คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ดุลยพากย์สุวมัณฑ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 870 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1851/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าโดยพยาบาทและการสำคัญผิดตัว ศาลฎีกายืนโทษประหารชีวิตลดโทษ
จำเลยมีสาเหตุอาฆาตมาก่อนแล้วจึงได้มาลอบยิง ยิงนัดแรกถูกผู้เสียหายแต่ไม่ถึงแก่ความตาย อีก 10นาทีจำเลยจึงได้ หวนกลับมายิงอีก กระสุนปืนถูกผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยจำเลยสำคัญตัวผิด เช่นนี้ ถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยพยายามด้วยความพยาบาทมาดหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1851/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าโดยพยาบาทมาดหมาย แม้สำคัญตัวผิด ศาลลงโทษฐานฆ่าโดยเจตนา
จำเลยมีสาเหตุอาฆาตมาก่อนแล้วจึงได้มาลอบยิง ยิงนัดแรกถูกผู้เสียหายแต่ไม่ถึงแก่ความตาย อีก 10 นาทีจำเลยจึงได้หวนกลับมายิงอีก กระสุนปืนถูกผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยจำเลยสำคัญตัวผิด เช่นนี้ถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยพยายามด้วยความพยาบาทมาดหมาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1846/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับโทษต่อระหว่างคดีอาญา ศาลฎีกาพิพากษาให้นับโทษต่อได้หากคำร้องถึงศาลตั้งแต่ชั้นต้น แม้มีการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษา
โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นในระหว่างที่พิจารณาคดี ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีหนึ่ง ภายหลังยื่นคำร้องเพิ่มเติมอีกว่า คดีที่ขอให้นับโทษต่อนั้น ศาลยกฟ้องเสียแล้ว จึงขอให้นับโทษต่อคดีใหม่อีกคดีหนึ่งต่อมาอีกปรากฏว่า คดีที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องนั้นศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ลงโทษ โจทก์จึงกลับมาร้องขอใหม่ขอให้ศาลอุทธรณ์นับโทษจำเลยต่อจากคดีแรกอีก แต่คำร้องดังกล่าวติดอยู่ในสำนวนอีกสำนวนหนึ่งมิได้ส่งไปยังศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จึงมิได้กล่าวถึงคำร้องขอให้นับโทษต่อ ดังนี้ เมื่อโจทก์ฎีกาขอให้นับโทษต่อ ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้นับโทษต่อได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1783/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์สัญชาติไทยและการมีอำนาจฟ้องร้องกรณีคำสั่งให้ออกจากราชอาณาจักร
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าโจทก์เกิดในประเทศไทยมีสัญชาติเป็นไทยให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้โจทก์ออกไปนอกราชอาณาจักรไทย จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์เป็นคนต่างด้าวเกิดในประเทศจีนเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยมิได้รับอนุญาต ประเด็นจึงมีว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติไทยโดยเกิดในประเทศไทยจริงหรือไม่ ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่าโจทก์เคยรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวย่อมขาดจากสัญชาติไทยตาม พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 2) 2496 นั้น เป็นกรณีที่เกิดขึ้นเนื่องจากมี ก.ม.ซึ่งเพิ่งออกใช้ภายหลังฟ้องจะเท็จจริงประการใดจึงยังไม่เป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้
คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองซึ่งเป็นคณะบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งโดย พ.ร.บ. คนเข้าเมืองไม่ใช่บุคคลอันสังกัดขึ้นอยู่กับกรมตำรวจก็ตามมีหน้าที่เพียงพิจารณาและลงมติเกี่ยวกับเรื่องร้องขอพิสูจน์สัญชาติเท่านั้น ส่วนการที่มีหนังสือหรือคำสั่งแจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อให้โจทก์ออกไปนอกราชอาณาจักรนั้นเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองอันสังกัดอยู่กับกรมตำรวจ โจทก์ย่อมฟ้องกรมตำรวจได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1783/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญชาติไทยโดยการเกิดในประเทศ และอำนาจฟ้องกรมตำรวจกรณีคำสั่งให้ออกนอกราชอาณาจักร
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าโจทก์เกิดในประเทศไทยมีสัญชาติเป็นไทยให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้โจทก์ออกไปนอกราชอาณาจักรไทยจำเลยต่อสู้ว่าโจทก์เป็นคนต่างด้าวเกิดในประเทศจีนเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยมิได้รับอนุญาต ประเด็นจึงมีว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติไทยโดยเกิดในประเทศไทยจริงหรือไม่ ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่าโจทก์เคยรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวย่อมขาดจากสัญชาติไทยตาม พระราชบัญญัติสัญชาติ(ฉบับที่ 2)2496 นั้นเป็นกรณีที่เกิดขึ้นเนื่องจากมี กฎหมายซึ่งเพิ่งออกใช้ภายหลังฟ้องจะเท็จจริงประการใดจึงยังไม่เป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้
คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองซึ่งเป็นคณะบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งโดยพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองไม่ใช่บุคคลอันสังกัดขึ้นอยู่กับกรมตำรวจก็ตาม มีหน้าที่เพียงพิจารณาและลงมติเกี่ยวกับเรื่องร้องขอพิสูจน์สัญชาติเท่านั้น ส่วนการที่มีหนังสือหรือคำสั่งแจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อให้โจทก์ออกไปนอกราชอาณาจักรนั้นเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองอันสังกัดอยู่กับกรมตำรวจ โจทก์ย่อมฟ้องกรมตำรวจได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1779/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดกับเจ้าพนักงาน และการลงโทษผู้สมรู้ตาม พ.ร.บ.กักกันผู้ร้าย
เมื่อได้ความว่าจำเลยสมรู้ให้เจ้าพนักงานกระทำผิดตามมาตรา136 แล้วแม้จำเลยจะเป็นราษฎรก็ตามก็ย่อมมีความผิดฐานเป็นผู้สมรู้ในความผิดที่เจ้าพนักงานกระทำนั้น
ผู้สมรู้ก็เป็นกระทำผิดเมื่อความผิดนั้นๆ ต้องตามบทมาตราใน พระราชบัญญัติกักกันฯก็ลงโทษกักกันผู้สมรู้นั้นได้ พระราชบัญญัติกักกันฯมิได้ประสงค์ให้ลงโทษแต่เฉพาะตัวการไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1779/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดกับเจ้าพนักงาน และการลงโทษผู้สมรู้ตาม พ.ร.บ.กักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย
เมื่อได้ความว่าจำเลยสมรู้ให้เจ้าพนักงานกระทำผิดตาม ม.136 แล้ว แม้จำเลยจะเป็นราษฎรก็ตามก็ย่อมมีความผิดฐานเป็นผู้สมรู้ในความผิดที่เจ้าพนักงานกระทำนั้น
ผู้สมรู้ก็เป็นกระทำผิดเมื่อความผิดนั้น ๆ ต้องตามบทมาตราใน พ.ร.บ. กักกัน ฯ ก็ลงโทษกักกันผู้สมรู้นั้นได้ พ.ร.บ. กักกันฯ มิได้ประสงค์ให้ลงโทษแต่เฉพาะตัวการไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1749/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษอาญา: หลักการพิจารณาโทษอาญาซ้ำจากประวัติโทษเดิมต้องชัดเจนและมีหลักฐานสนับสนุน
