คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อนันต์ วงษ์ประภารัตน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 175 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15927/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความผิดฐานเสพยาเสพติด จำเป็นต้องมีพยานหลักฐานชัดเจน ไม่ใช่แค่ผลตรวจปัสสาวะเป็นบวก
คดีนี้โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นขณะจำเลยเสพเมทแอมเฟตามีน พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้เพียงว่าตรวจพบสารเสพติดในปัสสาวะของจำเลยเท่านั้น แต่พยานโจทก์ก็ไม่นำสืบให้ชัดแจ้งว่า สารเสพติดนั้นเป็นเมทแอมเฟตามีนหรือไม่ เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธ กรณียังเป็นที่สงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15911/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายรถยนต์โดยตัวแทน การรับผิดของตัวการต่อบุคคลภายนอก และการจดทะเบียนรถยนต์
โจทก์ซื้อรถยนต์พิพาทของจำเลยที่ 1 โดยติดต่อกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายขายของจำเลยที่ 1 โดยสุจริต ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการขายรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ แม้จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้ขายรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ไปเกินอำนาจหรือนอกขอบอำนาจที่จำเลยที่ 1 ได้มอบหมาย โดยขายต่ำกว่าราคาต้นทุน และไม่มีอำนาจรับเงินแทนจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่ทางปฏิบัติของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการมีมูลเหตุอันสมควรที่ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเชื่อว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทน ที่ให้ส่วนลดและของแถมแก่ลูกค้าและมีอำนาจรับเงินแทนจำเลยที่ 1 อยู่ภายในขอบอำนาจของตัวแทนดังเช่นที่จำเลยที่ 2 เคยรับเงินค่าจองรถยนต์จาก พ. ไปแล้ว ไม่มีปัญหาอย่างใด จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตเสมือนหนึ่งว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำไปภายในขอบอำนาจของตัวแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 822 ประกอบมาตรา 821 และเมื่อจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามบทบัญญัติดังกล่าว ทั้งข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เข้าทำสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทกับโจทก์โดยเห็นแก่อามิสสินจ้างตามมาตรา 825 จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจอ้างบทบัญญัติมาตรา 823 และมาตรา 825 เพื่อให้ตนเองพ้นความรับผิดตามที่ฎีกาได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้ชำระราคารถยนต์ให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 โดยครบถ้วนและโดยสุจริตแล้ว จำเลยที่ 1 จึงต้องดำเนินการจดทะเบียนรถยนต์และมอบใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์พิพาทแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15832/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำอนาจารเด็กและพรากเด็กไปเพื่ออนาจาร: การพิจารณาความผิดฐานชำเราและการกระทำอนาจาร
จำเลยใช้อวัยวะเพศถูไถที่อวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 จนมีน้ำสีขาวขุ่นออกมาจากอวัยวะเพศของจำเลยถูกที่ขาของผู้เสียหายที่ 1 ตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลไม่พบบาดแผลภายนอก อวัยวะเพศไม่พบรอยฟกช้ำหรือฉีกขาด เยื่อพรหมจารีไม่ฉีกขาด ส่งสารคัดหลั่งในช่องคลอดไปตรวจที่สถาบันนิติเวชวิทยา ไม่พบร่องรอยการร่วมประเวณีหรือสอดใส่อวัยวะเพศเข้าสู่ช่องคลอดของผู้เสียหายที่ 1 ข้อเท็จจริงบ่งชี้ว่า อวัยวะเพศของจำเลยมิได้ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 จึงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยใช้อวัยวะเพศของจำเลยถูไถสัมผัสอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 โดยไม่มีเจตนาสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 คงมีความผิดฐานกระทำอนาจารเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15690/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือมอบอำนาจที่ปิดอากรแสตมป์ไม่ครบถ้วนตามกฎหมาย ไม่อาจใช้เป็นหลักฐานได้
