คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 186

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 127 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1071/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำพิพากษาที่พิมพ์ตกพลาด และการพิจารณาโทษฐานเสพยาเสพติดจากคำรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นเขียนคำพิพากษาย่อบันทึกไว้หลังปกสำนวน ต่อมาเจ้าหน้าที่ของศาลจึงพิมพ์ฉบับเต็ม แต่ปรากฏว่าพิมพ์ข้อความขาดตกไป ดังนี้ ถือว่าเป็นการพิมพ์ผิดพลาด ชอบที่จะแก้ไขให้ถูกต้องตามความเป็นจริงได้ ไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 190

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 88/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับโทษต่อเมื่อคดีก่อนหน้ามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีหมายเลขดำที่ 19/2519 ศาลล่างทั้งสองไม่นับต่อให้ เพราะคดีดังกล่าวศาลยังไม่ได้พิพากษา โจทก์ฎีกาขอให้นับโทษจำเลยต่อกับโทษของจำเลยที่ 3 ในคดีหมายเลขดำที่ 19/2519 คดีหมายเลขแดงที่ 473/2519 ของศาลชั้นต้น ซึ่งหมายความว่าสำนวนคดีดำที่ 19/2519 นั้น ศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้วตามสำนวนคดีแดงที่ 473/2519 จำเลยมิได้แก้ฎีกาปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงรับฟังได้ว่าคดีดังกล่าวศาลได้พิพากษาโทษจำคุกจำเลยแล้วจริง และพิพากษาให้นับโทษต่อ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 88/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับโทษต่อในคดีอาญา: ศาลฎีกาวินิจฉัยให้นับโทษต่อเมื่อมีคำพิพากษาลงโทษในคดีก่อนแล้ว
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีหมายเลขดำที่ 19/2519 ศาลล่างทั้งสองไม่นับต่อให้ เพราะคดีดังกล่าวศาลยังไม่ได้พิพากษา โจทก์ฎีกาขอให้นับโทษจำเลยต่อกับโทษของจำเลยที่ 3 ในคดีหมายเลขดำที่ 19/2519 นั้น ศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้วตามสำนวนคดีแดงที่ 473/2519 จำเลยมิได้แก้ฎีกาปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงรับฟังได้ว่าคดีดังกล่าวศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้วจริง และพิพากษาให้นับโทษต่อ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 980/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมปล้นทรัพย์ แม้ไม่ได้ลงมือเองและไม่รู้ว่ามีอาวุธ ก็มีความผิดตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสามนั่งรถยนต์ไปด้วยกันแล่นผ่านหน้าบ้านผู้เสียหายเพื่อดูลาดเลาหาโอกาสชิงทรัพย์ผู้เสียหายก่อนแล้วจอดรถห่างจากผู้เสียหายเพียง 2 เมตรโดยไม่ดับเครื่อง จำเลยที่ 1 ลงจากรถไปรัดคอและกระชากสร้อยคอผู้เสียหายแล้ววิ่งหนีขึ้นรถ จำเลยที่ 2 เฝ้าดูการกระทำของจำเลยที่ 1 อยู่บนรถตลอดเวลา เมื่อได้ทรัพย์แล้วก็นั่งรถหลบหนีไปด้วยกัน ดังนี้ แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ลงมือกระชากสร้อย จำเลยที่ 2 ก็ต้องมีความผิดฐานร่วมเป็นตัวการกระทำการปล้นทรัพย์ด้วย
เมื่อจำเลยที่ 1 มีอาวุธ (มีด) ติดตัวไปด้วยในการปล้นทรัพย์ แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ใช้หรือแสดงอาวุธในการกระทำความผิด และจำเลยที่ 2 ไม่รู้ว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธก็ตาม จำเลยที่ 2 ก็ต้องมีความผิดตามมาตรา340 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2514
ศาลล่างพิเคราะห์พยานหลักฐานในสำนวนแล้ว เชื่อตามพยานโจทก์ว่าจำเลยกระทำผิดและลงโทษจำเลย ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าพยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ แม้คำพิพากษาไม่ได้กล่าวในรายละเอียดไว้ว่ารับฟังพยานหลักฐานจำเลยไม่ได้อย่างไร ก็ไม่ขัดต่อกฎหมายวิธีพิจารณาความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 980/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมปล้นทรัพย์ แม้ไม่ได้ลงมือเอง และการใช้คำรับสารภาพประกอบพยานหลักฐาน
จำเลยทั้งสามนั่งรถยนต์แล่นช้า ๆ ผ่านหน้าบ้านที่ผู้เสียหายกำลังทำความสะอาดอยู่ 2 เที่ยว จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นคนขับ จอดรถโดยไม่ดับเครื่อง ห่างผู้เสียหาย 2 เมตร จำเลยที่ 1 ลงจากรถไปข้างหลังผู้เสียหาย ใช้แขนรัดคอกระชากสร้อยคอแล้ววิ่งมาขึ้นรถ โดยจำเลยที่ 2 เฝ้าดูการกระทำอยู่ตลอดเวลา เสร็จแล้วหนีไปด้วยกัน และถูกจับได้พร้อมกันในเวลาต่อมาไม่นาน จำเลยที่ 2 รับสารภาพต่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้ทำบันทึกจับกุม เช่นนี้ แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ลงมือกระชากสร้อยเอง ก็ต้องมีความผิดฐานร่วมเป็นตัวการกระทำการปล้นทรัพย์ด้วย จำเลยที่ 1 มีมีดเป็นอาวุธ แม้มิได้ใช้หรือแสดงอาวุธนั้นในการกระทำผิด และจำเลยที่ 2 ก็ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธ ก็ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานมีอาวุธทำการปล้นทรัพย์ได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 2 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14
คำรับสารภาพชั้นถูกจับกุมของจำเลยนั้น ศาลย่อมนำมาฟังประกอบพยานหลักฐานในสำนวนได้
การที่ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานในสำนวนแล้วเชื่อตามพยานโจทก์ว่าจำเลยกระทำผิด และลงโทษจำเลยนั้น ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าพยานหลักฐานจำเลยไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้ แม้ไม่กล่าวในคำพิพากษาว่ารับฟังพยานหลักฐานจำเลยไม่ได้อย่างไร ก็ไม่ขัดต่อกฎหมายวิธีพิจารณาความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2564/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานและการมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกาพิจารณาอำนาจจับกุมและความผิดฐานมีอาวุธ
ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ประมาณ 1 เดือน จำเลยถูกกล่าวหาว่าร่วมกันฆ่าผู้อื่น วันเกิดเหตุตำรวจออกตรวจท้องที่เห็นจำเลยกับพวกอยู่บนบ้านหลังหนึ่งในสวนยาง ตำรวจเข้าไปในระยะห่าง 1 เส้นร้องตะโกนว่า อย่าหนี นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ จำเลยกระโดดหนีลงทางหลังบ้านแล้วใช้ปืนยิงขู่ตำรวจและหลบหนีไปได้ การกระทำของจำเลยดังนี้ ได้ชื่อว่าเป็นการต่อสู้ขัดขวาง เจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติราชการตามหน้าที่แล้ว เพราะตำรวจเหล่านี้มีอำนาจจับกุมจำเลยได้โดยไม่จำเป็นต้องมีหมายจับ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 78(3)ทั้งตามพฤติการณ์เช่นนี้ตำรวจเหล่านั้นอาจจับจำเลยได้โดยไม่จำเป็นที่จะต้องขึ้นไปค้นบนบ้านอันเป็นที่รโหฐานแต่ประการใดด้วย
การพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดและลงโทษนั้น ในคำพิพากษาศาลต้องยกบทมาตราแห่งกฎหมายขึ้นปรับด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186
เมื่อการกระทำของจำเลยต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา140 แล้วก็ไม่ต้องปรับบทด้วยมาตรา 138 อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3115/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์: การปรับบทมาตรา 359 และการลงโทษ
