พบผลลัพธ์ทั้งหมด 805 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 627/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนคดีเนื่องจากทนายป่วย และภาระการพิสูจน์หนี้ค่าระวางพาหนะ
โจทก์มีทนายความสองคนในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายโจทก์คนหนึ่งไม่มาศาลส่วนทนายโจทก์อีกคนหนึ่งมอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดีเพราะป่วยไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยไม่ปรากฏว่าทนายโจทก์อีกคนหนึ่งมีเหตุจำเป็นที่จะมาปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ จึงไม่มีเหตุที่จะเลื่อนคดีเพราะความเจ็บป่วยของทนายโจทก์ ประกอบกับพยานโจทก์ก็ไม่มาศาล ที่ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและงดสืบพยานโจทก์จึงชอบแล้ว.
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าระวางพาหนะ ไม้อัดที่โจทก์ขนส่งให้จำเลย จำเลยรับว่าได้ค้างชำระค่าระวางพาหนะดังกล่าว เพราะโจทก์ไม่ส่งใบเสร็จรับเงินไปเรียกเก็บจากจำเลย ดังนี้ เมื่อโจทก์ได้ขนส่งไม้อัดให้จำเลยแล้ว จำเลยย่อมมีหน้าที่ชำระค่าระวางพาหนะ ให้โจทก์โดยโจทก์ไม่ต้องทวงถาม เมื่อโจทก์ฟ้องคดีอันเป็นการเรียกให้ชำระหนี้แล้ว จำเลยก็มีหน้าที่ต้องชำระดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าระวางพาหนะ ไม้อัดที่โจทก์ขนส่งให้จำเลย จำเลยรับว่าได้ค้างชำระค่าระวางพาหนะดังกล่าว เพราะโจทก์ไม่ส่งใบเสร็จรับเงินไปเรียกเก็บจากจำเลย ดังนี้ เมื่อโจทก์ได้ขนส่งไม้อัดให้จำเลยแล้ว จำเลยย่อมมีหน้าที่ชำระค่าระวางพาหนะ ให้โจทก์โดยโจทก์ไม่ต้องทวงถาม เมื่อโจทก์ฟ้องคดีอันเป็นการเรียกให้ชำระหนี้แล้ว จำเลยก็มีหน้าที่ต้องชำระดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 333/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันตัวและการขยายผลสัญญา แม้ไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรก็มีผลผูกพันได้
โจทก์ได้ทำสัญญาประกันตัว ป. ซึ่งเป็นผู้ต้องหาไว้ต่อศาลและจำเลยทำสัญญาให้โจทก์ไว้ว่า หาก ป. ไม่ไปศาลตามนัด และโจทก์ต้องชำระค่าปรับต่อศาล จำเลยจะยอมรับผิดชดใช้เงินให้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์ได้ส่งตัว ป. ต่อศาลและขอถอนประกัน จำเลยขอให้โจทก์ประกันตัว ป. ต่อ โดยจำเลยจะยอมรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาเดิมที่จำเลยทำไว้ให้โจทก์ การตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยในครั้งหลังนี้ แม้จะไม่มีการทำหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยเป็นสำคัญ ก็มีผลใช้บังคับได้ เพราะสัญญานี้มิใช่สัญญาที่จำเลยผูกพันตนเข้าชำระหนี้ ในเมื่อ ป. ไม่ชำระหนี้อันเป็นการค้ำประกันที่จะต้องนำบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 11 เรื่องค้ำประกันมาใช้บังคับ แต่เป็นสัญญาต่างตอบแทนที่ใช้บังคับกันระหว่างโจทก์กับจำเลยเท่านั้น ดังนั้น เมื่อ ป. ไม่ไปศาล จนศาลสั่งปรับโจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 333/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาต่างตอบแทนในการประกันตัว: ขอบเขตความรับผิดเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสัญญาประกัน
โจทก์ทำสัญญาประกันตัว ป. ต่อศาลในการปล่อยชั่วคราว ป. ในระหว่างสอบสวนโดยมีจำเลยทำสัญญาต่อโจทก์ว่า หากศาลสั่งปรับโจทก์ จำเลยจะยอมใช้เงินค่าปรับตามคำสั่งศาลแทนโจทก์ ดังนี้สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนมิใช่สัญญาค้ำประกันตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 11.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทสัญญาจะซื้อขายที่ดิน: การชำระราคา, การโอนกรรมสิทธิ์, และเบี้ยปรับ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์วางแผนผังเตรียมปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ และเรือนแถวกำหนดแบบแปลนเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่สามารถทำได้ ถ้าจำเลยไม่ผิดสัญญาโจทก์สามารถปลูกสร้างอาคารขายได้กำไรมากกว่า 2,000,000 บาท หนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินกำหนดเบี้ยปรับไว้ในกรณีฝ่ายผู้ขายผิดสัญญาเป็นเงิน 1,000,000 บาทโจทก์ได้รับความเสียหาย ขอเรียกค่าเสียหายเป็นเบี้ยปรับตามสัญญาเป็นเงิน 1,000,000 บาท คำฟ้องดังกล่าวชัดแจ้งไม่เคลือบคลุม
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน โฉนดเลขที่ 89385 จาก ม. บิดาจำเลยราคา 2,000,000 บาท และที่ดินโฉนดเลขที่ 89384 จากจำเลยราคา 600,000 บาท มีข้อตกลงว่าผู้ซื้อต้องชำระราคาที่ดินโฉนดเลขที่ 89385 ครบถ้วนและผู้ขายทำการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ในคราวเดียวกัน และผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อขยายเวลาสำหรับชำระราคาที่ดินโฉนดเลขที่ 89384 ไปอีกหกเดือนนับแต่วันซื้อขายที่ดินโฉนดแรกเสร็จโจทก์ออกเช็คชำระราคาที่ดินโฉนดเลขที่89385 ครบถ้วนแล้ว ต่อมา ม. จะได้รับเงินตามเช็คเพียงใดหรือไม่ ก็เป็นเรื่องระหว่าง ม. กับโจทก์จะว่ากล่าวกันเองไม่เกี่ยวกับจำเลยแต่อย่างใด ดังนั้นจำเลยอ้างว่าโจทก์ยังค้างชำระเงินค่าที่ดิน ม. อยู่อีก 500,000 บาท จำเลยจึงไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดของจำเลยให้แก่โจทก์ ย่อมเป็นการไม่ถูกต้อง จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา.(ที่มา-ส่งเสริม)
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน โฉนดเลขที่ 89385 จาก ม. บิดาจำเลยราคา 2,000,000 บาท และที่ดินโฉนดเลขที่ 89384 จากจำเลยราคา 600,000 บาท มีข้อตกลงว่าผู้ซื้อต้องชำระราคาที่ดินโฉนดเลขที่ 89385 ครบถ้วนและผู้ขายทำการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ในคราวเดียวกัน และผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อขยายเวลาสำหรับชำระราคาที่ดินโฉนดเลขที่ 89384 ไปอีกหกเดือนนับแต่วันซื้อขายที่ดินโฉนดแรกเสร็จโจทก์ออกเช็คชำระราคาที่ดินโฉนดเลขที่89385 ครบถ้วนแล้ว ต่อมา ม. จะได้รับเงินตามเช็คเพียงใดหรือไม่ ก็เป็นเรื่องระหว่าง ม. กับโจทก์จะว่ากล่าวกันเองไม่เกี่ยวกับจำเลยแต่อย่างใด ดังนั้นจำเลยอ้างว่าโจทก์ยังค้างชำระเงินค่าที่ดิน ม. อยู่อีก 500,000 บาท จำเลยจึงไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดของจำเลยให้แก่โจทก์ ย่อมเป็นการไม่ถูกต้อง จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5749/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาลาศึกษาต่อและการชดใช้ราชการ: การหักเวลาช่วยสอนออกจากระยะเวลาชดใช้
จำเลยที่ 1 เป็นข้าราชการครูในสังกัดของโจทก์ ได้รับอนุญาตให้ลาศึกษาต่อ โดยทำสัญญากับโจทก์ว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจำเลยที่ 1 ต้องทำงานชดใช้ตามระยะเวลาที่กำหนด มิฉะนั้นจะต้องชดใช้เบี้ยปรับ ดังนี้ แม้จำเลที่ 1 จะมาช่วยสอนในระหว่างที่ได้รับอนุญาตให้ลา ก็จะนำเวลาที่มาช่วยสอนมาคิดหักออกจากเวลาที่จำเลยที่ 1 จะต้องปฏิบัติราชการชดใช้หลังจากครบกำหนดเวลาที่ได้รับอนุญาตให้ลาหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5749/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาชดใช้ราชการหลังลาศึกษาต่อ: เวลาทำการสอนระหว่างลาศึกษาต่อมิอาจนำมาหักออกจากระยะเวลาชดใช้
