คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 185

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 761 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3297/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีอาญาต้องอาศัยพยานหลักฐานชัดเจน แม้จำเลยรับสารภาพ หากสืบแล้วไม่ปรากฏความผิด ศาลต้องยกฟ้อง
แม้ความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนตาม พ.ร.บ. อาวุธปืน ฯ พ.ศ. 2490 ซึ่งจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การรับสารภาพ ศาลสามารถพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองได้โดยไม่ต้องสืบพยานหลักฐานประกอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา มาตรา 176 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์สืบพยานหลักฐานประกอบคำรับสารภาพในข้อหาปล้นทรัพย์แล้วปรากฏข้อเท็จริงว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำผิดฐานมีและพาอาวุธปืนตามฟ้อง ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 ใช้อาวุธปืนในการปล้นทรัพย์และยิงผู้เสียหาย แต่โจทก์มิได้อาวุธปืนดังกล่าวมาเป็นของกลาง และโจทก์มิได้นำสืบให้ได้ความว่าอาวุธปืนดังกล่าวเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ทั้งมิได้นำสืบว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้รับอนุญาตให้มีและพาอาวุธปืน จึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 3 ในข้อหาทั้งสองได้ โจทก์จะอ้างว่าจำเลยที่ 3 มิได้พิสูจน์ความจริงว่า จำเลยที่ 3 เคยมีใบอนุญาตให้มีและพาอาวุธปืนติดตัว แสดงว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้รับอนุญาตให้มีและพาอาวุธปืนอันเป็นการผลักภาระหน้าที่นำสืบของโจทก์ไปให้จำเลยโดยไม่มีกฎหมายสนับสนุนหาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2535/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่การนำสืบพยานหลักฐานของโจทก์ในคดีอาญา และการปรับบทความผิดตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การปฏิเสธ โจทก์จึงต้องมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความตามฟ้อง เมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้ได้ความว่าอาวุธปืนสั้นกระบอกที่จำเลยใช้ทำการชิงทรัพย์ผู้เสียหายเป็นอาวุธปืนที่จำเลยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมาย และจำเลยมิได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ทั้งมิได้นำอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวมาเป็นหลักฐาน แม้จำเลยจะมิได้นำสืบปฏิเสธว่า อาวุธปืนกระบอกดังกล่าวจำเลยได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนแล้วและจำเลยได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดสองฐานนี้ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ได้ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาเพียงว่า จำเลยมีความผิดฐานพาอาวุธปืนไปตามทางสาธารณะโดยไม่มีใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 8 ทวิ,72 ทวิ ซึ่งแก้ไขใหม่แล้วเพียงบทเดียวโดยมิได้ปรับบทความผิดว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371อีกบทหนึ่งจึงเท่ากับยกฟ้องมาตรานี้ การที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 อีกบทหนึ่งให้ถูกต้องข้อหาตามมาตราดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จะฎีกาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 มิได้ เพราะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาโจทก์ข้อนี้ให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1689/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องแม้ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย หากข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิด
เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้มีดแทงผู้เสียหาย แม้ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในความผิดฐานพาอาวุธติดตัวไปในทางสาธารณะและจำเลยไม่ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานพาอาวุธติดตัวไปในทางสาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1689/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลฎีกาพิจารณาความผิดอื่น แม้จำเลยไม่ฎีกา หากพยานหลักฐานไม่เพียงพอพิสูจน์ความผิด
เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้มีดแทงผู้เสียหายแม้ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในความผิดฐานพาอาวุธติดตัวไปในทางสาธารณะและจำเลยไม่ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานพาอาวุธติดตัวไปในทางสาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1689/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องแม้ไม่ฎีกา หากข้อเท็จจริงฟังว่าจำเลยไม่ใช่ผู้กระทำผิด
เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้มีดแทงผู้เสียหาย แม้ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในความผิดฐานพาอาวุธติดตัวไปในทางสาธารณะและจำเลยไม่ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานพาอาวุธติดตัวไปในทางสาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1626/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายข้าวเปลือกผิดนัดชำระราคา: ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง แต่เป็นผิดสัญญาทางแพ่ง
ผู้เสียหายตกลงขายข้าวเปลือกจำนวนมากแก่จำเลยโดยยินยอมให้จำเลยนำข้าวเปลือกที่ตกลงซื้อขายกันนั้นไปก่อน แล้วมีข้อสัญญาว่าจำเลยจะชำระราคาให้ภายหลังตามวันที่กำหนดไว้ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาในการซื้อขายกัน เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระราคาให้ตามวันที่ให้สัญญา จึงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต ก็เป็นเรื่องที่บรรยายเพื่อให้ครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง ไม่ทำให้คดีผิดสัญญาทางแพ่งกลับกลายเป็นคดีอาญา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1626/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายข้าวเปลือกผิดนัดชำระราคา ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง หากเป็นการผิดสัญญาทางแพ่ง
ผู้เสียหายตกลงขายข้าวเปลือกจำนวนมากแก่จำเลยโดยยินยอม ให้จำเลยนำข้าวเปลือกที่ตกลงซื้อขายกันนั้นไปก่อน แล้วมีข้อสัญญาว่าจำเลยจะชำระราคาให้ภายหลังตามวันที่กำหนดไว้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาในการซื้อขายกัน เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระราคาให้ตามวันที่ให้สัญญาจึงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต ก็เป็นเรื่องที่บรรยายเพื่อให้ครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงไม่ทำให้คดีผิดสัญญาทางแพ่งกลับกลายเป็นคดีอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 975/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเท็จและหมิ่นประมาทจากคำบรรยายฟ้อง: การอธิบายความหมายถ้อยคำไม่ถือเป็นยืนยันข้อเท็จจริง
จำเลยซึ่งเป็นพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ในข้อหาดูหมิ่น หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ฯ โดยบรรยายฟ้องเป็นสองตอน คือตอนแรกเป็นข้อความที่อ้างว่าโจทก์เป็นผู้กล่าวซึ่งได้ระบุไว้ในเครื่องหมายอัญประกาศ ส่วนตอนหลังมีใจความเป็นการแปลหรืออธิบายความหมายของข้อความในตอนแรก ดังนี้ เมื่อพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ประกอบด้วยแล้ว แสดงว่าข้อความที่พนักงานอัยการระบุไว้ในเครื่องหมายอัญประกาศ คือ 'ถ้อยคำพูด' ที่พนักงานอัยการต้องกล่าวไว้ในฟ้องตามบทกฎหมายดังกล่าว และข้อความตอนหลังเป็นการอธิบายความหมายเท่านั้น เมื่อข้อความที่โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยบรรยายฟ้องอันเป็นความเท็จเป็นส่วนหนึ่งของคำบรรยายฟ้องในตอนหลังและมีลักษณะเป็นการอธิบายความหมายด้วยเช่นกัน จึงเห็นได้ว่าข้อความที่โจทก์อ้างว่าเป็นเท็จนั้นพนักงานอัยการมีความประสงค์จะอธิบายความหมายของถ้อยคำพูดของโจทก์เท่านั้น แม้จะใช้ถ้อยคำผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปบ้าง กรณีก็ไม่อาจถือได้ว่าพนักงานอัยการยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฟ้องเท็จ ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200 และจำเลยย่อมไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทโจทก์แต่อย่างใด กับไม่มีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 975/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเท็จและหมิ่นประมาทจากคำบรรยายฟ้อง: การตีความถ้อยคำและเจตนาของพนักงานอัยการ
จำเลยซึ่งเป็นพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ในข้อหาดูหมิ่นหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ โดยบรรยายฟ้องเป็นสองตอน คือตอนแรกเป็นข้อความที่อ้างว่าโจทก์เป็นผู้กล่าวซึ่งได้ระบุไว้ในเครื่องหมายอัญประกาศ ส่วนตอนหลังมีใจความเป็นการแปลหรืออธิบายความหมายของข้อความในตอนแรก ดังนี้ เมื่อพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ประกอบด้วยแล้ว แสดงว่าข้อความที่พนักงานอัยการระบุไว้ในเครื่องหมายอัญประกาศ คือ 'ถ้อยคำพูด' ที่พนักงานอัยการต้องกล่าวไว้ในฟ้องตามบทกฎหมายดังกล่าว และข้อความตอนหลังเป็นการอธิบายความหมายเท่านั้น เมื่อข้อความที่โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยบรรยายฟ้องอันเป็นความเท็จเป็นส่วนหนึ่งของคำบรรยายฟ้องในตอนหลังและมีลักษณะเป็นการอธิบายความหมายด้วยเช่นกัน จึงเห็นได้ว่าข้อความที่โจทก์อ้างว่าเป็นเท็จนั้นพนักงานอัยการมีความประสงค์จะอธิบายความหมายของถ้อยคำพูดของโจทก์เท่านั้น แม้จะใช้ถ้อยคำผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปบ้าง กรณีก็ไม่อาจถือได้ว่าพนักงานอัยการยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฟ้องเท็จ ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200 และจำเลยย่อมไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทโจทก์แต่อย่างใด กับไม่มีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 973/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำไม่เข้าข่ายฉ้อโกงและทำลายเอกสาร เนื่องจากความยินยอมเริ่มแรกและเอกสารเป็นของผู้กระทำ
โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 กู้เงินมาตั้งแต่แรก การที่จำเลยที่ 1 ให้คำรับรองว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 จะเปลี่ยน น.ส.3 ให้โจทก์และจะค้ำประกันการกู้ยืมเงินของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุการณ์ในภายหน้าที่จำเลยที่ 1 รับจะดำเนินการดังกล่าวให้ หากโจทก์ไม่พอใจในหลักประกัน แม้ต่อมาจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่เปลี่ยนน.ส.3 และไม่ยอมค้ำประกันจำเลยที่ 1 ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่1 ไม่ปฏิบัติตามคำรับรองที่ให้ไว้แก่โจทก์เท่านั้น จำเลยที่1 ไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188 จะต้องเป็นการทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ซึ่งพินัยกรรมหรือเอกสารใดของผู้อื่น โจทก์บรรยายฟ้องว่า น.ส.3ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 เอาไปจากโจทก์ เป็นของจำเลยที่ 2 และที่3 เองจึงมิใช่เป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่เป็นความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว.
of 77