พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,014 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3523/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษและการกระทำความผิดก่อนศาลพิพากษา: ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาศาลล่าง
คดีก่อนศาลพิพากษาเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2543 ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 9 เดือนและปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษไว้ 2 ปี แต่คดีนี้จำเลยกระทำผิดเมื่อวันที่18 กรกฎาคม 2543 อันเป็นเวลาก่อนที่ศาลในคดีก่อนจะพิพากษา แม้คดีนี้ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยถึงจำคุกก็ตาม ศาลในคดีนี้ก็ไม่มีอำนาจที่จะนำโทษจำคุกในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ได้เพราะมิใช่เป็นการกระทำความผิดภายในระยะเวลาที่ศาลรอการลงโทษกรณีไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้นำโทษจำคุกในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้จึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2925/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันทรัพย์สินเกินกว่าเหตุ การใช้กำลังทำร้ายผู้ลักทรัพย์ ศาลพิจารณาความเกินกว่าเหตุและลดโทษ
ผู้ตายคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนได้เข้าไปเพื่อจะลักเอาไก่ที่จำเลยเลี้ยงไว้ แต่ได้ไปสะดุดสายไฟฟ้าที่ จำเลยผูกกับกระป๋องน้ำอัดลมทำให้เกิดเสียงดังขึ้น ผู้ตายทั้งสองจึงออกมายืนซุ่ม เพื่อรอดูเหตุการณ์และก็ยังประสงค์ที่จะเข้าไปลักเอาไก่ของจำเลยอยู่อีก เพราะมิฉะนั้น ผู้ตายทั้งสองคงจะหลบหนีไปได้เนื่องจากมีเวลาเพียงพอกว่าที่ จำเลยจะตื่นขึ้นและตามหาได้ ดังนั้น พฤติการณ์เช่นนี้ย่อมถือได้ว่าภยันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่ทรัพย์ของจำเลยยังมีอยู่และใกล้จะถึงแล้ว การที่จำเลยใช้จอบตีผู้ตายทั้งสองจึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันทรัพย์ของตน อย่างไรก็ตามเนื่องจากขณะที่จำเลยใช้จอบตีผู้ตายทั้งสองนั้น ไม่ปรากฏว่าผู้ตายทั้งสองจะทำร้ายหรือต่อสู้จำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบ มาตรา 69
ปัญหาที่ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน เป็นปัญหา ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง
ปัญหาที่ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน เป็นปัญหา ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2564/2545 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษซ้ำซ้อนในคดีละเมิดลิขสิทธิ์: ศาลฎีกายกประเด็นโทษจำคุกเป็นสองเท่า แม้ไม่มีการอุทธรณ์
จำเลยกระทำผิดในคดีนี้เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2544 และจำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางให้ลงโทษปรับในความผิดต่อ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2544 แสดงว่าจำเลยกระทำความผิดในคดีนี้ก่อนที่จะต้องคำพิพากษาให้ลงโทษในคดีดังกล่าว ดังนั้น จำเลยจึงมิใช่ผู้กระทำความผิดต่อ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ซึ่งได้รับโทษและพ้นโทษมาแล้วยังไม่ครบห้าปีกลับมากระทำความผิดอีกตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา 73 แห่ง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 จึงไม่อาจระวางโทษจำเลยเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ในคดีนี้ได้ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2564/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษซ้ำซ้อนในคดีละเมิดลิขสิทธิ์: ศาลฎีกาแก้ไขโทษฐานละเมิดลิขสิทธิ์เนื่องจากจำเลยกระทำผิดก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุด
จำเลยกระทำผิดในคดีนี้เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2544 และจำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางให้ลงโทษปรับในความผิดต่อพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 เมื่อวันที่ 30 เมษายน2544 แสดงว่าจำเลยกระทำความผิดในคดีนี้ก่อนที่จะต้องคำพิพากษาให้ลงโทษในคดีดังกล่าว ดังนั้น จำเลยจึงมิใช่ผู้กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537ซึ่งได้รับโทษและพ้นโทษมาแล้วยังไม่ครบห้าปีกลับมากระทำความผิดอีกตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา 73 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 จึงไม่อาจระวางโทษจำเลยเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ในคดีนี้ได้ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2511/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครอง: การพิจารณาความผิดกรรมเดียวและการริบของกลาง
แม้เฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนจะเป็นยาเสพติดให้โทษคนละชนิดกัน แต่ต่างเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงในประเภทที่ 1 ทั้งเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นยึดเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนได้ในสถานที่และเวลาเดียวกัน แสดงว่าจำเลยมีเจตนามีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองด้วยกัน การที่โจทก์บรรยายฟ้องการกระทำความผิดของจำเลยเกี่ยวกับเฮโรอีนและแอมเฟตามีนแยกเป็น ข้อ ก และ ข้อ ข ก็ไม่อาจทำให้การกระทำความผิดของจำเลยแยกเป็นสองกรรมต่างกันแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียว
มีดคัทเตอร์4เล่มและไฟแช็กแก๊ส 6 อัน ของกลาง ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ หรือวัตถุอื่นหรือทรัพย์สินซึ่งจำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งโจทก์ก็มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเสพยาเสพติดให้โทษมาด้วย กรณีจึงไม่อาจริบของกลางดังกล่าวได้ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