จำเลยที่ 1 เป็นข้าราชการครูในสังกัดของโจทก์ ได้รับอนุญาตให้ลาศึกษาต่อ โดยทำสัญญากับโจทก์ว่า เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจำเลยที่ 1 ต้องทำงานชดใช้ตามระยะเวลาที่กำหนด มิฉะนั้นจะต้องชดใช้เบี้ยปรับ ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 จะมาช่วยสอนในระหว่างที่ได้รับอนุญาตให้ลา ก็จะนำเวลาที่มาช่วยสอนมาคิดหักออกจากเวลาที่จำเลยที่ 1 จะต้องปฏิบัติราชการชดใช้หลังจากครบกำหนดเวลาที่ได้รับอนุญาตให้ลาหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3517/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อก่อนตามสัญญาเช่าผูกพันเฉพาะคู่สัญญา ไม่ผูกพันเจ้าของที่ดินรายใหม่
แม้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยจะระบุว่า เมื่อโจทก์ร่วมผู้ให้เช่าจะขายที่ดินและอาคารพิพาท จะตอ้งแจ้งให้จำเลยผู้เช่าทราบล่วงหน้าเพื่อให้โอกาสจำเลยซื้อก่อนก็ตามข้อตกลงนี้เป็นเพียงก่อให้เกิดบุคคลสิทธิที่มีผลผูกพันเฉพาะโจทก์ร่วมและจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาเท่านั้น ไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและเป็นเจ้าของที่ดินกับอาคารที่พิพาทนั้นในภายหลัง จำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินกับอาคารที่พิพาทดังกล่าวระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วม จำเลยฎีกาว่า โจทก์และโจทก์ร่วมวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่จำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในขณะยื่นอุทธรณ์ไม่ครบในเมื่อศาลอุทธรณ์ได้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่บังคับให้ตามฟ้องแย้งของจำเลยแล้ว ฎีกาข้อนี้ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2526/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าเช่า, สิทธิทายาท, อายุความฟ้องแย้ง, การจดทะเบียนเช่า
สัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา แม้ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ใช้บังคับกันได้ตามข้อตกลงและถือไม่ได้ว่าเป็นสิทธิเฉพาะตัว แม้คู่สัญญาจะตาย สิทธิและหน้าที่ดังกล่าวก็ต้องตกทอดไปยังทายาท
สัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับ ฉ. ผู้ให้เช่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา และมีข้อตกลงให้เช่าช่วงได้ เมื่อจำเลยเช่ายังไม่ครบกำหนดและให้เช่าช่วงตามข้อตกลง จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา และไม่มีอำนาจฟ้อง และที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ ฉ. จดทะเบียนการเช่า เป็นการให้ปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อให้การเช่าได้จดทะเบียนการเช่าสมบูรณ์ยิ่งขึ้นดังนี้ จำเลยจึงฟ้องแย้งให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าได้
การจดทะเบียนการเช่าตามสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของผู้ให้เช่าที่จะต้องกระทำเพื่อประโยชน์แก่ผู้เช่าเมื่อผู้ให้เช่าถึงแก่กรรมหน้าที่ดังกล่าวย่อมตกทอดไปยังทายาท การที่ผู้เช่าฟ้องบังคับให้จดทะเบียนสิทธิการเช่าถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิเรียกร้อง จึงต้องฟ้องภายในกำหนดอายุความ 1 ปี นับแต่ผู้เช่าทราบว่าผู้ให้เช่าถึงแก่กรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสาม.
สัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับ ฉ. ผู้ให้เช่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา และมีข้อตกลงให้เช่าช่วงได้ เมื่อจำเลยเช่ายังไม่ครบกำหนดและให้เช่าช่วงตามข้อตกลง จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา และไม่มีอำนาจฟ้อง และที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ ฉ. จดทะเบียนการเช่า เป็นการให้ปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อให้การเช่าได้จดทะเบียนการเช่าสมบูรณ์ยิ่งขึ้นดังนี้ จำเลยจึงฟ้องแย้งให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าได้
การจดทะเบียนการเช่าตามสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของผู้ให้เช่าที่จะต้องกระทำเพื่อประโยชน์แก่ผู้เช่าเมื่อผู้ให้เช่าถึงแก่กรรมหน้าที่ดังกล่าวย่อมตกทอดไปยังทายาท การที่ผู้เช่าฟ้องบังคับให้จดทะเบียนสิทธิการเช่าถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิเรียกร้อง จึงต้องฟ้องภายในกำหนดอายุความ 1 ปี นับแต่ผู้เช่าทราบว่าผู้ให้เช่าถึงแก่กรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสาม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2526/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าต่างตอบแทน สิทธิและหน้าที่ตกทอดแก่ทายาท ฟ้องแย้งจดทะเบียนได้แต่มีอายุความ
สัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา แม้ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ใช้บังคับกันได้ตามข้อตกลง และถือไม่ได้ว่าเป็นสิทธิเฉพาะตัว แม้คู่สัญญาจะตาย สิทธิและหน้าที่ดังกล่าวก็ต้องตกทอดไปยังทายาท สัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับ ฉ. ผู้ให้เช่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา และมีข้อตกลงให้เช่าช่วงได้ เมื่อจำเลยเช่ายังไม่ครบกำหนดและให้เช่าช่วงตามข้อตกลง จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา และไม่มีอำนาจฟ้องและที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของฉ. จดทะเบียนการเช่า เป็นการให้ปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อให้การเช่าได้จดทะเบียนการเช่าสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดังนี้ จำเลยจึงฟ้องแย้งให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าได้ การจดทะเบียนการเช่าตามสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของผู้ให้เช่าที่จะต้องกระทำเพื่อประโยชน์แก่ผู้เช่าเมื่อผู้ให้เช่าถึงแก่กรรมหน้าที่ดังกล่าวย่อมตกทอดไปยังทายาท การที่ผู้เช่าฟ้องบังคับให้จดทะเบียนสิทธิการเช่าถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิเรียกร้อง จึงต้องฟ้องภายในกำหนดอายุความ 1 ปี นับแต่ผู้เช่าทราบว่าผู้ให้เช่าถึงแก่กรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2019/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อ: ผู้เช่าซื้อมีสิทธิเลิกสัญญาเมื่อผู้ให้เช่าซื้อไม่แก้ไขข้อบกพร่องของทรัพย์สิน และสิทธิในการขอคืนเงินค่าเช่าซื้อ
แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 573 จะเป็นบทบัญญัติให้สิทธิผู้เช่าซื้อเลิกสัญญาในกรณีที่ไม่มีการผิดนัดสัญญา แต่เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อผิดสัญญาเพราะไม่จัดการแก้ไขให้ทรัพย์ที่ให้เช่าซื้ออยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ จำเลยก็มีสิทธิเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 ได้ เมื่อจำเลยผู้เช่าซื้อใช้สิทธิเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 แล้ว การชำระหนี้อันเกิดแต่การเลิกสัญญามาตรา 392 บัญญัติให้เป็นไปตามมาตรา 369 และคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจึงต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามมาตรา 391 โจทก์ต้องคืนเงินค่าเช่าซื้อที่ได้รับคืนให้แก่จำเลยแต่เงินค่าเช่าซื้อมิใช่ราคาทรัพย์อย่างเดียว หากแต่เป็นค่าเช่ารวมอยู่ด้วย ซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับค่าเช่าในระหว่างที่จำเลยครอบครองและใช้ประโยชน์ในทรัพย์ที่เช่าซื้ออยู่ จึงต้องหักค่าเช่าออกจากจำนวนค่าเช่าซื้อที่ต้องคืนจำเลยให้โจทก์เสียก่อน