หนังสือมอบอำนาจซึ่งปิดอากรแสตมป์ 30 บาท ครบถ้วนตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากร แต่ไม่มีการขีดฆ่าอากรแสตมป์ ย่อมถือว่ายังไม่ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 118 จึงไม่อาจใช้หนังสือมอบอำนาจเป็นพยานหลักฐานเพื่อรับฟังว่ามีการมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13335/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ พิจารณาคดีโกงเจ้าหนี้: ศาลไม่มีอำนาจพิจารณาคดีนอกเหนือจากความผิดเกี่ยวกับการค้าตามที่กฎหมายกำหนด
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 7 บัญญัติให้ความผิดในประมวลกฎหมายอาญาที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีเฉพาะในส่วนคดีอาญาเกี่ยวกับความผิดตาม ป.อ. มาตรา 271 ถึงมาตรา 275 อันเป็นบทความผิดในภาค 2 ลักษณะ 8 ความผิดเกี่ยวกับการค้า เท่านั้น บทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้รวมถึงความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อ. มาตรา 350 อันเป็นความผิดในภาค 2 ลักษณะ 12 ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ดังนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งเจ็ดในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ซึ่งกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไว้ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13159/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธินักแสดงต้องแสดงงานอันมีลิขสิทธิ์ การแสดงเพื่อความบันเทิงทั่วไปไม่คุ้มครอง
สิทธิของนักแสดงในประเทศไทยเพิ่งจะได้รับความคุ้มครองเป็นครั้งแรก โดยบัญญัติอยู่ในหมวด 2 ว่าด้วยสิทธิของนักแสดง ต่อจากหมวด 1 ว่าด้วยลิขสิทธิ์ แห่ง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 นักแสดงซึ่งได้รับความคุ้มครองสิทธิตามมาตรา 44 และ 45 มีความหมายตามบทนิยามในมาตรา 4 ว่า "ผู้แสดง นักดนตรี นักร้อง นักเต้น นักรำ และผู้ซึ่งแสดงท่าทาง ร้อง กล่าว พากย์ แสดงตามบทหรือในลักษณะอื่นใด" โดยมาตรา 44 และตามบทนิยามมาตรา 4 มิได้บัญญัติให้ชัดเจนว่าสิ่งที่แสดงและได้รับความคุ้มครองในฐานะสิทธินักแสดงควรเป็นเช่นไร แต่เมื่อพิจารณาตีความตามเจตนารมณ์ของกฎหมายลิขสิทธิ์และเนื้อความจากบทนิยามในมาตรา 4 จะเห็นได้ว่าสิทธิของนักแสดงเป็นการที่นักแสดงได้นำงาน "ดนตรีกรรม" หรืองาน "นาฏกรรม" อันได้แก่ การเล่นดนตรี การร้อง หรือการรำ การเต้น การทำท่า หรือการแสดงที่ประกอบเป็นเรื่องราว ที่เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์มาแสดงให้ปรากฏต่อผู้อื่น หรือนำคุณค่าของงานอันมีลิขสิทธิ์ดังกล่าวมาแสดงให้บุคคลอื่นชื่นชม โดยที่นักแสดงนั้นมิใช่ผู้สร้างสรรค์งานหรือเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เอง ซึ่งการนำเสนองานดังกล่าวนักแสดงได้ใช้ความวิริยะอุตสาหะให้เกิดมีคุณค่าอันควรได้รับความคุ้มครองต่อเนื่องจากผู้สร้างสรรค์หรือเจ้าของงานอันมีลิขสิทธิ์ ทำนองเป็นสิทธิข้างเคียงกับลิขสิทธิ์ มิใช่เป็นการกระทำสิ่งใด ๆ ของนักแสดงแล้วก็จะได้สิทธินักแสดงเสมอไปโดยไม่มีข้อจำกัด โดยที่สิทธิของนักแสดงจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์นี้ ต้องมีองค์ประกอบที่บุคคลที่จะแสดงนั้นเป็นไปตามบทนิยามคำว่านักแสดงในมาตรา 4 และสิ่งที่แสดงหรือการกระทำอันเกี่ยวกับการแสดงของนักแสดงที่จะได้รับความคุ้มครองนั้น จะต้องเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ด้วย
โจทก์เป็นนักแสดงโดยรับจ้างให้ทำหน้าที่พิธีกรร่วมในงานเลี้ยงขอบคุณลูกค้า มีหน้าที่วิจารณ์และสัมภาษณ์นักแสดงที่เชิญมาร่วมงาน โดยโจทก์แสดงท่าทาง เต้นและร้องเพลงให้งานสนุกสนานเท่านั้น ซึ่งลักษณะการกระทำของโจทก์ไม่ได้เป็นการสื่อความหมายหรือแสดงให้เห็นว่าการกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นการแสดงที่เป็นการรำ การเต้น การทำท่า หรือการแสดงประกอบเป็นเรื่องราวของนักแสดงตามที่บัญญัติไว้ในบทนิยามมาตรา 4 ทั้งไม่ปรากฏว่าสิ่งที่โจทก์นำมาแสดงประกอบท่าทางหรือการแสดงในงานรื่นเริงดังกล่าวเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 แม้โจทก์จะนำสืบว่าโจทก์ได้ใช้ความวิริยะอุตสาหะในการอุทิศฝีมือหรือความสามารถเฉพาะตัวของโจทก์ซึ่งได้สั่งสมมายาวนานหลายสิบปี ก็เป็นการแสดงออกซึ่งความสามารถในการสร้างความบันเทิงของโจทก์แก่ผู้ร่วมงานตามที่รับจ้างมา ซึ่งไม่อยู่ในความหมายของสิทธิของนักแสดงอันจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12993/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายเวลาอุทธรณ์เนื่องจากคำพิพากษาไม่สมบูรณ์ ศาลฎีกามีคำสั่งให้ขยายเวลาได้
