พบผลลัพธ์ทั้งหมด 805 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2018/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาต่างตอบแทน & สิทธิเรียกร้องเช็ค: โจทก์ผิดสัญญาเช่าก่อน จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินจากเช็ค
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็ค จำเลยให้การว่าจำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้บุตรจำเลยนำไปชำระค่าโอนสิทธิการเช่าตึกแถวจากธ. ในฐานะส่วนตัวและในฐานะ ธ. เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างโจทก์ แล้ว ธ. และโจทก์ผิดสัญญาไม่ขนย้ายออกไปและไม่มอบตึกแถวให้บุตรจำเลยตามกำหนด บุตรจำเลยจึงขอให้จำเลยแจ้งธนาคารระงับการจ่ายเงินตามเช็คไว้ดังนี้ สัญญาโอนสิทธิการเช่าตามที่จำเลยให้การเป็นสัญญาต่างตอบแทน หากโจทก์ผิดสัญญาไม่ขนย้ายออกไปและไม่ส่งมอบตึกแถวให้บุตรจำเลย โจทก์ก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้บุตรจำเลยชำระหนี้ และไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยให้ใช้เงินตามเช็คพิพาทซึ่งออกเพื่อชำระหนี้ของบุตรจำเลยด้วย คำให้การจำเลยจึงเป็นการต่อสู้ว่าสิทธิของโจทก์ในฐานะผู้ทรงบกพร่องเพราะไม่อาจบังคับตามมูลหนี้ได้ และเมื่อศาลชั้นต้นก็กำหนดประเด็นพิพาทไว้ว่า เช็คมีมูลหนี้หรือไม่คดีจึงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ผิดสัญญาหรือไม่
ธ. ในฐานะส่วนตัวและในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ทำสัญญาโอนสิทธิการเช่าตึกแถวกับบุตรจำเลย ธ. ยอมรับเช็คพิพาทสั่งจ่ายวันที่ 15 มิถุนายน 2515 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ ธ. และโจทก์ต้องขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากตึกแถวแสดงว่าคู่สัญญาตกลงจะปฏิบัติชำระหนี้ตอบแทนกันในวันเดียวกัน การที่สัญญามีข้อความว่า "และผู้รับเงินได้รับเงินจำนวนนี้ไปเป็นการถูกต้องและเรียบร้อยแล้วในวันทำสัญญานี้" คงมุ่งหมายเพียงให้เป็นหลักฐานว่า ธ. และโจทก์ได้รับเช็คเป็นการชำระค่าตอบแทนไปแล้ว หาได้หมายความว่าบุตรจำเลยต้องชำระหนี้เป็นตัวเงินตอบแทนก่อน แล้ว ธ. และโจทก์จึงจะต้องขนย้ายออกไปจากตึกแถวไม่ เมื่อ ธ.และโจทก์ไม่ขนย้ายออกไปจากตึกแถวภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2515 จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา และไม่มีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยให้ใช้เงินตามเช็คพิพาท
ธ. ในฐานะส่วนตัวและในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ทำสัญญาโอนสิทธิการเช่าตึกแถวกับบุตรจำเลย ธ. ยอมรับเช็คพิพาทสั่งจ่ายวันที่ 15 มิถุนายน 2515 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ ธ. และโจทก์ต้องขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากตึกแถวแสดงว่าคู่สัญญาตกลงจะปฏิบัติชำระหนี้ตอบแทนกันในวันเดียวกัน การที่สัญญามีข้อความว่า "และผู้รับเงินได้รับเงินจำนวนนี้ไปเป็นการถูกต้องและเรียบร้อยแล้วในวันทำสัญญานี้" คงมุ่งหมายเพียงให้เป็นหลักฐานว่า ธ. และโจทก์ได้รับเช็คเป็นการชำระค่าตอบแทนไปแล้ว หาได้หมายความว่าบุตรจำเลยต้องชำระหนี้เป็นตัวเงินตอบแทนก่อน แล้ว ธ. และโจทก์จึงจะต้องขนย้ายออกไปจากตึกแถวไม่ เมื่อ ธ.และโจทก์ไม่ขนย้ายออกไปจากตึกแถวภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2515 จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา และไม่มีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยให้ใช้เงินตามเช็คพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1846/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาต่างตอบแทนผูกพันเฉพาะคู่สัญญาเดิม ผู้รับโอนไม่ผูกพัน
