากตู้โทรศัพท์สาธารณะ การต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และความถูกต้องของการปรับบทลงโทษ
เงินที่จำเลยทั้งสามลักเอาจากตู้โทรศัพท์สาธารณะ ไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(10) ที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษตามมาตราดังกล่าวจึงไม่ถูกต้อง และที่พิพากษาปรับจำเลยทั้งสามคนละ 50 บาท โดยมิได้พิพากษาว่าหากจำเลยทั้งสามไม่ชำระค่าปรับจะจัดการอย่างไรต่อไปสมควรแก้ไขว่าหากจำเลยทั้งสามไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7816/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษความผิดกรรมเดียวตามกฎหมายหลายบท ต้องใช้บทที่มีโทษหนักที่สุด และการลดโทษจากสถานการณ์
การที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นการกระทำกรรมเดียว ลงโทษประหารชีวิต แต่การลงโทษผู้กระทำความผิดอันเป็นกรรมเดียวความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 การที่ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายบทใดและศาลอุทธรณ์ มิได้แก้ไขให้ถูกต้องเป็นการไม่ชอบ เมื่อปรากฏว่าความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนมีระวางโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษจำเลยในฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7592/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลแขวงและวิธีพิจารณาคดีอาญาที่ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวง
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 20 ได้บัญญัติวิธีดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาคดีของศาลแขวงไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับการทำคำพิพากษาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 186 มาใช้บังคับได้ ศาลชั้นต้นบันทึกคำฟ้อง คำรับสารภาพ และคำพิพากษาในบันทึกฉบับเดียวกันและอ่านให้คู่ความฟังในวันเดียวกัน จำเลยที่ 1 ที่ 2 รวมทั้งโจทก์ จำเลยที่ 3 และที่ 4 ก็ลงชื่อทราบไว้โดยไม่มีฝ่ายใดโต้แย้งว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เข้าใจข้อหาตามฟ้องแล้วจึงรับสารภาพ คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7013/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดโทษจำเลยในคดียาเสพติด: ศาลอุทธรณ์ลดโทษไม่สอดคล้องกับพฤติการณ์และคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพชั้นจับกุมแต่ชั้นพิจารณาให้การปฏิเสธต่อสู้คดีตลอดมา ส่วนจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นจับกุมตลอดมาจนถึงชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นวางโทษจำคุกแล้วลดโทษให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสามและลดโทษให้จำเลยที่ 3กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 โจทก์และจำเลยที่ 1อุทธรณ์ ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 พอใจในผลของคำพิพากษามิได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษจำคุกจำเลยทั้งสามแต่กลับลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง และลดโทษให้จำเลยที่ 3หนึ่งในสาม ทั้งที่จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธต่อสู้คดีคงให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเท่านั้น และจำเลยที่ 2 ก็พอใจในผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยมิได้อุทธรณ์ ส่วนจำเลยที่ 3 นั้นปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นจับกุมตลอดถึงชั้นพิจารณาของศาล ศาลชั้นต้นลดโทษให้กึ่งหนึ่ง แต่ศาลอุทธรณ์กลับลดโทษให้หนึ่งในสามและให้จำคุกจำเลยที่ 3 เกินกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดโดยที่โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 3 แต่อย่างใดกรณีดังกล่าว ศาลอุทธรณ์มิได้ให้เหตุผลว่าใช้บทกฎหมายหรือดุลพินิจอย่างไรในการลดโทษจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ผิดแผกแตกต่างไปจากลักษณะปกติโดยทั่วไป ดังนั้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ส่วนนี้จึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5721/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดุลพินิจศาลในการลงโทษ: การพิจารณาปัจจัยผู้ต้องหา, ภยันตรายร้ายแรงต่อสังคม และภาวะจิต
ศาลจะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่ เป็นเรื่องที่อยู่ในดุลพินิจ โดยศาลอาจหยิบยกเหตุต่าง ๆ ตาม ป.อ. มาตรา 56 ขึ้นวินิจฉัยประกอบดุลพินิจก็ได้ เมื่อศาลใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยย่อมแสดงว่าศาลได้คำนึงถึงอายุ ประวัติ อาชีพ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาและภาวะแห่งจิตของจำเลยตลอดจนเหตุอื่นแล้ว โดยศาลไม่จำเป็นต้องระบุถึงเหตุต่าง ๆ ตาม ป.อ. มาตรา 56 ให้ปรากฏโดยแจ้งชัดในคำพิพากษา นอกจากนี้ ป.อ. มาตรา 56 ก็มิใช่บทมาตราซึ่งกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดหรือบทกำหนดโทษ และไม่ใช่กรณีที่ศาลรอการ ลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ศาลจึงไม่ต้องปรับบทมาตราดังกล่าวในคำพิพากษา
การกระทำความผิดใดเป็นภยันตรายร้ายแรงต่อสังคมส่วนรวมหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไป และสภาพความผิดดังกล่าวศาลอาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยประกอบการพิจารณาลงโทษจำเลยได้ หาเป็นการปรับบทลงโทษ คลาดเคลื่อนต่อ ป.อ. มาตรา 63 ไม่
เมื่อศาลชั้นต้นสอบคำให้การจำเลย จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโดยมิได้อ้างว่าจำเลยมีจิตฟั่นเฟือน ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีจิตฟั่นเฟือน การที่ศาลมิได้นำ ป.อ. มาตรา 65 มาประกอบการวินิจฉัย จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบทรัพย์จากการกระทำผิดยาเสพติด: ทรัพย์ที่ไม่ได้ใช้หรือได้มาจากการกระทำผิดโดยตรงไม่ถูกริบ
ธนบัตร เหรียญ สร้อยคอทองคำ และสร้อยข้อมือทองคำของกลางที่โจทก์ขอให้ริบ โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้องและคำฟ้องฎีกาว่า เป็นทรัพย์ที่จำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนก่อนหน้านี้ ของกลางดังกล่าวเมื่อมิใช่เครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะ หรือวัตถุอื่น ซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102 และไม่ใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด หรือได้มาโดยกระทำความผิดซึ่งหมายถึงเฉพาะความผิดที่กระทำในคดีนี้ ตาม ป.อ.มาตรา 32, 33 (2) ศาลจึงไม่ริบ
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2543)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบของกลางจากความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด: หลักเกณฑ์การพิจารณาว่าทรัพย์สินนั้นเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดหรือไม่
ธนบัตร เหรียญ สร้อยคอทองคำ และสร้อยข้อมือทองคำ ของกลางที่โจทก์ขอให้ริบ โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้องและคำฟ้องฎีกาว่า เป็นทรัพย์ที่จำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนก่อนหน้านี้ ของกลางดังกล่าวเมื่อมิใช่เครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะ หรือวัตถุอื่น ซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 102 และไม่ใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด หรือได้มาโดยกระทำความผิดซึ่งหมายถึงเฉพาะความผิดที่กระทำในคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32,33(2) ศาลจึงไม่ริบ
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2543)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3698/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีหลายสำนวนรวมกัน ศาลไม่ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงเป็นรายสำนวน
คดีอาญาที่รวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันหามีกฎหมายบทใดกำหนดให้ศาลต้องวินิจฉัยคดีเป็นรายสำนวนไม่ คดีทั้งเจ็ดสำนวนนี้ศาลอุทธรณ์ได้พิเคราะห์พยานหลักฐานและรวมวินิจฉัยทุกสำนวนแล้วเชื่อว่าจำเลยกระทำความผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่จำต้องวินิจฉัยเป็นรายคดีตามข้ออุทธรณ์ของจำเลยทั้งหมดเป็นรายสำนวนไปไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3698/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีอาญาหลายสำนวนรวมกัน ศาลไม่ต้องวินิจฉัยข้ออุทธรณ์เป็นรายสำนวน
คดีอาญาที่รวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน หามีกฎหมาย บทใดกำหนดให้ศาลต้องวินิจฉัยคดีเป็นรายสำนวนไม่ คดีทั้งเจ็ดสำนวนนี้ศาลอุทธรณ์ได้พิเคราะห์พยานหลักฐานและรวมวินิจฉัยทุกสำนวนแล้วเชื่อว่าจำเลยกระทำความผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ศาลอุทธรณ์ไม่จำต้องวินิจฉัยเป็น รายคดีตามข้ออุทธรณ์ของจำเลยทั้งหมดเป็นรายสำนวนไปไม่
of 13