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเพิ่งส่งคำพิพากษาที่มีรายการครบถ้วนไปให้ศาลจังหวัดฝางหลังจากวันที่ศาลจังหวัดฝางอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังแทน แสดงว่าในวันดังกล่าวจนถึงวันที่โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ครั้งที่ห้านั้น ศาลจังหวัดฝางยังไม่มีคำพิพากษาที่มีรายการครบถ้วนรวมอยู่ในสำนวนความที่ศาลจังหวัดฝาง อันจะทำให้คู่ความขอคัดถ่ายสำเนาได้ คำพิพากษาที่มีรายการครบถ้วนนั้น เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องให้โอกาสแก่ผู้อุทธรณ์ได้ตรวจดูข้อความทั้งหมดเพื่อหาข้อโต้แย้งทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางหยิบยกขึ้นวินิจฉัย มิฉะนั้นการเรียงคำฟ้องอุทธรณ์อาจมีข้อบกพร่องไม่ครบถ้วนตามกฎหมายได้ ดังนั้น ขณะที่โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์เป็นครั้งที่ห้านั้น ถือได้ว่ามีข้อขัดข้องทางฝ่ายศาลอันเป็นเรื่องอยู่นอกเหนือการบังคับของโจทก์ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางชอบที่จะขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้แก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11799/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟื้นฟูกิจการ: สิทธิของผู้บริหารแผนในการโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ แม้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้แจ้ง
เมื่อเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้ว กฎหมายกำหนดหน้าที่ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต้องส่งสำเนาคำขอรับชำระหนี้ต่อผู้ทำแผน เพื่อให้ผู้ทำแผนดำเนินการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ เมื่อผู้ทำแผนได้รับสำเนาคำขอรับชำระหนี้แล้วย่อมมีสิทธิขอตรวจและโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายใดต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ภายในกำหนดเวลา 14 วัน นับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/26 วรรคหนึ่ง และ 90/29 ทั้งนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หาจำต้องแจ้งให้ผู้ทำแผนมาตรวจและโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้อีกไม่ คดีนี้เมื่อเจ้าหนี้ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ไม่รับคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ ผู้บริหารแผนก็ได้ยื่นคำคัดค้านคำร้องของเจ้าหนี้ ย่อมแสดงว่าผู้บริหารแผนทราบถึงมูลหนี้ตามคำขอรับชำระหนี้แล้ว เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งกลับคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ให้รับคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ไว้ดำเนินการ ผู้บริหารแผนซึ่งได้รับโอนสิทธิและหน้าที่มาจากผู้ทำแผนตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/59 วรรคหนึ่ง ย่อมมีสิทธิขอตรวจและโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ทันที โดยไม่มีความจำเป็นอันใดที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องแจ้งให้ผู้บริหารแผนทราบอีก การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ได้แจ้งให้ผู้บริหารแผนมาตรวจและโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ในภายหลัง จึงไม่ทำให้ผู้บริหารแผนเสียโอกาสในการตรวจและโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้การดำเนินกระบวนพิจารณาของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7917/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุบรรเทาโทษทางอาญา: การขาดความระมัดระวังของผู้เสียหายกับการข่มขืน, การพิจารณาข้อเท็จจริงและขอบเขตการแก้ไขโทษ