สัญญาต่างตอบแทนเป็นสัญญาที่ก่อให้เกิดเพียงบุคคลสิทธิ มีผลผูกพันเฉพาะคู่กรณีเท่านั้น คือผู้ที่เป็นคู่สัญญาเดิมกับจำเลย จะไปผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนและมิได้ยินยอมปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นด้วยหาได้ไม่ และเมื่อเจ้าของเดิมตกลงยอมให้จำเลยเช่าต่อไปอีก 5 ปีด้วยวาจา จำเลยก็จะอ้างประโยชน์ตามมาตรา 569 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ได้ โจทก์เป็นเจ้าของบ้านพิพาทย่อมฟ้องขับไล่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1349/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความเป็นสัญญาต่างตอบแทน การบังคับคดีหลังถอนฟ้องคดีอาญา
สัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยยอมใช้เงินแก่โจทก์ตามกำหนดเวลาที่ระบุ โจทก์ยอมถอนคดีอาญาเรื่องเช็คใน 7 วัน เป็นสัญญาต่างตอบแทน โจทก์ยังไม่ถอนฟ้อง จำเลยก็ยังไม่ต้องใช้เงินแก่โจทก์ โจทก์จึงยังบังคับคดียึดทรัพย์ไม่ได้ศาลให้ถอนการยึดแต่เมื่อโจทก์ถอนคดีตามยอมแล้วโจทก์ก็ขอให้บังคับคดียึดทรัพย์ได้ ไม่ใช่ออกหมายบังคับคดีซ้ำหรือฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 464/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแลกเปลี่ยนที่ดินก่อนได้รับมรดก และการสละสิทธิครอบครองหลังได้รับมรดก
โจทก์ตกลงแลกเปลี่ยนที่พิพาทกับที่ดินของจำเลย ขณะตกลงแลกเปลี่ยนโจทก์ยังไม่มีสิทธิในที่พิพาท และที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมที่บิดายกให้โจทก์ ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่มีผลเป็นการแลกเปลี่ยน ทั้งเป็นการจำหน่ายจ่ายโอนมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1619 แต่ภายหลังที่บิดาตายแล้วจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทเป็นของตนตลอดมาโดยโจทก์ไม่เกี่ยวข้อง ย่อมเป็นปริยายว่าโจทก์สละสิทธิครอบครองที่พิพาทให้แก่จำเลยภายหลังที่ที่พิพาทตกเป็นของโจทก์แล้ว โดยมีเจตนาแลกเปลี่ยนที่ดินกันดังเดิม จำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองที่พิพาท โจทก์ต้องไปจดทะเบียนการโอนที่พิพาทให้จำเลย และจำเลยต้องไปจดทะเบียนโอนที่นาของตนที่แลกเปลี่ยนกับที่พิพาทให้โจทก์
ศาลล่างพิพากษาบังคับโจทก์โดยไม่บังคับจำเลยให้โอนที่ดินให้โจทก์ตามข้อตกลงแลกเปลี่ยนไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369 แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ฎีกาในข้อนี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ให้ถูกต้องได้เพราะเป็นการชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทน (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 2430/2516)
ศาลล่างพิพากษาบังคับโจทก์โดยไม่บังคับจำเลยให้โอนที่ดินให้โจทก์ตามข้อตกลงแลกเปลี่ยนไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369 แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ฎีกาในข้อนี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ให้ถูกต้องได้เพราะเป็นการชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทน (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 2430/2516)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 464/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแลกเปลี่ยนที่ดินก่อนได้รับมรดก & การสละสิทธิครอบครองหลังได้รับมรดก ศาลแก้ไขคำพิพากษาให้ถูกต้อง