มีดคัทเตอร์4เล่มและไฟแช็กแก๊ส 6 อัน ของกลาง ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ หรือวัตถุอื่นหรือทรัพย์สินซึ่งจำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งโจทก์ก็มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเสพยาเสพติดให้โทษมาด้วย กรณีจึงไม่อาจริบของกลางดังกล่าวได้ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2511/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 ครอบครอง และการริบของกลางที่ไม่เกี่ยวข้องกับความผิด
แม้เฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนจะเป็นยาเสพติดให้โทษคนละชนิดกัน แต่ต่างเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงในประเภทที่ 1 ทั้งเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นยึดเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนได้ในสถานที่และเวลาเดียวกัน แสดงว่าจำเลยมีเจตนามีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองด้วยกัน การที่โจทก์บรรยายฟ้องการกระทำความผิดของจำเลยเกี่ยวกับเฮโรอีนและแอมเฟตามีนแยกเป็น ข้อ ก และ ข้อ ข ก็ไม่อาจทำให้การกระทำความผิดของจำเลยแยกเป็นสองกรรมต่างกันแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียว
มีดคัทเตอร์ 4 เล่ม และไฟแช็กแก๊ส 6 อัน ของกลาง ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ หรือวัตถุอื่นหรือทรัพย์สินซึ่งจำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งโจทก์ก็มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเสพยาเสพติดให้โทษมาด้วย กรณีจึงไม่อาจริบของกลางดังกล่าวได้ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102 และ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วย มาตรา 225
มีดคัทเตอร์ 4 เล่ม และไฟแช็กแก๊ส 6 อัน ของกลาง ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ หรือวัตถุอื่นหรือทรัพย์สินซึ่งจำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งโจทก์ก็มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเสพยาเสพติดให้โทษมาด้วย กรณีจึงไม่อาจริบของกลางดังกล่าวได้ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102 และ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วย มาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2149/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยที่ขับรถขณะเสพยาเสพติด และการพักใช้ใบอนุญาตขับขี่เพื่อความปลอดภัยสาธารณะ
แม้อัตราโทษตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกฯ มาตรา 102(3 ทวิ),127 ทวิ วรรคสอง กับโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง,157 ทวิ วรรคสอง จะเท่ากัน แต่พระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 157 ทวิ วรรคสองมีบทบัญญัติให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของจำเลยไม่น้อยกว่าหกเดือนหรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ อันเป็นมาตรการทำนองเดียวกับวิธีการเพื่อความปลอดภัยในการที่จะคุ้มครองประชาชนทั่วไปมิให้ได้รับอันตรายที่เกิดจากการกระทำของจำเลย การที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกฯ มาตรา 102(3 ทวิ),127 ทวิ วรรคสอง และไม่พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของจำเลยนั้น เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา เมื่อศาลฎีกาไม่เห็นด้วยก็มีอำนาจวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2138/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานร่วมกระทำความผิด: การอ้างคำให้การของบุคคลที่ไม่ใช่จำเลยไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ล. มิได้เป็นจำเลยในคดีนี้ กรณีจึงมิต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 232 ซึ่งห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2138/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานที่ไม่เป็นจำเลย และการยกฟ้องอาญาในข้อหาบางกระทง
ล. มิได้เป็นจำเลยในคดีนี้ กรณีจึงมิต้องด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 232 ซึ่งห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1770/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษมาบวกกับโทษใหม่ ต้องมีหลักฐานชัดเจนว่าจำเลยยอมรับการเคยต้องโทษในคดีก่อน
การที่จะนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยที่ศาลพิพากษาในคดีหลังตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 นั้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ความปรากฏแก่ศาลเองหรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานก็ตาม จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า จำเลยยอมรับหรือไม่คัดค้านในข้อที่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีก่อนให้ลงโทษจำคุกและโทษจำคุกนั้นศาลให้รอการลงโทษไว้เสียก่อน ศาลจึงจะนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจำคุกในคดีหลังได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การว่าขอให้การรับสารภาพตามฟ้องทุกประการ อันเป็นเพียงการยอมรับว่ากระทำความผิดตามคำฟ้องเท่านั้นมิได้เป็นการยอมรับว่าเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีก่อนที่โจทก์อ้างมาในคำฟ้อง ทั้งโจทก์ไม่สืบพยานให้ปรากฏความในเรื่องนี้ จึงไม่อาจฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกและโทษจำคุกนั้นศาลรอการลงโทษไว้ ที่ศาลล่างทั้งสองนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้มาบวกเข้ากับโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้จึงไม่ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขได้เองแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา