พบผลลัพธ์ทั้งหมด 127 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 456/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมปล้นทรัพย์: พยานหลักฐานสนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และความไม่ชัดเจนของบทบาทจำเลยที่ 2
การที่จำเลยที่ 1 ขึ้นไปบนบ้านของผู้เสียหายพร้อมกับคนร้ายโดยยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ที่ชานบ้านในลักษณะคุมเชิง ส่วนคนร้ายเข้าไปคว้าปืนลูกซองยาวของผู้เสียหายที่แขวนไว้ข้างฝาและเกิดแย่งปืนกันกับภริยาของผู้เสียหายคนร้ายจึงได้ใช้เท้าเตะและชักมีดออกมาขู่หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 และคนร้ายวิ่งหลบหนีไปพร้อมกันพฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับคนร้ายทำการปล้นทรัพย์
คำให้การชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานแตกต่างจากคำเบิกความชั้นศาลในข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญที่บ่งชี้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับคนร้ายปล้นทรัพย์หรือไม่ เมื่อปรากฏว่าคำให้การชั้นสอบสวนเจือสมกับพยานโจทก์ปากอื่นที่ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 อยู่นอกบ้านและวิ่งตามหลังภริยาของผู้เสียหายออกมาหลังจากคนร้ายวิ่งหลบหนีไปแล้ว ดังนั้น จะฟังว่าจำเลยที่ 2 ร่วมปล้นทรัพย์ด้วยไม่ได้
แม้โจทก์จะมีคำขอให้ศาลสั่งริบมีดของกลาง แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าไม่ได้ของกลางจากจำเลย จึงไม่มีของกลางที่จะริบ ต้องยกคำขอ.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำให้การชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานแตกต่างจากคำเบิกความชั้นศาลในข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญที่บ่งชี้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับคนร้ายปล้นทรัพย์หรือไม่ เมื่อปรากฏว่าคำให้การชั้นสอบสวนเจือสมกับพยานโจทก์ปากอื่นที่ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 อยู่นอกบ้านและวิ่งตามหลังภริยาของผู้เสียหายออกมาหลังจากคนร้ายวิ่งหลบหนีไปแล้ว ดังนั้น จะฟังว่าจำเลยที่ 2 ร่วมปล้นทรัพย์ด้วยไม่ได้
แม้โจทก์จะมีคำขอให้ศาลสั่งริบมีดของกลาง แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าไม่ได้ของกลางจากจำเลย จึงไม่มีของกลางที่จะริบ ต้องยกคำขอ.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 456/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปล้นทรัพย์: การพิสูจน์การกระทำร่วมและการรับฟังพยานหลักฐานที่ขัดแย้ง
การที่จำเลยที่ 1 ขึ้นไปบนบ้านของผู้เสียหายพร้อมกับคนร้ายโดยยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ที่ชาน บ้านในลักษณะคุมเชิงส่วนคนร้ายเข้าไปคว้าปืนลูกซองยาวของผู้เสียหายที่แขวนไว้ข้างฝาและเกิดแย่งปืนกันกับภริยาของผู้เสียหายคนร้ายจึงได้ใช้เท้าแตะและชักมีดออกมาขู่ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 และคนร้ายวิ่งหลบหนีไปพร้อมกัน พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับคนร้ายทำการปล้นทรัพย์ คำให้การชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานแตก ต่างจากคำเบิกความชั้นศาลในข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญที่บ่งชี้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับคนร้ายปล้นทรัพย์หรือไม่ เมื่อปรากฏว่าคำให้การชั้นสอบสวนเจือสมกับพยานโจทก์ปากอื่นที่ว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 อยู่นอกบ้านและวิ่งตามหลังภริยาของผู้เสียหายออกมาหลังจากคนร้ายวิ่งหลบหนีไปแล้ว ดังนั้น จะฟังว่าจำเลยที่ 2 ร่วมปล้นทรัพย์ด้วยไม่ได้ แม้โจทก์จะมีคำขอให้ศาลสั่งริบมีดของกลาง แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าไม่ได้ของกลางจากจำเลย จึงไม่มีของกลางที่จะริบต้องยกคำขอ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเท็จต้องทำให้ผู้อื่นเสียหาย ผู้เช่าไม่เป็นผู้เสียหายเมื่อสิทธิไม่กระทบ
กรณีจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 นั้น นอกจากจะแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานแล้ว ข้อความที่แจ้งต้องอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหายด้วย เมื่อโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์อาจได้รับความเสียหายอย่างไร แม้จะพิจารณาฟ้องโจทก์ทั้งเรื่องก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าโจทก์อาจได้รับความเสียหายอย่างไรจากการกระทำของจำเลย ในข้อที่โจทก์เป็นผู้เช่าตึกแถว เมื่อมีการโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดิน หรือแม้แต่จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในตึกแถวที่เช่าด้วย สิทธิของโจทก์ย่อมไม่กระทบกระเทือน โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ต้องมีข้อความสำคัญตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 นั้น หมายถึงคดีที่ศาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากคำคู่ความหรือพยานหลักฐานแล้วเท่านั้น คดีที่ศาลชั้นต้นพิจารณาฟ้องโจทก์แล้วมีคำสั่งให้ยกฟ้อง ไม่จำต้องมีรายการครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายมาตราดังกล่าว
คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ต้องมีข้อความสำคัญตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 นั้น หมายถึงคดีที่ศาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากคำคู่ความหรือพยานหลักฐานแล้วเท่านั้น คดีที่ศาลชั้นต้นพิจารณาฟ้องโจทก์แล้วมีคำสั่งให้ยกฟ้อง ไม่จำต้องมีรายการครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายมาตราดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดมาตรา 137 ต้องมีผู้เสียหายจากการแจ้งเท็จ และโจทก์ในฐานะผู้เช่าไม่ได้รับความเสียหายจากการโอนกรรมสิทธิ์
กรณีจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 นั้นนอกจากจะแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานแล้วข้อความที่แจ้งต้องอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหายด้วยเมื่อโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์อาจได้รับความเสียหายอย่างไรแม้จะพิจารณาฟ้องโจทก์ทั้งเรื่องก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าโจทก์อาจได้รับความเสียหายอย่างไรจากการกระทำของจำเลยในข้อที่โจทก์เป็นผู้เช่าตึกแถวเมื่อมีการโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือแม้แต่จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในตึกแถวที่เช่าด้วยสิทธิของโจทก์ย่อมไม่กระทบกระเทือนโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ต้องมีข้อความสำคัญตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 นั้นหมายถึงคดีที่ศาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากคำคู่ความหรือพยานหลักฐานแล้วเท่านั้นคดีที่ศาลชั้นต้นพิจารณาฟ้องโจทก์แล้วมีคำสั่งให้ยกฟ้องไม่จำต้องมีรายการครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายมาตราดังกล่าว
คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ต้องมีข้อความสำคัญตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 นั้นหมายถึงคดีที่ศาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากคำคู่ความหรือพยานหลักฐานแล้วเท่านั้นคดีที่ศาลชั้นต้นพิจารณาฟ้องโจทก์แล้วมีคำสั่งให้ยกฟ้องไม่จำต้องมีรายการครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายมาตราดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3121/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยเรื่องการริบของกลางและการพิพากษาความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องขอให้ริบเฮโรอีนของกลาง ศาลชั้นต้นพิพากษาโดยไม่มีคำสั่งในเรื่องของกลาง เมื่อจำเลยอุทธรณ์ แม้โจทก์จะไม่อุทธรณ์ในเรื่องของกลางศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจทำคำวินิจฉัยในเรื่องของกลางได้ เพราะมิใช่เป็นกรณีเพิ่มโทษจำเลย เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้และโจทก์ยังฎีกาขอให้ริบอยู่ ศาลฎีกาพิพากษาให้ริบของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2870/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องต้องมีเหตุผลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
คำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องต้องอยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 โดยต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความและเหตุผลในการตัดสินทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายจึงจะเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2870/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องต้องมีเหตุผลตามกฎหมายและข้อเท็จจริงที่พิจารณา
คำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ต้องอยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186โดยต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความ และเหตุผลในการตัดสินทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย จึงจะเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 166/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนสงคราม: การพิจารณาบทกฎหมายที่ใช้บังคับและจำนวนกรรม
พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 72 ได้แก้ไขต่อ ๆ มาให้ใช้ มาตรา 72 ที่แก้ไขใหม่ ศาลลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 72 แล้ว การอ้างหรือไม่อ้างฉบับที่ 5 มาตรา 3 ก็ไม่เป็นสารสำคัญที่จะต้องวินิจฉัย
มีอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาต มีเครื่องกระสุนปืนที่ใช้เฉพาะในการสงครามความผิด 2 ฐาน กฎหมายบัญญัติความผิดและลงโทษคนละมาตรา เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
มีอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาต มีเครื่องกระสุนปืนที่ใช้เฉพาะในการสงครามความผิด 2 ฐาน กฎหมายบัญญัติความผิดและลงโทษคนละมาตรา เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 464/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความร่วมมือในการปล้นทรัพย์: การกระทำที่ถือเป็นตัวการและบทลงโทษที่ถูกต้อง
จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปจอดคอยอยู่ที่ปากซอยบ้านผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 และพวก 2 คนเข้าไปปล้นทรัพย์ผู้เสียหายแล้วหนีมาขึ้นรถยนต์ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์พาจำเลยที่ 2 และพวกหนีออกไปในลักษณะรีบร้อนเช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ปล้นทรัพย์โดยแบ่งหน้าที่กัน จึงเป็นตัวการในความผิดฐานปล้นทรัพย์มาตรา 340 ตรี เป็นเพียงเหตุให้รับโทษหนักขึ้น มิใช่ความผิดอีกบทหนึ่งโดยเฉพาะศาลลงโทษโดยอ้าง มาตรา 340 ประกอบ มาตรา 340 ตรี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1835/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษความผิดฐานร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 และ 340 ตรี โดยต้องลงโทษทั้งสองบท
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี เป็นเหตุให้รับโทษหนักขึ้นมิใช่เป็นความผิดอีกบทหนึ่งต่างหากศาลลงโทษจำเลยตาม มาตรา 340 ตรีซึ่งเป็นบทหนักเท่านั้นไม่ได้ต้องลงโทษตาม มาตรา 340,340 ตรี