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการขาดความระมัดระวังของผู้เสียหายซึ่งถือว่ามีเหตุอื่นอันเป็นเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 และศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนมานั้น เห็นว่า การที่ผู้เสียหายเป็นพนักงานธนาคาร จำต้องทำยอดลูกค้าบัตรเครดิตให้ได้ตามที่ธนาคารกำหนด จึงยอมไปเที่ยวและร่วมรับประทานอาหารกับจำเลยเพราะผู้เสียหายเคยรับปากจำเลยไว้ จึงไม่อยากเสียคำพูดกับลูกค้า และในที่สุดยอมขึ้นไปที่ห้องพักบนอพาร์ตเมนต์ที่เกิดเหตุตามคำคะยั้นคะยอของจำเลยเป็นเหตุให้ถูกจำเลยใช้อาวุธปืนพูดขู่เข็ญและใช้กำลังบังคับข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่นั้น พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าว หาใช่กรณีที่จะถือได้ว่าสาเหตุแห่งการกระทำความผิดของจำเลยมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการขาดความระมัดระวังตัวของผู้เสียหาย อันจะถือว่ามีเหตุอื่นที่ศาลเห็นว่ามีเหตุอันควรปรานีลักษณะทำนองเดียวกับเหตุอื่น ๆ ที่บัญญัติไว้ใน ป.อ. มาตรา 78 ไม่ อย่างไรก็ตามเมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาก็ไม่อาจพิพากษาแก้เป็นไม่ลดโทษให้แก่จำเลยตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6631/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทสัญญาจ้างนักร้อง: เขตอำนาจศาล, หลักฐานสัญญา, สัญญาไม่เป็นธรรม, และดอกเบี้ย
แม้ขณะทำสัญญาจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดชัยนาท และลงลายมือชื่อในสัญญาที่อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาทก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่า โจทก์ลงลายมือชื่อในสัญญาที่ห้องบันทึกเสียงจาตุรงค์ จึงถือว่ามูลคดีนี้เกิดขึ้นที่ห้องบันทึกเสียงจาตุรงค์อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ.มาตรา 4(1) การที่โจทก์เสนอคำฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว
เมื่อจำเลยให้การยอมรับว่าทำสัญญาว่าจ้างร้องเพลงตามฟ้องจริง โดยมิได้ปฏิเสธถึงความถูกต้องของข้อความในสัญญา เพียงแต่ต่อสู้ว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดเพราะสัญญาเลิกกันแล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เท่านั้น จึงต้องฟังว่าจำเลยยอมรับว่าได้ทำสัญญาว่าจ้างร้องเพลงกับโจทก์โดยไม่จำต้องอาศัยหนังสือสัญญาจ้างเป็นหลักฐานในคดีแม้สัญญาจะไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ไม่ต้องห้ามตาม ป.รัษฎากร มาตรา 118 จึงรับฟังเป็นหลักฐานได้ และตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวมิได้บัญญัติว่าต้องปิดและขีดฆ่าอากรแสตมป์เมื่อใด เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหนังสือมอบอำนาจมีการปิดและขีดฆ่าอากรแสตมป์แล้ว หนังสือมอบอำนาจจึงใช้บังคับได้
สัญญาว่าจ้างร้องเพลงระบุว่าโจทก์มีหน้าที่บันทึกเสียง จัดทำแผ่นเสียง แถบบันทึกเสียงคอมแพกดิสก์ วีดิโอ หรือโสตทัศนวัสดุอื่นใดทุกชนิด รวมทั้งมีหน้าที่โฆษณาประชาสัมพันธ์และเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการผลิต ค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อชื่อเสียงของจำเลยเองทั้งหมด โจทก์จึงต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากและมีโอกาสเสี่ยงต่อการลงทุน ซึ่งต่างกับจำเลยซึ่งเพียงแต่ลงทุนแรงกายเป็นหลักเท่านั้น การที่สัญญาดังกล่าวจะระบุให้โจทก์ได้สิทธิและผลประโยชน์ตอบแทนจากรายได้ของจำเลยบางส่วนในกำหนด 5 ปี นับว่าเป็นระยะเวลาพอสมควรซึ่งหลังจากสิ้นสุดสัญญา จำเลยสามารถแสวงหารายได้จากการมีชื่อเสียงของตนได้เอง หาใช่เป็นการตัดการประกอบอาชีพของจำเลยทั้งหมดเสียทีเดียว ทั้งจำเลยก็สมัครใจทำสัญญาโดยยอมรับค่าตอบแทนที่โจทก์กำหนดให้ สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาที่รักษาสิทธิและประโยชน์ของคู่กรณีในเชิงการประกอบธุรกิจโดยชอบจึงไม่เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
โจทก์มีคำขอให้บังคับจำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2544 ซึ่งเป็นวันผิดนัดก่อนฟ้องคดี จึงเป็นการเกินคำขอ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
of 18