คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 185

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 761 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 364/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานในคดีหมิ่นประมาท ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาที่อ้างพยานหลักฐานไม่ครบถ้วนและประเด็นที่ไม่ได้ยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์
ฎีกาของจำเลยที่ว่าในการวินิจฉัยคดีนั้นศาลล่างทั้งสองหยิบยกพยานหลักฐานของจำเลยขึ้นมาพิจารณาแต่เพียงบางส่วนจึงเห็นว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ร่วมถ้าพิจารณาให้ครบถ้วนแล้วจะเห็นได้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดการวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา227นั้นเป็นฎีกาโต้แย้งการรับฟังพยานหลักฐานของศาลโดยการโต้เถียงข้อเท็จจริงจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นมากล่าวอ้างนั้นเป็นข้อเท็จจริงนอกเหนือจากที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องและที่จำเลยให้การรับซึ่งฟังเป็นยุติแล้วศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้ไม่ได้. เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อความที่จำเลยลงโฆษณานั้นเป็นข้อความที่หมิ่นประมาทโจทก์ร่วมแล้วจึงไม่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิที่จะนำข้อความหมิ่นประมาทนั้นไปลงประกาศในหนังสือพิมพ์หรือไม่เพราะจำเลยไม่มีสิทธิที่จะกระทำการอันเป็นความผิดต่อกฎหมายได้ที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่าจำเลยมีสิทธิลงประกาศในหนังสือพิมพ์หรือไม่ไม่ได้ทำให้การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 364/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานในคดีหมิ่นประมาท ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาที่ขัดแย้งข้อเท็จจริงที่ฟังยุติแล้ว
ฎีกาของจำเลยที่ว่า ในการวินิจฉัยคดีนั้น ศาลล่างทั้งสองหยิบยกพยานหลักฐานของจำเลยขึ้นมาพิจารณาแต่เพียงบางส่วน จึงเห็นว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ร่วม ถ้าพิจารณาให้ครบถ้วนแล้ว จะเห็นได้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด การวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 นั้น เป็นฎีกาโต้แย้งการรับฟังพยานหลักฐานของศาลโดยการโต้เถียงข้อเท็จจริง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นมากล่าวอ้างนั้น เป็นข้อเท็จจริงนอกเหนือจากที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องและที่จำเลยให้การรับซึ่งฟังเป็นยุติแล้ว ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้ไม่ได้
เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อความที่จำเลยลงโฆษณานั้นเป็นข้อความที่หมิ่นประมาทโจทก์ร่วมแล้ว จึงไม่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิที่จะนำข้อความหมิ่นประมาทนั้นไปลงประกาศในหนังสือพิมพ์หรือไม่เพราะจำเลยไม่มีสิทธิที่จะกระทำการอันเป็นความผิดต่อกฎหมายได้ ที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่า จำเลยมีสิทธิลงประกาศในหนังสือพิมพ์หรือไม่ไม่ได้ทำให้การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4374/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ไม่ชอบ, คดีถึงที่สุด, พยานหลักฐานไม่พอฟัง, การพิพากษาเฉพาะตัว
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษแล้วยื่นอุทธรณ์ย่อโดยมิได้ระบุข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จำเลยประสงค์จะยกขึ้นอ้างอิงในชั้นอุทธรณ์แต่อย่างใด ทั้งมิได้กล่าวอ้างว่าศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนี้ไม่ถูกต้องในข้อใดอย่างไร กลับมีเนื้อความทำนองขอยืดเวลาอุทธรณ์ อุทธรณ์เช่นนี้ไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193วรรคสอง แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับเป็นอุทธรณ์ ก็ไม่ทำให้เป็นอุทธรณ์โดยชอบได้ ถือว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ คดีสำหรับจำเลยดังกล่าวถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยถึงอีก
การที่พยานหลักฐานโจทก์เพียงพอจะรับฟังลงโทษจำเลยคนใดที่ร่วมกันกระทำความผิดได้หรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยแต่ละคนเป็นการเฉพาะตัวเป็นรายๆ ไป จำเลยหลายคนที่ต้องหาว่าร่วมกระทำผิดอยู่ด้วยกันโดยตลอดนั้นพยานหลักฐานของโจทก์อาจพาดพิงถึงมากน้อยผิดกันได้ ที่มีน้ำหนักพอก็ลงโทษไปที่เบาบางก็ต้องปล่อยตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากทางนำสืบเป็นรายตัว โดยเฉพาะคดีนี้ จำเลยที่ 4 ต้องหาในการกระทำความผิดเป็นคนละตอนกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3เหตุที่ศาลอุทธรณ์ไม่ลงโทษจำเลยที่ 4 เพราะพยานหลักฐานมีน้ำหนักไม่พอจึงไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และไม่ใช่เหตุในส่วนลักษณะคดี ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ศาลอุทธรณ์ยกเหตุนี้ขึ้นพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4149/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้าย vs. เจตนาฆ่า: การปรับบทความผิดจากฆ่าผู้อื่นเป็นทำร้ายร่างกาย และการแก้ไขโทษ
ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่มีเจตนาฆ่า เพียงแต่เจตนาทำร้ายเป็นผลให้ผู้ตายได้รับอันตรายแก่กายเท่านั้นและลักษณะบาดแผลที่เกิดจากการทำร้ายของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่อาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ดังศาลชั้นต้นวินิจฉัย จำเลยที่1 และที่ 3 คงมีความผิดตามมาตรา 295 เท่านั้น แม้จำเลยที่ 1 และที่ 3 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษและวางอัตราโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3ไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจแก้ไขปรับบทและวางอัตราโทษเสียใหม่ให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2168/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษายกฟ้องในคดีอาญา: จำเป็นพอสมควรแก่เหตุและการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดด้วยความจำเป็นพอสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67 ซึ่งไม่ต้องรับโทษ. ชอบที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185. แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษและให้คุมประพฤติจำเลย. ก็มีผลเท่ากับพิพากษายกฟ้อง. และเป็นการยกฟ้องในข้อเท็จจริง. เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยมิได้กระทำผิดพิพากษายกฟ้อง. กรณีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2168/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษายกฟ้องจากเหตุจำเป็นและผลของการกลับคำพิพากษาโดยศาลอุทธรณ์ ห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดด้วยความจำเป็นพอสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67 ซึ่งไม่ต้องรับโทษ ชอบที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185. แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษและให้คุมประพฤติจำเลย ก็มีผลเท่ากับพิพากษายกฟ้อง และเป็นการยกฟ้องในข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยมิได้กระทำผิดพิพากษายกฟ้อง กรณีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1961/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวโดยชอบธรรม การพกพาอาวุธปืนที่ได้รับอนุญาต และอำนาจยกฟ้องของศาลฎีกา
การวิวาทหมายถึงการสมัครใจเข้าต่อสู้ทำร้ายกันคำพูดของจำเลย ที่ว่าการย้ายตำรวจต้องมีขั้นตอนต้องมีคณะกรรมการอย่าไปเชื่อให้มากนัก เป็นเพียงการแสดงความเห็นในการสนทนาเท่านั้น มิได้มีข้อความใด ที่เป็นการท้าทายให้ผู้ตายหรือผู้เสียหายออกมาต่อสู้ทำร้ายกับจำเลย เพียงแค่นี้จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุวิวาทมิได้
จำเลยถูกตีที่ทัดดอกไม้ด้านขวาจนร่วงตกจากเก้าอี้เข่าทรุดลงกับพื้น ผู้ตายเข้าล็อกคอและดึงคอเสื้อจำเลยไว้พร้อมกับพูดว่าเอาให้ตาย และมีคนอีกกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามาจะรุมทำร้ายจำเลยจำเลยสะบัดหลุด แล้วชักปืนออกมาขู่ โดยหันปากกระบอกปืนขึ้นฟ้าพร้อมกับตะโกนว่าอย่าเข้ามาทันใดนั้นมีคนเข้ามาตะปบปืนในมือจำเลยเพื่อจะแย่งปืน ปืนลั่นขึ้น 1 นัด กระสุนถูกผู้ตายล้มลงถึงแก่ความตายจำเลยวิ่งหนี แต่คนกลุ่มนั้นวิ่งไล่ตามจะทำร้ายจำเลย จำเลยยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าอีก 1 นัด แล้ววิ่งไปได้หน่อยหนึ่งก็หมดสติล้มลงกระสุนปืนนัดที่สองพลาดไป ถูกผู้เสียหายบาดเจ็บสาหัส ดังนี้ฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าหรือพยายามฆ่า จำเลยจึงไม่มีความผิดและจะถือว่าจำเลยกระทำให้ผู้อื่นตายโดยประมาท หรือรับอันตรายสาหัสโดยประมาทมิได้
เมื่อปรากฏว่าจำเลยมีใบอนุญาตพกอาวุธปืนของกรมตำรวจซึ่งจำเลย มีสิทธิพกอาวุธปืนได้ทั่วราชอาณาจักรเพื่อปฏิบัติราชการสืบสวน กรณีของจำเลยจึงไม่อยู่ในบังคับแห่ง มาตรา 8 ทวิ และจำเลย ย่อมไม่มีความผิดตาม มาตรา 72 ทวิ แห่ง พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ เมื่อปรากฏแก่ศาลฎีกาว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1961/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัว การใช้กำลังเกินสมควร และการยกฟ้องอาญาเมื่อไม่มีความผิดตามกฎหมายอาวุธปืน
การวิวาทหมายถึงการสมัครใจเข้าต่อสู้ทำร้ายกันคำพูดของจำเลยที่ว่าการย้ายตำรวจต้องมีขั้นตอนต้องมีคณะกรรมการอย่าไปเชื่อให้มากนักเป็นเพียงการแสดงความเห็นในการสนทนาเท่านั้น มิได้มีข้อความใดที่เป็นการท้าทายให้ผู้ตายหรือผู้เสียหายออกมาต่อสู้ทำร้ายกับจำเลยเพียงแค่นี้จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุวิวาทมิได้ จำเลยถูกตีที่ทัดดอกไม้ด้านขวาจนร่วงตกจากเก้าอี้เข่าทรุดลงกับพื้น ผู้ตายเข้าล็อกคอและดึงคอเสื้อจำเลยไว้พร้อมกับพูดว่าเอาให้ตายและมีคนอีกกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามาจะรุมทำร้ายจำเลยจำเลยสะบัดหลุดแล้วชักปืนออกมาขู่ โดยหันปากกระบอกปืนขึ้นฟ้าพร้อมกับตะโกนว่าอย่าเข้ามาทันใดนั้นมีคนเข้ามาตะปบปืนในมือจำเลยเพื่อจะแย่งปืนปืนลั่นขึ้น 1 นัด กระสุนถูกผู้ตายล้มลงถึงแก่ความตายจำเลยวิ่งหนีแต่คนกลุ่มนั้นวิ่งไล่ตามจะ ทำร้ายจำเลย จำเลยยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าอีก 1นัดแล้ววิ่งไปได้หน่อยหนึ่งก็หมดสติล้มลงกระสุนปืนนัดที่สองพลาดไปถูกผู้เสียหายบาดเจ็บสาหัส ดังนี้ฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าหรือพยายามฆ่าจำเลยจึงไม่มีความผิดและจะถือว่าจำเลยกระทำให้ผู้อื่นตายโดยประมาทหรือรับอันตรายสาหัสโดยประมาทมิได้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยมีใบอนุญาตพกอาวุธปืนของกรมตำรวจซึ่งจำเลยมีสิทธิพกอาวุธปืนได้ทั่วราชอาณาจักรเพื่อปฏิบัติราชการสืบสวน กรณีของจำเลยจึงไม่อยู่ในบังคับแห่ง มาตรา 8ทวิ และจำเลยย่อมไม่มีความผิดตาม มาตรา 72ทวิ แห่ง พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯเมื่อปรากฏแก่ศาลฎีกาว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกฟ้องคดีอาญาเนื่องจากขาดนัด และสิทธิในการขอให้พิจารณาคดีใหม่ หากมีเหตุผลสมควร
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ไม่มาศาลศาลชอบที่จะยกฟ้องเพราะโจทก์ไม่มาตามกำหนดนัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 166 และมาตรา 181 ซึ่งโจทก์มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้ภายใน 15 วัน แม้ศาลชั้นต้นจะยกฟ้องโดยถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ ก็ไม่เป็นการตัดสิทธิดังกล่าวของโจทก์
เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่โดยอ้างว่าโจทก์เข้าใจวันนัดสืบพยานโจทก์คลาดเคลื่อนผิดวันไป หากเป็นความจริงก็พอถือได้ว่ามีเหตุผลสมควรที่จะยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนคำร้องของโจทก์แล้วมีคำสั่งในเรื่องนี้ต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการขอให้พิจารณาคดีใหม่ แม้ศาลจะยกฟ้องด้วยเหตุโจทก์ไม่มาศาลตามนัด
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ไม่มาศาลศาลชอบที่จะยกฟ้องเพราะโจทก์ไม่มาตามกำหนดนัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 166 และมาตรา 181 ซึ่งโจทก์มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้น พิจารณาใหม่ได้ภายใน 15 วันแม้ศาลชั้นต้นจะยกฟ้องโดยถือว่าโจทก์ ไม่มีพยานมาสืบ ก็ไม่เป็นการตัดสิทธิดังกล่าวของโจทก์
เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่โดยอ้างว่าโจทก์เข้าใจวันนัดสืบพยานโจทก์คลาดเคลื่อนผิดวันไปหากเป็นความจริง ก็พอถือได้ว่ามีเหตุผลสมควรที่จะยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้น ชอบที่จะไต่สวนคำร้องของโจทก์แล้วมีคำสั่งในเรื่องนี้ต่อไป
of 77