พบผลลัพธ์ทั้งหมด 761 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5987/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เปลี่ยนแปลงกฎหมายระหว่างการพิจารณาคดี: ผลกระทบต่อความผิดและโทษทางอาญา
จำเลยขับรถบรรทุกเสพเมทแอมเฟตามีน โจทก์ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพระราชบัญญัติจราจรทางบก และพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกต่อมามีประกาศกระทรวงสาธารณสุขให้เมทแอมเฟตามีนเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก ศาลต้องยกฟ้องข้อหานี้และให้ยกคำขอพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ เสพเมทแอมเฟตามีนขับรถบรรทุกเป็นภัยร้ายแรงไม่รอการลงโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5987/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงกฎหมายยาเสพติดกระทบต่อความผิดฐานขับรถภายใต้อิทธิพลยาเสพติด
จำเลยขับรถบรรทุกเสพเมทแอมเฟตามีน โจทก์ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ร.บ.จราจรทางบก และ พ.ร.บ.การขนส่งทางบก ต่อมามีประกาศกระทรวงสาธารณสุขให้เมทแอมเฟตามีนเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก ศาลต้องยกฟ้องข้อหานี้ และให้ยกคำขอพักใช้ใบอนุญาตขับขี่
เสพเมทแอมเฟตามีนขับรถบรรทุกเป็นภัยร้ายแรง ไม่รอการลงโทษ
เสพเมทแอมเฟตามีนขับรถบรรทุกเป็นภัยร้ายแรง ไม่รอการลงโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4282/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษคดีบุกรุกป่าสงวน: ศาลฎีกาแก้ไขโทษต่ำกว่าขั้นต่ำและให้รอการลงโทษโดยพิจารณาพฤติการณ์
จำเลยกระทำความผิดฐานบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง และแผ้วถางป่าสงวนแห่งชาติ เนื้อที่ประมาณ 12 ไร่ อันเป็นการกระทำให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ต้นน้ำลำธาร เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 ประกอบด้วยมาตรา 31วรรคสอง (3) ซึ่งมาตรา 31 วรรคสอง กำหนดให้ระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบห้าปีการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี จึงเป็นการลงโทษต่ำกว่าโทษขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด แต่เมื่อจำเลยครอบครองที่ดินป่าสงวนและปลูกบ้านอยู่อาศัยมานานแล้ว และปลูกต้นไม้และผลอาสินทำมาหากินซึ่งโจทก์มิได้คัดค้านว่าไม่เป็นความจริง ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำความผิดมาก่อนเห็นควรให้โอกาสจำเลยได้แก้ไขฟื้นฟูตนเองในสังคมภายนอก การรอการลงโทษและคุมความประพฤติจำเลยน่าจะเป็นมาตรการที่เหมาะสมมากกว่า แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาขอให้รอการลงโทษแต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าศาลล่างลงโทษจำเลยไม่เหมาะสมก็ย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และ 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2891/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับเนื่องจากศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องตามกฎหมายศาลแขวง
ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงมีคำสั่งให้งดไต่สวนมูลฟ้องและวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158(5)พิพากษายกฟ้องโจทก์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมายแม้คดีนี้จะเป็นการพิจารณาชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็ตามคดีก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ.2499มาตรา4ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2891/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีในศาลแขวง: คำสั่งยกฟ้องและข้อจำกัดในการอุทธรณ์ฎีกา
ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงมีคำสั่งให้งดไต่สวนมูลฟ้องและวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมายแม้คดีนี้จะเป็นการพิจารณาชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็ตามคดีก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499มาตรา 4 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2891/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษายกฟ้องศาลชั้นต้นและอุทธรณ์: กรณีห้ามฎีกาตาม พ.ร.บ.ศาลแขวง
ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงมีคำสั่งให้งดไต่สวนมูลฟ้องและวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 158 (5) พิพากษายกฟ้องโจทก์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมายแม้คดีนี้จะเป็นการพิจารณาชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็ตาม คดีก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499มาตรา 4 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2879/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากเด็กเพื่ออนาจาร, การรับสารภาพ, และการพิจารณาโทษเมื่อมีการสมรส
บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา176ที่ว่าถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องให้ศาลพิพากษาไปได้โดยไม่ต้องสืบพยานนั้นมิได้หมายความว่าเมื่อจำเลยรับสารภาพแล้วจะต้องพิพากษาลงโทษจำเลยเสมอไปถ้าศาลเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดหรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดศาลย่อมพิพากษายกฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา185โดยเฉพาะข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา317วรรคสามกำหนดอัตราโทษขั้นต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่5ปีขึ้นไปศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงจึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้คดีนี้ศาลชั้นต้นสืบพยานประกอบคำรับสารภาพของจำเลยแล้วจึงพิพากษาคดีเมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจนเป็นที่น่าพอใจว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา317วรรคสามดังนี้จำเลยจึงมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานของโจทก์ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดการที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ พฤติการณ์ที่ผู้เสียหายขอให้จำเลยพากลับบ้านโดยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยออกไปแต่จำเลยไม่พาผู้เสียหายกลับบ้านแต่พาไปที่บ้านเพื่อนจำเลยที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมผู้เสียหายพักอยู่ที่บ้านดังกล่าวหลายวันและจำเลยได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายหลายครั้งแสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายเต็มใจไปกับจำเลยหากผู้เสียหายไม่เต็มใจไปกับจำเลยผู้เสียหายก็มีโอกาสจะขอความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นได้เพราะก่อนที่จำเลยจะพาผู้เสียหายไปที่อำเภอสามพรานจำเลยยังแวะบ้านเพื่อนจำเลยที่หนองแขมก่อนและปรากฎว่าบ้านที่อำเภอสามพรานที่ผู้เสียหายพักอยู่กับจำเลยนั้นมีคนอื่นอยู่ร่วมด้วยผู้เสียหายก็มิได้ขอความช่วยเหลือแต่เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าขณะที่จำเลยพาผู้เสียหายไปนั้นจำเลยมีความประสงค์จะอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้เสียหายดังนั้นการที่จำเลยพาผู้เสียหายซึ่งมีอายุ14ปีเศษจากกรุงเทพมหานครไปอำเภอสามพราน และได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายถือได้ว่าเป็นการพรากเด็กอายุไม่เกิน15ปีไปเสียจากบิดามารดาหรือผู้ปกครองเพื่อการอนาจารโดยปราศจากเหตุอันสมควรจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา317วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1845/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดโทษและการพิจารณาเลื่อนโทษในคดีอาญา พฤติการณ์ร้ายแรงกระทบต่อการรอการลงโทษ
จำเลยให้การรับสารภาพศาลชั้นต้นบันทึกคำพิพากษาไว้ในแบบบันทึกคำฟ้องคำรับสารภาพคำพิพากษาซึ่งเป็นแบบพิมพ์คำฟ้องด้วยวาจาว่า"จำเลยผิดตามฟ้องรับลดกึ่งหนึ่งแล้วลงโทษจำคุก6เดือน"จึงชัดแจ้งแล้วว่าเมื่อศาลลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งแล้วคงลงโทษจำเลย6เดือน จำเลยใช้อาวุธมีดขนาดใหญ่ใบมีดยาว19เซนติเมตรกว้าง5เซนติเมตรด้ามมีดยาว53.5เซนติเมตรฟันบริเวณศีรษะอันเป็นอวัยวะส่วนสำคัญของผู้เสียหายมีบาดแผลยาว8.10เซนติเมตรเมื่อผู้เสียหายล้มจำเลยยังฟันซ้ำอีกแต่ด้ามมีดถูกแขนผู้เสียหายพฤติการณ์แห่งคดีร้ายแรงจึงไม่รอการลงโทษให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 879/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้าราชการครูค้ายาเสพติดรายใหญ่ ศาลยืนโทษจำคุก 25 ปี พิจารณาความร้ายแรงของพฤติกรรมและบทบาทหน้าที่
จำเลยที่3กับพวกถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับพร้อมเมทแอมเฟตามีน80,000เม็ดนับว่าของกลางมีจำนวนมากถือได้ว่าเป็นผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่จำเลยที่3รับราชการครูซึ่งสังคมถือว่าเป็นปูชนียบุคคลจึงสมควรประพฤติตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็กและเยาวชนแต่จำเลยที่3กลับกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดซึ่งเป็นภัยร้ายแรงต่อสังคมโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนเสียเองศาลกำหนดโทษจำคุกจำเลยที่3มีกำหนด50ปีตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518มาตรา89ประกอบพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพ.ศ.2534มาตรา10,12ซึ่งเป็นบทลงโทษข้าราชการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นแต่ให้กำหนดโทษจำคุกอย่างสูงได้ไม่เกิน50ปีแล้วลดโทษให้จำเลยที่3กึ่งหนึ่งคงจำคุก25ปีเหมาะสมแก่ความผิดแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 363/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากพฤติการณ์ใช้มีดแทงและการให้การรับสารภาพบ่งชี้ถึงความตั้งใจ
ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การถึงความรู้สึกของจิตใจอารมณ์ของตนเองว่าเมื่อแทงผู้เสียหายที่1ตายแล้วก็จะฆ่าตัวตายเพื่อหนีความวุ่นวายซึ่งพนักงานสอบสวนตั้งข้อหาพยายามฆ่าตามที่จำเลยให้การไว้ไม่ได้ตั้งข้อหาโดยสรุปเอาเองจึงเป็นการที่จำเลยลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงาน การที่จำเลยใช้ไขควงที่ฝนจนแหลมเป็นอาวุธแทงไปที่ร่างกายผู้เสียหายที่1เพื่อให้ผิวหนังทะลุอันเป็นการเล็งเห็นผลว่าถึงตายได้แสดงให้เห็นถึงลักษณะจิตใจที่ไม่คำนึงถึงชีวิตผู้อื่นผู้เสียหายที่1เป็นเพศที่อ่อนแอว่าไม่ได้เป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนและไม่มีทางที่จะต่อสู้ชนะได้จำเลยไม่มีความจำเป็นต้องใช้อาวุธประทุษร้ายผู้หญิงการใช้อาวุธที่ไม่ได้ป้องกันตัวเองย่อมมุ่งต่อผลคือชีวิตทั้งอายุของจำเลยในขณะที่กระทำความผิดนั้นสามารถรู้ผิดชอบและบังคับตนเองได้ไม่ได้มีจิตใจบกพร่องจำเลยสร้างภยันตรายให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตนเองมิใช่เกิดจากความตื่นเต้นความตกใจหรือความกลัวอันจะทำให้เห็นว่าจำเลยมีเพียงเจตนาทำร้ายตามที่ฎีกาจำเลยจะแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาฆ่าหาได้ไม่