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 359 ก็คือความผิดตามมาตรา 358 ฐานทำให้เสียทรัพย์ที่มีเหตุทำให้โทษหนักขึ้นนั่นเองจึงไม่ชอบที่ศาลจะปรับบทว่าจำเลยมีความผิดตามบทมาตรา 358 และ 359 แล้วจึงให้ลงโทษตามมาตรา 359 ซึ่งเป็นบททีหนักที่สุดพึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 359 เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฟ้องเท็จตามมาตรา 175 ต้องมีเจตนาและข้อกล่าวหาความผิดอาญาชัดเจน การบรรยายฟ้องเพื่อแสดงอำนาจฟ้องไม่ถือเป็นความผิด
ความผิดฐานฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 175ต้องเป็นการเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา และผู้กระทำจะต้องรู้ว่าความที่นำไปฟ้องนั้นเป็นเท็จด้วยเพียงแต่จำเลยบรรยายฟ้อง เพื่อให้เห็นว่ามีอำนาจฟ้องในคดีนั้นโดยไม่ใช่ข้อกล่าวหาว่าโจทก์กระทำผิด หรือจำเลยไม่รู้ว่าความที่นำไปฟ้องนั้นเป็นเท็จจำเลยย่อมไม่มีความผิดตามมาตรา 175
ชั้นไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญา ถ้าคดีไม่มีมูลให้พิพากษายกฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 167 นั้น จะทำเป็นรูปคำพิพากษาหรือคำสั่งก็ได้แต่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 186โดยต้องมีข้อเท็จจริงซึ่งพิจารณาได้ความและเหตุผลในการตัดสิน ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามควรแก่รูปคดีในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฟ้องเท็จ (มาตรา 175) ต้องมีเจตนาและกล่าวหาผู้อื่นกระทำความผิด การบรรยายฟ้องเพื่อแสดงอำนาจฟ้อง ไม่ถือเป็นความผิด
ความผิดฐานฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 ต้องเป็นการเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา และผู้กระทำจะต้องรู้ว่าความที่นำไปฟ้องนั้นเป็นเท็จด้วย เพียงแต่จำเลยบรรยายฟ้อง เพื่อให้เห็นว่ามีอำนาจฟ้องในคดีนั้น โดยไม่ใช่ข้อกล่าวหาว่าโจทก์กระทำผิด หรือจำเลยไม่รู้ว่าความที่นำไปฟ้องนั้นเป็นเท็จ จำเลยย่อมไม่มีความผิดตามมาตรา 175
ชั้นไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญา ถ้าคดีไม่มีมูลให้พิพากษายกฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 167 นั้น จะทำเป็นรูปคำพิพากษาหรือคำสั่งก็ได้แต่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 186 โดยต้องมีข้อเท็จจริงซึ่งพิจารณาได้ความและเหตุผลในการตัดสิน ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามควรแก่รูปคดีในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฟ้องเท็จต้องมีเจตนาและข้อกล่าวหาว่าผู้อื่นกระทำความผิดอาญา การบรรยายฟ้องเพื่อแสดงอำนาจฟ้องไม่เป็นความผิด
ความผิดฐานฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 175. ต้องเป็นการเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา. และผู้กระทำจะต้องรู้ว่าความที่นำไปฟ้องนั้นเป็นเท็จด้วย. เพียงแต่จำเลยบรรยายฟ้อง. เพื่อให้เห็นว่ามีอำนาจฟ้องในคดีนั้นโดยไม่ใช่ข้อกล่าวหาว่าโจทก์กระทำผิด. หรือจำเลยไม่รู้ว่าความที่นำไปฟ้องนั้นเป็นเท็จ.จำเลยย่อมไม่มีความผิดตามมาตรา 175.
ชั้นไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญา ถ้าคดีไม่มีมูลให้พิพากษายกฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 167 นั้น. จะทำเป็นรูปคำพิพากษาหรือคำสั่งก็ได้แต่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 186. โดยต้องมีข้อเท็จจริงซึ่งพิจารณาได้ความและเหตุผลในการตัดสิน ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามควรแก่รูปคดีในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง.
of 13