เกี่ยวกับฟ้องขอให้เพิ่มโทษจำเลยนั้นอัยการโจทก์บรรยายว่า " ก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องโทษทำร้ายร่างกาย ถูกศาลจังหวัดชุมพรพิพากษาจำคุก 10 วัน ปรับ 25 บาท คดีหมายเลขแดงที่ 347/2495 จำเลยพ้นโทษยังไม่ครบ 5 ปี กลับมากระทำผิดในคดีนี้อีก หาเข็ดหลาบไม่ขอให้ศาลเพิ่มโทษตาม ม.72 อีกโสดหนึ่งด้วย
ศาลสอบจำเลย ๆ รับว่าเคยต้องโทษตามฟ้องโจทก์เป็นความจริง
และจำเลยเบิกความตามคำซักค้านของโจทก์ว่า "ข้าพเจ้าจำเลยเคยต้องโทษของศาลฐานทำร้ายร่างกายนายเปรื่องมีบาดเจ็บ"
ดังนี้ข้อเพิ่มโทษ ตามที่บรรยายในฟ้องของโจทก์ ๆ ระบุเพียงว่าจำเลยเคยต้องโทษฐานทำร้ายร่างกาย ซึ่ง ก.ม.อาญา ระบุไว้ในส่วนที่ 7 หมวดที่ 2 ซึ่งกินความถึงความผิดฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บ โดยเจตนา บาดเจ็บสาหัสโดยเจตนา บาดเจ็บโดยเจตนาและประมาทก็มี ระบุเป็นหัวข้อเรื่องละหุโทษตาม ม.338 ก็มีจึงไม่แน่ว่าตามที่โจทก์บรรยายมานั้นอยู่ในความผิดส่วนไหน เพราะอัตราโทษครั้งก่อนที่จำเลยรับโทษจำคุก 17 วันปรับ 25 บาท นั้นก็เบามีลักษณะเป็นได้ทั้งเจตนา ประมาท และลหุโทษ
จึงอาศัยแต่เพียงคำรับของจำเลยดังกล่าวมาเพิ่มโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้ ข้อเพิ่มโทษจึงต้องยกเสีย
อ้างฎีกาที่ 366/2499

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1749/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษทางอาญา: หลักฐานความผิดเดิมต้องชัดเจนและสอดคล้องกับคำรับของจำเลย
เกี่ยวกับฟ้องขอให้เพิ่มโทษจำเลยนั้น อัยการโจทก์บรรยายว่า " ก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องโทษทำร้ายร่างกาย ถูกศาลจังหวัดชุมพรพิพากษาจำคุก 10 วันปรับ 25 บาทตามคดีหมายเลขแดงที่ 347/2495 จำเลยพ้นโทษยังไม่ครบ 5 ปี กลับมากระทำผิดในคดีนี้อีก หาเข็ดหลาบไม่ ขอให้ศาลเพิ่มโทษตาม มาตรา 72 อีกโสดหนึ่งด้วย"
ศาลสอบจำเลยจำเลยรับว่าเคยต้องโทษตามฟ้องโจทก์เป็นความจริง
และจำเลยเบิกความตามคำซักค้านของโจทก์ว่า " ข้าพเจ้าจำเลยเคยต้องโทษของศาลฐานทำร้ายร่างกายนายเปรื่องมีบาดเจ็บ "
ดังนี้ข้อเพิ่มโทษตามที่บรรยายในฟ้องของโจทก์โจทก์ระบุเพียงว่าจำเลยเคยต้องโทษฐานทำร้ายร่างกาย ซึ่ง กฎหมายอาญาระบุไว้ในส่วนที่ 7 หมวดที่ 2 ซึ่งกินความถึงความผิดฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บโดยเจตนา บาดเจ็บสาหัสโดยเจตนาบาดเจ็บโดยเจตนาและประมาทก็มี ระบุเป็นหัวข้อเรื่องลหุโทษตาม มาตรา338 ก็มีจึงไม่แน่ว่าตามที่โจทก์บรรยายมานั้นอยู่ในความผิดส่วนไหน เพราะอัตราโทษครั้งก่อนที่จำเลยรับโทษจำคุก 10 วันปรับ 25 บาทนั้นก็เบามีลักษณะเป็นได้ทั้งเจตนา ประมาทและลหุโทษ
จึงอาศัยแต่เพียงคำรับของจำเลยดังกล่าวมาเพิ่มโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้ ข้อเพิ่มโทษจึงต้องยกเสีย
อ้างฎีกาที่ 366/2499

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1743/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มเติมฟ้องและการรับสารภาพ: ศาลอนุญาตได้หากจำเลยมีสิทธิถอนคำรับสารภาพภายหลัง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือมิฉนั้นก็ฐานรับของโจรแต่ไมได้ระบุ ก.ม. อาญา ม.321 ลง
ในคำขอให้ลงโทษท้ายฟ้อง จำเลยรับสารภาพฐานรับของโจร โจทก์จึงขอเพิ่มเติม ม.321 ลงในท้ายคำขอให้ลงโทษ เช่นนี้ศาลอนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมได้
of 87