พบผลลัพธ์ทั้งหมด 805 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5770/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าต่างตอบแทนพิเศษ: การปรับปรุงอาคารและการตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่า บ่งชี้ระยะเวลา 6 ปี
โจทก์ทั้งสามทำสัญญาเช่าอาคารจากจำเลยตกลงเช่ามีกำหนด6ปีแบ่งออกเป็น2ช่วงช่วงละ3ปีค่าเช่า3ปีแรกเดือนละ200,000บาทส่วน3ปีหลังเพิ่มค่าเช่าอีกร้อยละ15โจทก์ทั้งสามจึงดัดแปลงตกแต่งอาคารสิ้นค่าใช้จ่ายไปประมาณ6,000,000บาทและตามข้อสัญญาข้อ4ว่าบรรดาสิ่งที่ผู้เช่าได้นำมาตกแต่งในสถานที่เช่าถ้ามีลักษณะติดตรึงตรากับตัวอาคารแล้วผู้เช่าจะรื้อถอนไปไม่ได้เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้ให้เช่าการปลูกสร้างหรือดัดแปลงต่อเติมที่ผู้เช่าได้กระทำขึ้นนั้นต้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าทั้งสิ้นในการลงทุนปรับปรุงจากอาคารพิพาทประกอบกับข้อสัญญาดังกล่าวบ่งชี้ว่าสัญญาเช่าระหว่างโจทก์ทั้งสามกับจำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาและมีกำหนด6ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5770/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าพิเศษ: การปรับปรุงอาคารและกรรมสิทธิ์ที่ตกเป็นของผู้ให้เช่า
โจทก์เช่าอาคารเฉพาะชั้นที่ 1 ถึงชั้นที่ 6 จากจำเลยในอัตราค่าเช่าเดือนละ 200,000 บาท ต่อมาโจทก์ได้ปรับปรุงอาคารที่เช่าให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสม เพื่อใช้เป็นห้องพักและสำนักงาน สิ้นค่าใช้จ่ายไป 6,000,000 บาทและจะต้องชำระค่าเช่าให้จำเลยอีกเดือนละ 200,000 บาท ทั้งตามข้อสัญญาระบุว่าบรรดาสิ่งที่ผู้เช่าได้นำมาตกแต่งในสถานที่เช่า ถ้ามีลักษณะติดตรึงตรากับตัวอาคารแล้ว ผู้เช่าจะรื้อถอนไปไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้ให้เช่า การปลูกสร้างหรือดัดแปลงต่อเติมที่ผู้เช่าได้กระทำขึ้นนั้น ต้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าทั้งสิ้น ในการลงทุนปรับปรุงอาคารพิพาทประกอบกับข้อสัญญาดังกล่าวบ่งชี้ว่า สัญญาเช่าระหว่างโจทก์ทั้งสามกับจำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5281/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คไม่มีมูลหนี้จากสัญญาต่างตอบแทนที่ไม่สมบูรณ์ การออกเช็คเพื่อเป็นหลักประกันก่อนการทำงานไม่ถือเป็นความผิด
จำเลยที่2ว่าจ้างให้พ.ถมดินซึ่งพ.ขอให้จำเลยที่2สั่งจ่ายเช็คพิพาทก่อนเพื่อไปแสดงกับเจ้าของรถบรรทุกสิบล้อที่จะนำมาใช้ในการถมดินแต่หลังจากนั้นพ. ไม่ถมดินให้จำเลยที่2มีสิทธิจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าพ. จะชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทนฉะนั้นในขณะจำเลยทั้งสองสั่งจ่ายเช็คหนี้ระหว่างจำเลยที่2กับพ. ยังบังคับกันไม่ได้จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯมาตรา4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5255/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับตามสัญญาสัมปทานป่าไม้: สิทธิของหน่วยงานในการยึดเงินค่าปลูกป่าเมื่อผู้รับสัมปทานไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง
โจทก์ได้นำเงินค่าปลูกป่าและบำรุงป่าไปฝากธนาคารในนามโจทก์ตามคำสั่งของกรมป่าไม้ จำเลยที่ 2 และโจทก์นำสมุดคู่ฝากเงินไปเก็บรักษาไว้ที่ป่าไม้จังหวัดน่าน จำเลยที่ 4 ซึ่งตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานนั้น ในการขอรับสมุดคู่ฝากเงินโจทก์ต้องเสนอแผนการปฏิบัติงานโดยย่อให้ป่าไม้เขตแพร่ จำเลยที่ 3ทราบ เมื่อได้รับความเห็นชอบจากจำเลยที่ 3 แล้ว จึงขอรับสมุดคู่ฝากเงินไปเบิกเงินจากธนาคารเพื่อนำไปใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนตามเงื่อนไขสัมปทาน เมื่อสิ้นสุดสัมปทานแล้วโจทก์ไม่เข้าไปปลูกป่า จำเลยที่ 2 เข้าไปตรวจสอบเนื้อที่ที่โจทก์ค้างปลูกและค้างบำรุงรักษาป่าเป็นเงิน 7,919,438.76บาท ซึ่งปรากฏว่าสัมปทานทั้ง 5 ฉบับ ข้อ 17 และข้อ 19 กำหนดให้โจทก์ปลูกป่าและบำรุงป่า ป้องกันไฟป่าและบำรุงรักษาต้นไม้ที่ขึ้นอยู่แล้วภายในระยะเวลาสัมปทานที่จำเลยที่ 2 กำหนดด้วยค่าใช้จ่ายของโจทก์เอง หลังจากโจทก์ได้รับสัมปทานทั้ง 5 ฉบับ ได้มีการทำบันทึกต่อท้ายสัมปทาน โจทก์ชำระค่าปลูกป่าแล้วเพราะหากไม่ชำระโจทก์จะไม่ได้รับอนุญาตให้ชำระค่าภาคหลวง โจทก์ได้รับสัมปทานตั้งแต่ปี 2516 โจทก์ลงมือตัดไม้ตั้งแต่ปี 2517 การปลูกป่าเมื่อปลูกแล้วจะต้องบำรุงรักษาต่อไปอีก 5 ปี เป็นเช่นนี้เรื่อยไปทุกครั้งที่มีการปลูกป่า ประกอบกับบันทึกต่อท้ายสัมปทาน ข้อ 3 ผูกพันโจทก์ กล่าวคือ โจทก์จะต้องปฏิบัติตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานดังกล่าว โดยเสนอแผนการปฏิบัติงานโดยย่อให้จำเลยที่ 3 ทราบ เมื่อได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 3 แล้ว จึงขอรับสมุดคู่ฝากเงินไปเบิกเงินจากธนาคารเพื่อนำไปใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนตามเงื่อนไขสัมปทานได้ อีกประการหนึ่งตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานดังกล่าวข้อ 4 ระบุด้วยว่า ถ้าผู้รับสัมปทานฝ่าฝืนหรือปฏิบัติผิดไปจากบันทึกที่ให้ไว้นี้ ให้ถือว่าผู้รับสัมปทานไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขสัมปทาน ข้อ 17และยินยอมให้ผู้ให้สัมปทานสั่งพักการทำไม้ไว้ หรือสั่งเพิกถอนสัมปทานทำไม้เสียก็ได้ และผู้รับสัมปทานยินยอมนำเงินค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงรักษาป่าที่คำนวณได้จากไม้ที่ทำออก และตรวจวัดตีตราเก็บเงินค่าภาคหลวงแล้วส่งมอบให้จำเลยที่ 2หรือผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 2 จนครบถ้วนด้วย ดังนั้น แม้สัมปทานถูกเพิกถอนแล้ว หากโจทก์ไม่ดำเนินการปลูกป่า จำเลยที่ 2 มีสิทธิที่จะบังคับให้โจทก์ดำเนินการดังกล่าวต่อไปได้ เมื่อโจทก์ค้างปลูกป่าและค้างค่าบำรุงป่าเป็นเงิน 7,919,438.76บาท โจทก์ไม่ได้ดำเนินการตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานข้อ 3 จำเลยทั้งสี่จึงมีสิทธิที่จะยึดสมุดคู่ฝากเงินของโจทก์ไว้เพื่อปฏิบัติตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานดังกล่าวข้อ 4 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5255/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการยึดสมุดคู่ฝากเงินของผู้รับสัมปทาน เมื่อค้างชำระค่าปลูกป่าและบำรุงรักษาตามสัญญา
โจทก์ได้นำเงินค่าปลูกป่าและบำรุงป่าไปฝากธนาคารในนามโจทก์ตามคำสั่งของกรมป่าไม้จำเลยที่2และโจทก์นำสมุดคู่ฝากเงินไปเก็บรักษาไว้ที่ป่าไม้จังหวัดน่านจำเลยที่4ซึ่งตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานนั้นในการขอรับสมุดคู่ฝากเงินโจทก์ต้องเสนอแผนการปฏิบัติงานโดยย่อให้ป่าไม้เขตแพร่จำเลยที่3ทราบเมื่อได้รับความเห็นชอบจากจำเลยที่3แล้วจึงขอรับสมุดคู่ฝากเงินไปเบิกเงินจากธนาคารเพื่อนำไปใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนตามเงื่อนไขสัมปทานเมื่อสิ้นสุดสัมปทานแล้วโจทก์ไม่เข้าไปปลูกป่าจำเลยที่2เข้าไปตรวจสอบเนื้อที่ที่โจทก์ค้างปลูกและค้างบำรุงรักษาป่าเป็นเงิน7,919,438.76บาทซึ่งปรากฏว่าสัมปทานทั้ง5ฉบับข้อ17และข้อ19กำหนดให้โจทก์ปลูกป่าและบำรุงป่าป้องกันไฟป่าและบำรุงรักษาต้นไม้ที่ขึ้นอยู่แล้วภายในระยะเวลาสัมปทานที่จำเลยที่2กำหนดด้วยค่าใช้จ่ายของโจทก์เองหลังจากโจทก์ได้รับสัมปทานทั้ง5ฉบับได้มีการทำบันทึกต่อท้ายสัมปทานโจทก์ชำระค่าปลูกป่าแล้วเพราะหากไม่ชำระโจทก์จะไม่ได้รับอนุญาตให้ชำระค่าภาคหลวงโจทก์ได้รับสัมปทานตั้งแต่ปี2516โจทก์ลงมือตัดไม้ตั้งแต่ปี2517การปลูกป่าเมื่อปลูกแล้วจะต้องบำรุงรักษาต่อไปอีก5ปีเป็นเช่นนี้เรื่อยไปทุกครั้งที่มีการปลูกป่าประกอบกับบันทึกต่อท้ายสัมปทานข้อ3ผูกพันโจทก์กล่าวคือโจทก์จะต้องปฏิบัติตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานดังกล่าวโดยเสนอแผนการปฏิบัติงานโดยย่อให้จำเลยที่3ทราบเมื่อได้รับความยินยอมจากจำเลยที่3แล้วจึงขอรับสมุดคู่ฝากเงินไปเบิกเงินจากธนาคารเพื่อนำไปใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนตามเงื่อนไขสัมปทานได้อีกประการหนึ่งตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานดังกล่าวข้อ4ระบุด้วยว่าถ้าผู้รับสัมปทานฝ่าฝืนหรือปฏิบัติผิดไปจากบันทึกที่ให้ไว้นี้ให้ถือว่าผู้รับสัมปทานไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขสัมปทานข้อ17และยินยอมให้ผู้ให้สัมปทานสั่งพักราชการทำไม้ไว้หรือสั่งเพิกถอนสัมปทานทำไม้เสียก็ได้และผู้รับสัมปทานยินยอมนำเงินค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงรักษาป่าที่คำนวณได้จากไม้ที่ทำออกและตรวจวัดตีตราเก็บเงินค่าภาคหลวงแล้วส่งมอบให้จำเลยที่2หรือผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่2จนครบถ้วนด้วยดังนั้นแม้สัมปทานถูกเพิกถอนแล้วหากโจทก์ไม่ดำเนินการปลูกป่าจำเลยที่2มีสิทธิที่จะบังคับให้โจทก์ดำเนินการดังกล่าวต่อไปได้เมื่อโจทก์ค้างปลูกป่าและค้างค่าบำรุงป่าเป็นเงิน7,919,438.76บาทโจทก์ไม่ได้ดำเนินการตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานข้อ3จำเลยทั้งสี่จึงมีสิทธิที่จะยึดสมุดคู่ฝากเงินของโจทก์ไว้เพื่อปฏิบัติตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานดังกล่าวข้อ4ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5217-5218/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบี้ยปรับ-การชำระหนี้-การปฏิเสธการรับมอบ-สัญญาซื้อขาย-การแก้ไขสัญญา
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา383วรรคแรกที่บัญญัติว่าเมื่อได้ใช้เงินตามเบี้ยปรับแล้วสิทธิเรียกร้องขอลดก็เป็นอันขาดไปหมายความว่าถ้าผู้ที่จะถูกเรียกให้ใช้เบี้ยปรับยินยอมชำระเบี้ยปรับจำนวนที่เรียกร้องให้แก่ผู้เรียกร้องแล้วย่อมหมดสิทธิที่จะขอลดเบี้ยปรับที่ได้ชำระแล้ว แม้โจทก์จะส่งมอบรถลากและรถหัวลากทั้งสองคันที่มีช่วงห่างระหว่างล้อหน้าและล้อหลังไม่ตรงตามที่ระบุไว้ในสัญญาแต่ก็เป็นไปตามประกาศประกวดราคาซื้อวัสดุและประกาศผลการประกวดราคาซื้อพัสดุของจำเลยเมื่อโจทก์ส่งมอบให้จำเลยแล้วจำเลยก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะไม่รับมอบรถลากและรถหัวลากทั้ง2คันเสียทีเดียวแต่ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคุณภาพของรถดังกล่าวซึ่งคณะกรรมการมีความเห็นว่าไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการตรวจรับและสามารถใช้งานได้แต่เนื่องจากนิติกรของจำเลยเห็นว่าไม่อาจแก้ไขสัญญาได้จำเลยจึงแจ้งให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาแสดงให้เห็นว่าหากนิติกรของจำเลยเห็นว่าให้มีการแก้ไขสัญญาในส่วนที่เกี่ยวกับช่วงห่างระหว่างล้อหน้าและล้อหลังได้จำเลยก็คงแก้ไขสัญญาและยอมรับมอบรถลากและรถหัวลากทั้งสองคันที่โจทก์ส่งมอบให้แล้วซึ่งโจทก์ก็จะไม่ผิดสัญญาเช่นนี้ต้องถือว่าก่อนที่จำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาจำเลยยังไม่ได้ปฏิเสธที่จะไม่ยอมรับมอบรถลากและรถหัวลากทั้งสองคันเท่ากับจำเลยยังไม่ถือว่าโจทก์ผิดสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5004/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือค้ำประกันและรับสภาพหนี้มีผลบังคับใช้ได้ ไม่ขาดอายุความ สิทธิเรียกร้องตามสัญญาไม่มีกำหนดอายุความชัดเจนใช้ 10 ปี
ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายถึงข้อหาว่าจำเลยที่1ผิดสัญญาจึงทำบันทึกข้อความยอมรับชำระหนี้แก่โจทก์และจำเลยที่2ถึงที่4เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่1โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ส่วนข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือสัญญาขอวงเงินสินเชื่อในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตเพื่อสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศที่จำเลยที่1ทำไว้กับโจทก์กับบันทึกข้อตกลงยอมรับชำระหนี้แก่โจทก์และสัญญาค้ำประกันจำเลยที่1ที่จำเลยที่2ถึงที่4ทำไว้ต่อโจทก์และคำขอบังคับคือโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้จำนวนตามฟ้องดังนี้คำฟ้องโจทก์จึงได้แสดงโดยแจ้งขัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นข้อหาแล้วส่วนในช่องข้อหาแม้โจทก์จะระบุข้อหาไว้ไม่ละเอียดเท่าที่ปรากฏตามเนื้อความในคำฟ้องก็ไม่ใช่สาระสำคัญที่จะทำให้คำฟ้องของโจทก์เป็นคำฟ้องเคลือบคลุมส่วนข้อที่ว่าจำเลยได้รับหรือใช้วงเงินสินเชื่อของโจทก์ไปกี่ครั้งครั้งละจำนวนเท่าใดและโจทก์ชำระเงินให้แก่ธนาคารไปก่อนแล้วเป็นจำนวนเท่าใดเพื่อแสดงว่าได้รับเงินจากโจทก์หรือเป็นหนี้โจทก์จำนวนเท่าใดนั้นเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่1ได้ทำสัญญาขอวงเงินสินเชื่อในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตเพื่อสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศไว้กับโจทก์และจำเลยที่2ได้เข้าค้ำประกันจำเลยที่1แต่จำเลยที่1และที่2ไม่ชำระหนี้จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์ย่อมมีสิทธินำคดีมาฟ้องได้จำเลยที่1และที่2จึงไม่อาจโต้แย้งว่าโจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องเพราะโจทก์ดำเนินกิจการตามสัญญาดังกล่าวนอกขอบวัตถุประสงค์ได้และสัญญาสัญญามิได้มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อการสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนจึงมีผลใช้บังคับกันได้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1มิได้ตกเป็นโมฆะ สัญญาขอวงเงินสินเชื่อในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตเพื่อสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศกำหนดให้จำเลยที่1เป็นผู้ดำเนินการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเองมิได้ตั้งโจทก์ให้เป็นตัวแทนในการสั่งสินค้าจากต่างประเทศจำเลยที่1เพียงแต่ขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตกับธนาคารและจำเลยที่1ขอใช้วงเงินสินเชื่อในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตดังกล่าวเงินสินเชื่อนั้นจึงมิใช่เงินทดรองที่โจทก์ออกไปก่อนในการเป็นตัวแทนจำเลยที่1ในการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศและเงินค่าตอบแทน1เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าเลตเตอร์ออฟเครดิตก็ถือไม่ได้ว่าเป็นเงินค่าบำเหน็จในการเป็นตัวแทนหรือเป็นสินจ้างในการงานที่โจทก์รับทำสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมิได้มีกำหนดอายุความ2ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา165(1)และ(7)เดิมแต่เป็นกรณีไม่มีบทบัญญัติกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องถืออายุความทั่วไปคือ10ปีตามมาตรา164เดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5004/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิต: การฟ้องเรียกหนี้และอายุความ
ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายถึงข้อหาว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจึงทำบันทึกข้อความยอมรับชำระหนี้แก่โจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ส่วนข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือสัญญาขอวงเงินสินเชื่อในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตเพื่อสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศที่จำเลยที่ 1 ทำไว้กับโจทก์ กับบันทึกข้อตกลงยอมรับชำระหนี้แก่โจทก์ และสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4ทำไว้ต่อโจทก์ และคำขอบังคับคือโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้จำนวนตามฟ้อง ดังนี้ คำฟ้องโจทก์จึงได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นข้อหาแล้ว ส่วนในช่องข้อหาแม้โจทก์จะระบุข้อหาไว้ไม่ละเอียดเท่าที่ปรากฏตามเนื้อความในคำฟ้อง ก็ไม่ใช่สาระสำคัญที่จะทำให้คำฟ้องของโจทก์เป็นคำฟ้องเคลือบคลุม ส่วนข้อที่ว่าจำเลยได้รับหรือใช้วงเงินสินเชื่อของโจทก์ไปกี่ครั้ง ครั้งละจำนวนเท่าใด และโจทก์ชำระเงินให้แก่ธนาคารไปก่อนแล้วเป็นจำนวนเท่าใด เพื่อแสดงว่าได้รับเงินจากโจทก์หรือเป็นหนี้โจทก์จำนวนเท่าใดนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาขอวงเงินสินเชื่อในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตเพื่อสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศไว้กับโจทก์ และจำเลยที่ 2 ได้เข้าค้ำประกันจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ชำระหนี้จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธินำคดีมาฟ้องได้ จำเลยที่ 1และที่ 2 จึงไม่อาจโต้แย้งว่า โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องเพราะโจทก์ดำเนินกิจการตามสัญญาดังกล่าวนอกขอบวัตถุประสงค์ได้ และสัญญาสัญญามิได้มีวัตถุ-ประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัย หรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงมีผลใช้บังคับกันได้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้ตกเป็นโมฆะ
สัญญาขอวงเงินสินเชื่อในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตเพื่อสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ กำหนดให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเอง มิได้ตั้งโจทก์ให้เป็นตัวแทนในการสั่งสินค้าจากต่างประเทศ จำเลยที่ 1 เพียงแต่ขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตกับธนาคารและจำเลยที่ 1 ขอใช้วงเงินสินเชื่อในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตดังกล่าว เงินสินเชื่อนั้นจึงมิใช่เงินทดรองที่โจทก์ออกไปก่อนในการเป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 ในการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ และเงินค่าตอบแทน 1เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าเลตเตอร์ออฟเครดิตก็ถือไม่ได้ว่าเป็นเงินค่าบำเหน็จในการเป็นตัวแทนหรือเป็นสินจ้างในการงานที่โจทก์รับทำ สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมิได้มีกำหนดอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 165 (1)และ (7) เดิม แต่เป็นกรณีไม่มีบทบัญญัติกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องถืออายุความทั่วไปคือ 10 ปี ตามมาตรา 164 เดิม
