พบผลลัพธ์ทั้งหมด 870 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1704/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บริวารในสัญญาเช่า: แม้ชื่อเป็นผู้เช่า แต่พฤติการณ์แสดงถึงการเป็นบริวารของสามี ทำให้ต้องออกไปกับสามีเมื่อถูกบังคับคดี
เดิมโจทก์ฟ้องขับไล่นางเจิมในคดีแดงที่ 722/2493 ศาลพิพากษาให้ขับไล่นางเจิม โจทก์อ้างว่าจำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นสามีภรรยาเป็นบริวารของนางเจิมขอให้ขับไล่ด้วย จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยไม่ใช่บริวารของนางเจิม นางอุไรภรรยาเป็นผู้เช่าจากนางเจิมได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ
โจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่สามีที่สุดโจทก์กับสามีตกลงประนีประนอมยอมความกันที่ศาล คือโจทก์ยอมให้สามีเช่าอยู่ต่อไปอีก 2 ปี ครบกำหนดโจทก์ขอให้ศาลบังคับสามีและภรรยา สามียอมออกแต่ภรรยาไม่ยอมออก อ้างว่าตนเป็นผู้เช่าได้รับความคุ้มครอง คำพิพากษาย่อมไม่ผูกพันตนเพราะตนเป็นผู้เช่าสามีไม่มีอำนาจไปทำยอม และได้หย่าขาดจากสามีภรรยาก่อนศาลพิพากษาตามยอมแล้ว
ดังนี้แม้จะได้ความว่าภรรยามีชื่อเป็นผู้เช่า แต่ขณะนั้นสามีภรรยายังอยู่กินในห้องพิพาท เวลาทำสัญญาสามีก็มาด้วยและลงชื่อเป็นพยานในสัญญาเช่า เมื่อคราวศาลเรียกสามีภรรยามาสอบในคดีก่อนคือคดีแดงที่ 722/2493 ภรรยาทราบแต่ไม่มา สามีมาแถลงต่อศาลว่าตนกับภรรยาอยู่ในห้องโดยตนเป็นผู้เช่าจากนางเจิม เมื่อสามีทำยอมกับโจทก์ที่ศาล ภรรยาก็ทราบระหว่างนั้นภรรยายังนำค่าเช่ามาชำระให้โจทก์ด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นชัดว่าภรรยายอมถือว่าสามีเป็นผู้เช่าห้องพิพาทภรรยาย่อมตกเป็นบริวาร ที่ภรรยาอ้างว่าหย่าขาดนั้นเป็นเพียงโล่ห์บังหน้าเพื่อเลี่ยงการบังคับ
โจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่สามีที่สุดโจทก์กับสามีตกลงประนีประนอมยอมความกันที่ศาล คือโจทก์ยอมให้สามีเช่าอยู่ต่อไปอีก 2 ปี ครบกำหนดโจทก์ขอให้ศาลบังคับสามีและภรรยา สามียอมออกแต่ภรรยาไม่ยอมออก อ้างว่าตนเป็นผู้เช่าได้รับความคุ้มครอง คำพิพากษาย่อมไม่ผูกพันตนเพราะตนเป็นผู้เช่าสามีไม่มีอำนาจไปทำยอม และได้หย่าขาดจากสามีภรรยาก่อนศาลพิพากษาตามยอมแล้ว
ดังนี้แม้จะได้ความว่าภรรยามีชื่อเป็นผู้เช่า แต่ขณะนั้นสามีภรรยายังอยู่กินในห้องพิพาท เวลาทำสัญญาสามีก็มาด้วยและลงชื่อเป็นพยานในสัญญาเช่า เมื่อคราวศาลเรียกสามีภรรยามาสอบในคดีก่อนคือคดีแดงที่ 722/2493 ภรรยาทราบแต่ไม่มา สามีมาแถลงต่อศาลว่าตนกับภรรยาอยู่ในห้องโดยตนเป็นผู้เช่าจากนางเจิม เมื่อสามีทำยอมกับโจทก์ที่ศาล ภรรยาก็ทราบระหว่างนั้นภรรยายังนำค่าเช่ามาชำระให้โจทก์ด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นชัดว่าภรรยายอมถือว่าสามีเป็นผู้เช่าห้องพิพาทภรรยาย่อมตกเป็นบริวาร ที่ภรรยาอ้างว่าหย่าขาดนั้นเป็นเพียงโล่ห์บังหน้าเพื่อเลี่ยงการบังคับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1684-1685/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอ้างเอกสารปลอมบางส่วนและการสืบพยานเพื่อหักล้างสัญญา
เมื่อจำเลยกล่าวอ้างว่าหนังสือสัญญายืมเงินที่โจทก์ฟ้องเป็นเอกสารปลอมบางส่วนคือส่วนที่ระบุจำนวนเงินที่กู้ยืมนั้น จำเลยย่อมมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างของตนได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย รูปคดีหาใช่เป็นเรื่องสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารอันต้องห้ามตามมาตรา94 วรรค(ข) ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1684-1685/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานเพื่อหักล้างข้อความในเอกสารสัญญายืมเงินที่อ้างว่าเป็นเอกสารปลอมบางส่วน ไม่ถือเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสาร
เมื่อจำเลยกล่าวอ้างว่าหนังสือสัญญายืมเงินที่โจทก์ฟ้องเป็นเอกสารปลอมบางส่วนคือส่วนที่ระบุจำนวนเงินที่กู้ยืมนั้น จำเลยย่อมมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างของตนได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย รูปคดีหาใช่เป็นเรื่องสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารอันต้องห้ามตามมาตรา94 วรรค(ข) ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1684-1685/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานเพื่อหักล้างข้อความในเอกสารสัญญายืมเงินที่เป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเฉพาะบางส่วน
เมื่อจำเลยกล่าวอ้างว่าหนังสือสัญญายืมเงินที่โจทก์ฟ้องเป็นเอกสารปลอมบางส่วนคือส่วนที่ระบุจำนวนเงินที่กู้ยืมนั้นจำเลยย่อมมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างของตนได้ตาม ป.วิ.แพ่ง ม.94 วรรคท้าย รูปคดีหาใช่เป็นเรื่องสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารอันต้องห้ามตามมาตรา 94 วรร(ข)ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1661/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละสัญชาติไทยจากการสมรสกับชาวต่างชาติ: การตีความกฎหมายสัญชาติและสถานะบุคคล
เมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยเสียสัญชาติไทยโดยการสมรสกับคนต่างด้าว ดังนี้ปัญหาที่ว่าจำเลยยังเป็นคนไทยหรือต่างด้าวนั้นต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติสัญชาติซึ่งใช้อยู่ขณะจำเลยทำการสมรส กล่าวคือ พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2456 มาตรา 4 เมื่อโจทก์ไม่ได้สืบตาม พระราชบัญญัตินี้ให้ปรากฏว่ากฎหมายแห่งสัญชาติสามีบัญญัติให้หญิงไทยถือเอาสัญชาติของสามีได้ ดังนี้ถือว่าจำเลยสละสัญชาติไทยแล้วไม่ได้
พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ.2479 มาตรา 7 ซึ่งบัญญัติว่า "หญิงซึ่งมีสัญชาติไทย ถ้าต้องสละสัญชาติไทยเพราะสมรสกับคนต่างด้าวให้ไปขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว"นั้นหาได้หมายความว่าหญิงไทยที่สมรสกับคนต่างด้าวและไปขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวแล้วถือว่าสละสัญชาติไทยไม่
เมื่อถือว่าจำเลยไม่ได้สละสัญชาติไทยคือยังเป็นคนไทยอยู่ก็ไม่จำต้องให้จำเลยร้องฟ้องขอให้ได้มาซึ่งสัญชาติหรือฟ้องร้องผู้โต้แย้งตนว่าไม่ใช่คนไทย
พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ.2479 มาตรา 7 ซึ่งบัญญัติว่า "หญิงซึ่งมีสัญชาติไทย ถ้าต้องสละสัญชาติไทยเพราะสมรสกับคนต่างด้าวให้ไปขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว"นั้นหาได้หมายความว่าหญิงไทยที่สมรสกับคนต่างด้าวและไปขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวแล้วถือว่าสละสัญชาติไทยไม่
เมื่อถือว่าจำเลยไม่ได้สละสัญชาติไทยคือยังเป็นคนไทยอยู่ก็ไม่จำต้องให้จำเลยร้องฟ้องขอให้ได้มาซึ่งสัญชาติหรือฟ้องร้องผู้โต้แย้งตนว่าไม่ใช่คนไทย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1661/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญชาติไทยไม่สิ้นสุดจากการสมรสกับชาวต่างชาติและการรับใบสำคัญคนต่างด้าว
เมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยเสียสัญชาติไทยโดยการสมรสกับคนต่างด้าว ดังนี้ปัญหาที่ว่าจำเลยยังเป็นคนไทยหรือต่างด้าวนั้นต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติสัญชาติซึ่งใช้อยู่ขณะจำเลยทำการสมรส กล่าวคือ พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2456 มาตรา 4 เมื่อโจทก์ไม่ได้สืบตาม พระราชบัญญัตินี้ให้ปรากฏว่ากฎหมายแห่งสัญชาติสามีบัญญัติให้หญิงไทยถือเอาสัญชาติของสามีได้ ดังนี้ถือว่าจำเลยสละสัญชาติไทยแล้วไม่ได้
พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ.2479 มาตรา 7 ซึ่งบัญญัติว่า "หญิงซึ่งมีสัญชาติไทย ถ้าต้องสละสัญชาติไทยเพราะสมรสกับคนต่างด้าวให้ไปขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว"นั้นหาได้หมายความว่าหญิงไทยที่สมรสกับคนต่างด้าวและไปขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวแล้วถือว่าสละสัญชาติไทยไม่
เมื่อถือว่าจำเลยไม่ได้สละสัญชาติไทยคือยังเป็นคนไทยอยู่ก็ไม่จำต้องให้จำเลยร้องฟ้องขอให้ได้มาซึ่งสัญชาติหรือฟ้องร้องผู้โต้แย้งตนว่าไม่ใช่คนไทย
พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ.2479 มาตรา 7 ซึ่งบัญญัติว่า "หญิงซึ่งมีสัญชาติไทย ถ้าต้องสละสัญชาติไทยเพราะสมรสกับคนต่างด้าวให้ไปขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว"นั้นหาได้หมายความว่าหญิงไทยที่สมรสกับคนต่างด้าวและไปขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวแล้วถือว่าสละสัญชาติไทยไม่
เมื่อถือว่าจำเลยไม่ได้สละสัญชาติไทยคือยังเป็นคนไทยอยู่ก็ไม่จำต้องให้จำเลยร้องฟ้องขอให้ได้มาซึ่งสัญชาติหรือฟ้องร้องผู้โต้แย้งตนว่าไม่ใช่คนไทย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1661/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญชาติไทยไม่สิ้นสุดจากการสมรสกับชาวต่างชาติและการรับใบสำคัญคนต่างด้าว
เมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยเสียสัญชาติไทยโดยการสมรสกับคนต่างด้าว ดังนี้ปัญหาที่ว่าจำเลยยังเป็นคนไทยหรือต่างด้าวนั้นต้องพิจารณาตาม พ.ร.บ.สัญชาติซึ่งใช้อยู่ขณะจำเลยทำการสมรส กล่าวคือ พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2456 ม.4เมื่อโจทก์ไม่ได้สืบตาม พ.ร.บ.นี้ให้ปรากฎว่า ก.ม.แห่งสัญชาติสามีบัญญัติให้หญิงไทยถือเอาสัญชาติของสามีได้ ดังนี้ถือว่าจำเลยสละสัญชาติไทยแล้วไม่ได้
พ.ร.บ.การทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. 2479 ม.7 ซึ่งบัญญัติว่า "หญิงซึ่งมีสัญชาติไทย ถ้าต้องสละสัญชาติไทยเพราะสมรสกับคนต่างด้าวให้ไปขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว" นั้นหาได้หมายความว่าหญิงไทยที่สมรสกับคนต่างด้าวและไปขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวแล้วถือว่าสละสัญชาติไทยไม่
เมื่อถือว่าจำเลยไม่ได้สละสัญชาติไทยคือยังเป็นคนไทยอยู่ก็ไม่จำต้องให้จำเลยร้องฟ้องขอให้ได้มาซึ่งสัญชาติหรือฟ้งอร้องผู้โต้แย้งตนว่าไม่ใช่คนไทย
พ.ร.บ.การทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. 2479 ม.7 ซึ่งบัญญัติว่า "หญิงซึ่งมีสัญชาติไทย ถ้าต้องสละสัญชาติไทยเพราะสมรสกับคนต่างด้าวให้ไปขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว" นั้นหาได้หมายความว่าหญิงไทยที่สมรสกับคนต่างด้าวและไปขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวแล้วถือว่าสละสัญชาติไทยไม่
เมื่อถือว่าจำเลยไม่ได้สละสัญชาติไทยคือยังเป็นคนไทยอยู่ก็ไม่จำต้องให้จำเลยร้องฟ้องขอให้ได้มาซึ่งสัญชาติหรือฟ้งอร้องผู้โต้แย้งตนว่าไม่ใช่คนไทย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1619/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ข้อเท็จจริงเรื่องการวิวาท หากสืบไม่ได้ว่ามีการต่อสู้จริง โจทก์ต้องเป็นฝ่ายยกฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าวิวาทต่อสู้กันมีผู้บาดเจ็บถึงตาย + ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกลุ้มรุมทำร้ายผู้ตายฝ่ายเดียว ดังนี้จึงเป็นเรื่องที่โจทก์สืบฟังไม่ได้ว่ามีการวิวาทต่อสู้กันดังฟ้อง ย่อมถือว่าโจทก์สืบไม่สมฟ้อง ต้องยกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1619/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ข้อเท็จจริงเรื่องวิวาท หากสืบไม่ได้ว่ามีการต่อสู้ ย่อมถือว่าโจทก์สืบไม่สมฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าวิวาทต่อสู้กันมีผู้บาดเจ็บถึงตายดังมาตรา 253,335ข้อ3,14 ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกลุ้มรุมทำร้ายผู้ตายฝ่ายเดียว ดังนี้จึงเป็นเรื่องที่โจทก์สืบฟังไม่ได้ว่ามีการวิวาทต่อสู้กันดังฟ้อง ย่อมถือว่าโจทก์สืบไม่สมฟ้อง ต้องยกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1619/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ข้อเท็จจริง 'วิวาทต่อสู้' ในคดีอาญา หากโจทก์สืบมิได้ ย่อมเป็นเหตุให้ยกฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าวิวาทต่อสู้กันมีผู้บาดเจ็บถึงตายดังมาตรา 253,335ข้อ3,14 ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกลุ้มรุมทำร้ายผู้ตายฝ่ายเดียว ดังนี้จึงเป็นเรื่องที่โจทก์สืบฟังไม่ได้ว่ามีการวิวาทต่อสู้กันดังฟ้อง ย่อมถือว่าโจทก์สืบไม่สมฟ้อง ต้องยกฟ้อง