โจทก์ตกลงแลกเปลี่ยนที่พิพาทกับที่ดินของจำเลย ขณะตกลงแลกเปลี่ยนโจทก์ยังไม่มีสิทธิในที่พิพาท และที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมที่บิดายกให้โจทก์ ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่มีผลเป็นการแลกเปลี่ยน ทั้งเป็นการจำหน่ายจ่ายโอนมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1619 แต่ภายหลังที่บิดาตายแล้วจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทเป็นของตนตลอดมาโดยโจทก์ไม่เกี่ยวข้อง ย่อมเป็นปริยายว่าโจทก์สละสิทธิครอบครองที่พิพาทให้แก่จำเลยภายหลังที่ที่พิพาทตกเป็นของโจทก์แล้ว โดยมีเจตนาแลกเปลี่ยนที่ดินกันดังเดิม จำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองที่พิพาท โจทก์ต้องไปจดทะเบียนการโอนที่พิพาทให้จำเลย และจำเลยต้องไปจดทะเบียนโอนที่นาของตนที่แลกเปลี่ยนกับที่พิพาทให้โจทก์
ศาลล่างพิพากษาบังคับโจทก์โดยไม่บังคับจำเลยให้โอนที่ดินให้โจทก์ตามข้อตกลงแลกเปลี่ยนไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369 แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ฎีกาในข้อนี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ให้ถูกต้องได้ เพราะเป็นการชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทน (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 2430/2516)
ศาลล่างพิพากษาบังคับโจทก์โดยไม่บังคับจำเลยให้โอนที่ดินให้โจทก์ตามข้อตกลงแลกเปลี่ยนไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369 แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ฎีกาในข้อนี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ให้ถูกต้องได้ เพราะเป็นการชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทน (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 2430/2516)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 358/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจองเช่าที่ดินที่ไม่ผูกพันเจ้าของที่ดิน และการคืนเงินค่าก่อสร้างตามส่วนประโยชน์ที่ได้รับ
เจ้าของที่ดินมิได้มอบอำนาจให้ไปขออนุญาตสร้างตึกแถวจำเลยที่ 1 รับจ้างคนอื่น ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน สร้างขึ้น จำเลยที่ 1 เอาตึกแถวไปให้โจทก์เช่าไม่ได้สัญญาจองเช่าตึกแถวระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่ผูกพันเจ้าของที่ดิน จำเลยที่ 1 ต้องคืนเงินช่วยค่าก่อสร้างแก่โจทก์ตามส่วนนอกจากที่โจทก์ได้เข้าอยู่ในตึกแถวมาแล้ว
เอกสารสัญญาที่ตกลงว่าโจทก์ชำระค่าช่วยก่อสร้างแล้วจำเลยจะจัดการให้โจทก์ได้เช่าตึกแถวกับเจ้าของที่ดิน เป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่ง ประมวลรัษฎากร มิได้กำหนดให้ปิดอากรแสตมป์อย่างจ้างทำของรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
เอกสารสัญญาที่ตกลงว่าโจทก์ชำระค่าช่วยก่อสร้างแล้วจำเลยจะจัดการให้โจทก์ได้เช่าตึกแถวกับเจ้าของที่ดิน เป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่ง ประมวลรัษฎากร มิได้กำหนดให้ปิดอากรแสตมป์อย่างจ้างทำของรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 229/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้และการยึดถือโฉนดที่ดิน สิทธิยึดถือสิ้นสุดเมื่อหนี้ขาดอายุความ การยึดถือไม่เข้าข่ายจำนำ
แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยนำสืบว่า โจทก์ได้กู้เงินจำเลยและได้มอบโฉนดที่ดินให้จำเลยยึดถือไว้เป็นประกันการกู้เงิน ตามสัญญากู้มิได้กำหนดวันชำระเงินไว้ สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่จะให้โจทก์ชำระเงินตามสัญญากู้ เริ่มนับตั้งแต่วันกู้เป็นต้นไป และมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 นับตั้งแต่วันกู้เงิน ถึงวันที่โจทก์ฟ้องเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว จำเลยมิได้นำสืบให้เห็นว่าสิทธิเรียกร้องของจำเลยไม่ขาดอายุความเพราะเหตุใด เมื่อหนี้ที่จำเลยอาศัยป็นมูลเหตุยึดถือโฉนดฉบับพิพาทของโจทก์ไว้ขาดอายุความเสียแล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิยึดถือโฉนดไว้เป็นประกันหนี้นั้นต่อไป
การที่โจทก์กู้เงินและมอบโฉนดให้จำเลยยึดถือไว้เป็นประกันเงินกู้ ไม่เข้าลักษณะจำนำ กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 189 จำเลยไม่มีสิทธิยึดหน่วงโฉนดของโจทก์ไว้ต้องคืนให้โจทก์ (วรรคแรกวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 19/2521)
การที่โจทก์กู้เงินและมอบโฉนดให้จำเลยยึดถือไว้เป็นประกันเงินกู้ ไม่เข้าลักษณะจำนำ กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 189 จำเลยไม่มีสิทธิยึดหน่วงโฉนดของโจทก์ไว้ต้องคืนให้โจทก์ (วรรคแรกวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 19/2521)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 229/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้และการยึดถือโฉนดที่ดิน: เมื่อหนี้ขาดอายุความ สิทธิยึดถือโฉนดก็สิ้นสุดลง
แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยนำสืบว่า โจทก์ได้กู้เงินจำเลยและได้มอบโฉนดที่ดินให้จำเลยยึดถือไว้เป็นประกันการกู้เงิน ตามสัญญากู้มิได้กำหนดวันชำระเงินไว้สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่จะให้โจทก์ชำระเงินตามสัญญากู้เริ่มนับตั้งแต่วันกู้เป็นต้นไป และมีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 นับตั้งแต่วันกู้เงินถึงวันที่โจทก์ฟ้องเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้วจำเลยมิได้นำสืบให้เห็นว่าสิทธิเรียกร้องของจำเลยไม่ขาดอายุความเพราะเหตุใด เมื่อหนี้ที่จำเลยอาศัยเป็นมูลเหตุยึดถือโฉนดฉบับพิพาทของโจทก์ไว้ขาดอายุความเสียแล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิยึดถือโฉนดไว้เป็นประกันหนี้นั้นต่อไป
การที่โจทก์กู้เงินและมอบโฉนดให้จำเลยยึดถือไว้เป็นประกันเงินกู้ ไม่เข้าลักษณะจำนำ กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา189 จำเลยไม่มีสิทธิยึดหน่วงโฉนดของโจทก์ไว้ต้องคืนให้โจทก์ (วรรคแรกวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 19/2521)
การที่โจทก์กู้เงินและมอบโฉนดให้จำเลยยึดถือไว้เป็นประกันเงินกู้ ไม่เข้าลักษณะจำนำ กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา189 จำเลยไม่มีสิทธิยึดหน่วงโฉนดของโจทก์ไว้ต้องคืนให้โจทก์ (วรรคแรกวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 19/2521)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2540/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินพิพาท: ผลของสัญญาต่อเจ้าของเดิม และขอบเขตการบังคับใช้สัญญาต่อบุคคลภายนอก