ห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาขอวงเงินสินเชื่อในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตเพื่อสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศไว้กับโจทก์ และจำเลยที่ 2 ได้เข้าค้ำประกันจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ชำระหนี้จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธินำคดีมาฟ้องได้ จำเลยที่ 1และที่ 2 จึงไม่อาจโต้แย้งว่า โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องเพราะโจทก์ดำเนินกิจการตามสัญญาดังกล่าวนอกขอบวัตถุประสงค์ได้ และสัญญาสัญญามิได้มีวัตถุ-ประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัย หรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงมีผลใช้บังคับกันได้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้ตกเป็นโมฆะ
สัญญาขอวงเงินสินเชื่อในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตเพื่อสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ กำหนดให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเอง มิได้ตั้งโจทก์ให้เป็นตัวแทนในการสั่งสินค้าจากต่างประเทศ จำเลยที่ 1 เพียงแต่ขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตกับธนาคารและจำเลยที่ 1 ขอใช้วงเงินสินเชื่อในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตดังกล่าว เงินสินเชื่อนั้นจึงมิใช่เงินทดรองที่โจทก์ออกไปก่อนในการเป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 ในการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ และเงินค่าตอบแทน 1เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าเลตเตอร์ออฟเครดิตก็ถือไม่ได้ว่าเป็นเงินค่าบำเหน็จในการเป็นตัวแทนหรือเป็นสินจ้างในการงานที่โจทก์รับทำ สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมิได้มีกำหนดอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 165 (1)และ (7) เดิม แต่เป็นกรณีไม่มีบทบัญญัติกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องถืออายุความทั่วไปคือ 10 ปี ตามมาตรา 164 เดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4859/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดิน: จำเลยผิดสัญญาแบ่งแยกที่ดินและสร้างถนน ทำให้โจทก์ไม่ต้องชำระเงินและศาลสั่งให้จำเลยโอนที่ดิน
โจทก์กล่าวอ้างว่าในวันที่5กุมภาพันธ์2534จำเลยไม่โอนที่ดินให้แก่โจทก์ยังไม่ได้จัดการทำถนนท่อระบายน้ำไฟฟ้าและยังไม่ได้แบ่งแยกที่ดินจึงถือว่าจำเลยที่1ผิดสัญญาจำเลยให้การสู้คดีว่าได้มีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ทั้งสองไปรับโอนที่ดินในวันที่5กุมภาพันธ์2534แต่คำให้การของจำเลยไม่ได้ปฏิเสธในเรื่องที่โจทก์อ้างว่าจำเลยยังไม่ได้จัดการทำถนนท่อระบายน้ำและติดตั้งเสาไฟฟ้าจึงต้องถือว่าจำเลยยังไม่ได้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวจริงและข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันที่27กุมภาพันธ์2534จำเลยยังไม่ได้แบ่งแยกที่ดินในส่วนที่จะจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์แล้วเสร็จทั้งตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและหนังสือรับเงินค่าที่ดินมีข้อความระบุไว้ชัดเจนว่าจำเลยจะต้องแบ่งแยกที่ดินออกจากโฉนดที่ดินเดิมสร้างถนนเข้าที่ดินกว้าง5เมตรทำท่อระบายน้ำและตั้งเสาไฟฟ้าให้เรียบร้อยเมื่อจำเลยยังไม่ได้จัดการแบ่งแยกที่ดินทำถนนเข้าที่ดินทำท่อระบายน้ำและตั้งเสาไฟฟ้าจำเลยย่อมไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้โจทก์ชำระค่าที่ดินที่ยังค้างชำระและจดทะเบียนรับโอนที่ดินที่จะซื้อขายกันการที่โจทก์ไม่ได้ชำระค่าที่ดินให้แก่จำเลยและไม่ได้จดทะเบียนโอนที่ดินกันในวันที่5กุมภาพันธ์2534ย่อมถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาแม้โจทก์ไปที่สำนักงานที่ดินก็ไม่อาจจะจดทะเบียนโอนที่ดินกันได้และการที่จำเลยยังไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาทั้งเมื่อจำเลยแบ่งแยกที่ดินแล้วจดทะเบียนโอนให้แก่ผู้อื่นเช่นนี้จำเลยย่อมเป็นฝ่ายผิดสัญญา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ถอนชื่อส. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและมิได้เป็นคู่ความในคดีออกจากโฉนดที่ดินที่พิพาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคสองศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4859/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผิดสัญญาซื้อขายที่ดิน: จำเลยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขก่อนเรียกร้องค่าที่ดิน
โจทก์กล่าวอ้างว่าในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2534 จำเลยไม่โอนที่ดินให้แก่โจทก์ ยังไม่ได้จัดการทำถนน ท่อระบายน้ำ ไฟฟ้า และยังไม่ได้แบ่งแยกที่ดิน จึงถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา จำเลยให้การสู้คดีว่าได้มีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ทั้งสองไปรับโอนที่ดินในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2534 แต่คำให้การของจำเลยไม่ได้ปฏิเสธในเรื่องที่โจทก์อ้างว่า จำเลยยังไม่ได้จัดการทำถนน ท่อระบายน้ำและติดตั้งเสาไฟฟ้า จึงต้องถือว่าจำเลยยังไม่ได้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวจริงและข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2534 จำเลยยังไม่ได้แบ่งแยกที่ดินในส่วนที่จะจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์แล้วเสร็จ ทั้งตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและหนังสือรับเงินค่าที่ดินมีข้อความระบุไว้ชัดเจนว่า จำเลยจะต้องแบ่งแยกที่ดินออกจากโฉนดที่ดินเดิม สร้างถนนเข้าที่ดินกว้าง 5 เมตร ทำท่อระบายน้ำ และตั้งเสาไฟฟ้าให้เรียบร้อย เมื่อจำเลยยังไม่ได้จัดการแบ่งแยกที่ดิน ทำถนนเข้าที่ดินทำท่อระบายน้ำ และตั้งเสาไฟฟ้า จำเลยย่อมไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้โจทก์ชำระค่าที่ดินที่ยังค้างชำระและจดทะเบียนรับโอนที่ดินที่จะซื้อขายกัน การที่โจทก์ไม่ได้ชำระค่าที่ดินให้แก่จำเลยและไม่ได้จดทะเบียนโอนที่ดินกันในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2534ย่อมถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา แม้โจทก์ไปที่สำนักงานที่ดินก็ไม่อาจจะจดทะเบียนโอนที่ดินกันได้ และการที่จำเลยยังไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญา ทั้งเมื่อจำเลยแบ่งแยกที่ดินแล้วจดทะเบียนโอนให้แก่ผู้อื่นเช่นนี้ จำเลยย่อมเป็นฝ่ายผิดสัญญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ถอนชื่อ ส.ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและมิได้เป็นคู่ความในคดีออกจากโฉนดที่ดินที่พิพาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคสอง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ถอนชื่อ ส.ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและมิได้เป็นคู่ความในคดีออกจากโฉนดที่ดินที่พิพาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคสอง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข