คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 185

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 761 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานสนับสนุนข่มขืนฯ และการพิพากษาลงโทษนอกเหนือคำฟ้อง
ผู้เสียหายกับเพื่อนนั่งรอเรืออยู่ที่ท่าน้ำ จำเลยกับ ส. เข้ามาทักทายผู้เสียหายแล้วจำเลยอุ้มผู้เสียหายไป ส. พูดขู่ห้ามไม่ให้เพื่อนผู้เสียหายช่วยแล้ววิ่งตามจำเลยไป จำเลยอุ้มผู้เสียหายไปประมาณ 10 วาก็วางผู้เสียหายลงแล้วกลับบ้านโดยไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องอีก ส่วน ส.ฉุดผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเรา ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการร่วมกับ ส. พาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร และเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา การที่จำเลยวางผู้เสียหายแล้วกลับบ้าน มิใช่เป็นการยับยั้งเสียเองไม่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ผู้เสียหายต่อไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 82
การกระทำของจำเลยและ ส. ดังกล่าว เป็นการกระทำด้วยความอุกอาจไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ไม่มีเหตุสมควรจะรอการลงโทษให้และแม้ จำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนแต่ในชั้นศาลจำเลยให้การปฏิเสธ คดีรับฟังลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องอาศัยคำรับสารภาพชั้นสอบสวน จึงไม่มีเหตุที่จะลดโทษให้จำเลย
ฟ้องว่าจำเลยกับพวกหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้หลังจากที่ได้ข่มขืนกระทำชำเราแล้ว เมื่อฟังได้ดังกล่าวข้างต้นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับที่กล่าวในฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย โดยไม่จำต้องมีการหน่วงเหนี่ยวกักขัง ณ ที่ใดอีก จึงเป็นการลงโทษจำเลยนอกเหนือไปจากคำฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 และปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม มาตรา 185

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดสนับสนุนข่มขืน-หน่วงเหนี่ยวฯ ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษนอกฟ้องมิชอบ
ผู้เสียหายกับเพื่อนนั่งรอเรืออยู่ที่ท่าน้ำ จำเลยกับ ส. เข้ามาทักทายผู้เสียหายแล้วจำเลยอุ้มผู้เสียหายไป ส. พูดขู่ห้ามไม่ให้เพื่อนผู้เสียหายช่วยแล้ววิ่งตามจำเลยไป จำเลยอุ้มผู้เสียหายไปประมาณ 10 วาก็วางผู้เสียหายลงแล้วกลับบ้านโดยไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องอีก ส่วน ส.ฉุดผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเรา ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการร่วมกับ ส. พาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร และเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา การที่จำเลยวางผู้เสียหายแล้วกลับบ้าน มิใช่เป็นการยับยั้งเสียเองไม่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ผู้เสียหายต่อไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 82
การกระทำของจำเลยและ ส. ดังกล่าว เป็นการกระทำด้วยความอุกอาจไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ไม่มีเหตุสมควรจะรอการลงโทษให้และแม้ จำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนแต่ในชั้นศาลจำเลยให้การปฏิเสธคดีรับฟังลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องอาศัยคำรับสารภาพชั้นสอบสวน จึงไม่มีเหตุที่จะลดโทษให้จำเลย
ฟ้องว่าจำเลยกับพวกหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้หลังจากที่ได้ข่มขืนกระทำชำเราแล้ว เมื่อฟังได้ดังกล่าวข้างต้นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับที่กล่าวในฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย โดยไม่จำต้องมีการหน่วงเหนี่ยวกักขัง ณ ที่ใดอีกจึงเป็นการลงโทษจำเลยนอกเหนือไปจากคำฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 และปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม มาตรา 185

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2585/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำหน่ายทรัพย์สินชำระหนี้จำนอง ไม่ถือเป็นการโกงเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
จำเลยขายที่ดินเพื่อเอาเงินชำระหนี้ซึ่งที่ดินนั้นติดจำนองอยู่ตามที่เจ้าหนี้ผู้รับจำนองเร่งรัดทวงถามให้ชำระและขายได้ราคาซึ่งเป็นจำนวนพอดีๆ ที่จะชำระหนี้จำนองเท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยขายที่ดินไปโดยเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รับชำระหนี้ตามฟ้อง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
จำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อศาลอุทธรณ์ เห็นว่าการกระทำของจำเลยตามที่โจทก์อุทธรณ์ขึ้นมาไม่มีความผิด ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1590/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีอาญาซ้ำ: คำพิพากษายกฟ้องเนื่องจากฟ้องไม่ชัดเจน ไม่ถือเป็นคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาด
คดีก่อนศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยเห็นว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำผิดในอนาคต ไม่พอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ไม่ได้ยกฟ้องโจทก์เพราะเหตุต่างๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ในคดีก่อนจึงยังไม่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยได้ใหม่ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1007/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีฟ้องเท็จเป็นคดีอาญาแผ่นดิน สัญญาประนีประนอมยอมความใช้ไม่ได้ ผู้ถูกฟ้องเป็นผู้เสียหายฟ้องได้
คดีความผิดฐานฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175เป็นคดีอาญาแผ่นดิน มิใช่ความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิดอันยอมความได้ คดีอาญาที่จะระงับไปเพราะการยอมความนั้นมีได้เฉพาะแต่ความผิดต่อส่วนตัว ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 39(2) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ฉะนั้นแม้โจทก์จำเลยจะได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อกันไว้ก็ไม่ทำให้คดีซึ่งมีข้อหาดังกล่าวข้างต้นระงับไป
จำเลยนำความเท็จมาฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญา ถึงแม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็ตาม แต่โจทก์ผู้ถูกฟ้องย่อมได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยแล้ว โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย และคำฟ้องในคดีดังกล่าวนั้นถือได้ว่าเป็นฟ้องโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานฟ้องเท็จ
คดีที่คู่ความฎีกาได้แต่เฉพาะข้อกฎหมาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิด และรอการลงโทษให้แก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 725/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การออกเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชีเพียงพอ การพิสูจน์สถานะทางการเงิน ณ วันออกเช็คเป็นสาระสำคัญ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คมาตรา 3 ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยออกเช็คพิพาทลงวันที่ 10 มิถุนายน 2521 ชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์ร่วม ต่อมาวันที่ 19 กรกฎาคม 2521 โจทก์นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็ค ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะเงินในบัญชีของจำเลยมีไม่พอจ่าย โดยมิได้นำสืบให้เห็นว่าขณะที่ออกเช็คพิพาทคือวันที่ 10 มิถุนายน 2521 นั้น เงินในบัญชีของจำเลยมีพอจ่ายตามเช็คพิพาทหรือไม่ ดังนี้ จะฟังว่าการที่เงินในบัญชีของจำเลยมีไม่พอจ่ายในวันที่ 19กรกฎาคม 2521 นั้น. ในวันที่ 10 มิถุนายน 2521 อันอันเป็นวันออกเช็คพิพาทจำเลยก็ไม่มีเงินในบัญชีพอจ่ายตามเช็คจึงลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 512/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษายกฟ้องคดีอาญา แม้ยังไม่ได้ไต่สวนมูลฟ้อง หากโจทก์ไม่สามารถนำสืบพยานหลักฐานได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 167 บัญญัติว่า'ถ้าปรากฏว่าคดีมีมูลให้ศาลประทับฟ้องไว้พิจารณาต่อไปเฉพาะกระทงที่มีมูล ถ้าคดีไม่มีมูล ให้พิพากษา ยกฟ้อง' คำว่า ถ้าคดีไม่มีมูลให้พิพากษายกฟ้อง นั้น มิได้หมายความว่าศาลจะฟังพยานหลักฐานจากการ ไต่สวนมูลฟ้องแต่เพียงอย่างเดียว กรณีที่โจทก์ไม่สามารถนำพยานมาไต่สวนเพื่อวินิจฉัยถึงมูลคดีซึ่งจำเลยต้องหาก็ถือได้ว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 167 เช่นเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 512/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษายกฟ้องคดีอาญาเมื่อโจทก์ไม่สามารถนำพยานมาไต่สวนได้ ศาลพิจารณาจากเหตุผลที่โจทก์ไม่มีมูลคดีได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 167 บัญญัติว่า'ถ้าปรากฏว่าคดีมีมูลให้ศาลประทับฟ้องไว้พิจารณาต่อไปเฉพาะกระทงที่มีมูล ถ้าคดีไม่มีมูล ให้พิพากษา ยกฟ้อง'คำว่า ถ้าคดีไม่มีมูลให้พิพากษายกฟ้อง นั้น มิได้หมายความว่าศาลจะฟังพยานหลักฐานจากการ ไต่สวนมูลฟ้องแต่เพียงอย่างเดียวกรณีที่โจทก์ไม่สามารถนำพยานมาไต่สวนเพื่อวินิจฉัยถึงมูลคดีซึ่งจำเลยต้องหาก็ถือได้ว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 167 เช่นเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 251/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คไม่มีวันที่ออก ไม่ถือเป็นความผิดอาญา
การที่จำเลยออกเช็คโดยไม่ลงวันเดือนปีที่ออกเช็คย่อมถือได้ว่าไม่มีวันที่ผู้ออกเช็คกระทำผิด แม้จำเลยได้ตกลงกำหนดวันเดือนปีที่ผู้ทรงเช็คจะนำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารไว้แน่นอน โจทก์ผู้ทรงเช็คได้นำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารตามวันที่ตกลงกัน และเจ้าหน้าที่ธนาคารได้ลงวันเดือนปีตามที่โจทก์ยื่นเช็ค ก็เป็นเรื่องเจ้าหน้าที่ธนาคารลงวันออกเช็คไปตามอำนาจของโจทก์ ที่โจทก์มีอยู่ตามกฎหมายในฐานะเป็นผู้ทรงเช็ค มีผลเพียงให้เช็คนั้นมีรายการสมบูรณ์ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ในทางแพ่งเท่านั้น หามีผลที่จะปรับเป็นความผิดอาญาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คได้ไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว (ประชุมใหญ่ครั้งที่2/2524)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์แหล่งที่มาของไม้แปรรูปเป็นสาระสำคัญในการฟ้องผิดตามพ.ร.บ.ป่าไม้ หากโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าไม้มาจากในป่า คดีความไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยนำไม้ยางพาราซึ่งเป็นไม้ที่ทำ โดยไม่ต้องรับอนุญาตบรรทุกรถยนต์ออกไปถึงด่านป่าไม้ด่านแรกแล้วนำเคลื่อนที่ไปโดยไม่มีใบเบิกทางกำกับ โดยไม่ได้รับอนุญาต แม้จำเลยรับสารภาพตามฟ้อง เมื่อศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ศาลก็ย่อมจะพิพากษายกฟ้องของโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185
คำว่า "ไม้ที่ทำ" ตามมาตรา 38 (2) อยู่ในความหมายของคำว่า "ทำไม้" ตามมาตรา 4(5) คือ การตัด ฟัน กาน โค่น ลิด เลื่อย ผ่าน ถาก ทอน ขุด ชักลากไม้ในป่าหรือนำออกจากป่าด้วยประการใด ๆ และหมายความรวมถึงการกระทำดังกล่าวกับไม้สักหรือไม้ยางที่ขึ้นอยู่ในที่ดินซึ่งมิใช่ป่า หรือการนำไม้สักหรือไม้ยางออกจากที่ดินที่ไม้นั้น ๆ ขึ้นอยู่ด้วย เห็นได้ว่า การทำไม้นั้นนอกจากไม้สักหรือไม้ยางแล้วหมายถึงเฉพาะไม้ที่อยู่ในป่าเท่านั้น การนำไม้ที่ทำเคลื่อนที่ตามมาตรา 38 (2) ซึ่งเมื่อนำออกมาถึงด่านป่าไม้ด่านแรกแล้วจะต้องเสียค่าธรรมเนียมและเมื่อจะนำเคลื่อนที่ต่อไปจะต้องมีใบเบิกทางของเจ้าพนักงานไปด้วยตามมาตรา 39 ต้องเป็นไม้ที่ทำจากไม้ในป่านั่นเอง ข้อเท็จจริงที่ว่าไม้ของกลางเป็นไม้ที่ทำจากป่าหรือไม่จึงเป็นสาระสำคัญแห่งคดี เมื่อโจทก์แถลงว่าไม่ทราบว่าไม้ (ยางพารา) ของกลางเป็นไม้ที่ได้มาจากป่าหรือไม่ ศาลจึงลงโทษจำเลยไม่ได้
of 77