จำเลยที่ 1 ทำสัญญากับจำเลยร่วมให้จำเลยร่วมปลูกอาคารพานิชย์ ตลาดสด อาคารแผงลอยในที่พิพาท เมื่อสร้างเสร็จจำเลยร่วมยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ทันที และจำเลยที่ 1 ยอมให้จำเลยร่วมเช่าอาคารพานิชย์ 15 ปี อาคารแผงลอย 10 ปี ดังนี้ สัญญาระหว่างจะเลยที่ 1 กับจำเลยร่วมเป็นสัญญาต่างตอบแทนอันก่อให้เกิดบุคคลสิทธิต่อกันเท่านั้น เมื่อศาลฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ถึงแม้จำเลยร่วมจะได้ทำสัญญาดังกล่าวกับจำเลยที่ 1 โดยสุจริต ก็ไม่มีผลผูกพันโจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่พิพาท โจทก์จึงไม่ต้องรับโอนไปทั้งสิทธิและหน้าที่ซึ่งจำเลยที่ 1 มีต่อจำเลยร่วม จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามสัญญาออกไปจากที่พิพาทตามคำขอบังคับของโจทก์ แต่ที่โจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยนั้น เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมทำสัญญาดังกล่าว โดยจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมต่างเข้าใจโดยสุจริตว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมจึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จะขอให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่าเดิมที่พิพาทเป็นของวัดโจทก์ ต่อมาปลัดอำเภอได้แจ้ง ส.ล. 1 ว่าเป็นของทางราชการมาก่อนใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน ทางอำเภอเชื่อ จึงออก ส.ค.1 ให้ ต่อมาเมื่อตั้งสุขาภิบาลขึ้นทางอำเภอได้โอนที่ดินพิพาทให้สุขาภิบาลพังโคนจำเลยครอบครอง จึงขอให้ศาลเพิกถอน ส.ค. 1 และนิติกรรมการรับโอนที่พิพาท โอนที่ดินคืนให้โจทก์ ถ้าไม่ยอมโอนคืนให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น ที่โจทก์มีคำขอดังกล่าวก็เพื่อประสงค์ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์นั่นเอง ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ได้ และเมื่อศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แล้วก็ไม่ต้องเพิกถอน ส.ค.1 และไม่ต้องเพิกถอนนิติกรรมรับโอนที่พิพาทกับโอนที่พิพาทคืนให้โจทก์เพราะการแจ้ง ส.ค.1 ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้แจ้งแต่อย่างใด ทั้งที่พิพาทรายนี้เป็นที่ดินมือเปล่าไม่อาจบังคับให้โอนกันทางทะเบียนได้ ที่พิพาทจึงย่อมกลับเป็นของโจทก์ตามเดิมตามคำพิพากษาดังกล่าว
โจทก์ฟ้องว่าเดิมที่พิพาทเป็นของวัดโจทก์ ต่อมาปลัดอำเภอได้แจ้ง ส.ล. 1 ว่าเป็นของทางราชการมาก่อนใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน ทางอำเภอเชื่อ จึงออก ส.ค.1 ให้ ต่อมาเมื่อตั้งสุขาภิบาลขึ้นทางอำเภอได้โอนที่ดินพิพาทให้สุขาภิบาลพังโคนจำเลยครอบครอง จึงขอให้ศาลเพิกถอน ส.ค. 1 และนิติกรรมการรับโอนที่พิพาท โอนที่ดินคืนให้โจทก์ ถ้าไม่ยอมโอนคืนให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น ที่โจทก์มีคำขอดังกล่าวก็เพื่อประสงค์ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์นั่นเอง ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ได้ และเมื่อศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แล้วก็ไม่ต้องเพิกถอน ส.ค.1 และไม่ต้องเพิกถอนนิติกรรมรับโอนที่พิพาทกับโอนที่พิพาทคืนให้โจทก์เพราะการแจ้ง ส.ค.1 ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้แจ้งแต่อย่างใด ทั้งที่พิพาทรายนี้เป็นที่ดินมือเปล่าไม่อาจบังคับให้โอนกันทางทะเบียนได้ ที่พิพาทจึงย่อมกลับเป็นของโจทก์ตามเดิมตามคำพิพากษาดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2540/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดิน: สัญญาซื้อขายที่ไม่ผูกพันเจ้าของเดิม, การครอบครองปรปักษ์, และการเพิกถอน ส.ค.1
จำเลยที่ 1 ทำสัญญากับจำเลยร่วมให้จำเลยร่วมปลูกอาคารพานิชย์ตลาดสดอาคารแผงลอยในที่พิพาท เมื่อสร้างเสร็จจำเลยร่วมยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ทันที และจำเลยที่ 1 ยอมให้จำเลยร่วมเช่าอาคารพานิชย์ 15 ปีอาคารแผงลอย 10 ปี ดังนี้ สัญญาระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยร่วมเป็นสัญญาต่างตอบแทนอันก่อให้เกิดบุคคลสิทธิต่อกันเท่านั้น เมื่อศาลฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ถึงแม้จำเลยร่วมจะได้ทำสัญญาดังกล่าวกับจำเลยที่ 1 โดยสุจริต ก็ไม่มีผลผูกพันโจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่พิพาทโจทก์จึงไม่ต้องรับโอนไปทั้งสิทธิและหน้าที่ซึ่งจำเลยที่ 1 มีต่อจำเลยร่วม จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามสัญญาออกไปจากที่พิพาทตามคำขอบังคับของโจทก์ แต่ที่โจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยนั้น เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมทำสัญญาดังกล่าว โดยจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมต่างเข้าใจโดยสุจริตว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมจึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์โจทก์จะขอให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่าเดิมที่พิพาทเป็นของวัดโจทก์ ต่อมาปลัดอำเภอได้แจ้ง ส.ค.1 ว่าเป็นของทางราชการมาก่อนใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน ทางอำเภอเชื่อ จึงออก ส.ค.1 ให้ ต่อมาเมื่อตั้งสุขาภิบาลขึ้นทางอำเภอได้โอนที่ดินพิพาทให้สุขาภิบาลพังโคนจำเลยครอบครอง จึงขอให้ศาลเพิกถอน ส.ค.1 และนิติกรรมการรับโอนที่พิพาท โอนที่ดินคืนให้โจทก์ ถ้าไม่ยอมโอนคืนให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น ที่โจทก์มีคำขอดังกล่าวก็เพื่อประสงค์ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์นั่นเอง ศาลจึงพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ได้ และเมื่อศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แล้วก็ไม่จำต้องเพิกถอน ส.ค.1 และไม่ต้องเพิกถอนนิติกรรมรับโอนที่พิพาทกับโอนที่พิพาทคืนให้โจทก์เพราะการแจ้ง ส.ค.1 ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้แจ้งแต่อย่างใด ทั้งที่พิพาทรายนี้เป็นที่ดินมือเปล่าไม่อาจบังคับให้โอนกันทางทะเบียนได้ ที่พิพาทจึงย่อมกลับเป็นของโจทก์ตามเดิมตามคำพิพากษาดังกล่าว
โจทก์ฟ้องว่าเดิมที่พิพาทเป็นของวัดโจทก์ ต่อมาปลัดอำเภอได้แจ้ง ส.ค.1 ว่าเป็นของทางราชการมาก่อนใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน ทางอำเภอเชื่อ จึงออก ส.ค.1 ให้ ต่อมาเมื่อตั้งสุขาภิบาลขึ้นทางอำเภอได้โอนที่ดินพิพาทให้สุขาภิบาลพังโคนจำเลยครอบครอง จึงขอให้ศาลเพิกถอน ส.ค.1 และนิติกรรมการรับโอนที่พิพาท โอนที่ดินคืนให้โจทก์ ถ้าไม่ยอมโอนคืนให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น ที่โจทก์มีคำขอดังกล่าวก็เพื่อประสงค์ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์นั่นเอง ศาลจึงพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ได้ และเมื่อศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แล้วก็ไม่จำต้องเพิกถอน ส.ค.1 และไม่ต้องเพิกถอนนิติกรรมรับโอนที่พิพาทกับโอนที่พิพาทคืนให้โจทก์เพราะการแจ้ง ส.ค.1 ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้แจ้งแต่อย่างใด ทั้งที่พิพาทรายนี้เป็นที่ดินมือเปล่าไม่อาจบังคับให้โอนกันทางทะเบียนได้ ที่พิพาทจึงย่อมกลับเป็นของโจทก์ตามเดิมตามคำพิพากษาดังกล่าว