คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ดุลยกรณ์พิทารณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 614 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 84/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งข้อหา, การสอบสวนพยาน, และความผิดของเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา134 ที่บัญญัติให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาให้ผู้ต้องหาทราบก่อนทำการสอบสวนหมายความว่า กฎหมายต้องการให้ผู้ต้องหารู้ตัวก่อนสอบสวนว่าตนต้องถูกสอบสวนเรื่องอันใดเป็นประธานที่ต้องทำการสอบสวนมิได้หมายความว่าจะต้องแจ้งทุกๆ กระทงความผิด แม้เดิมจะตั้งข้อหาฐานหนึ่ง แต่เมื่อสอบสวนแล้วปรากฏว่าเป็นความผิดฐานอื่นด้วย ก็เรียกว่าได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นด้วยแล้ว
เดิมพยานโจทก์ถูกสอบสวนในฐานผู้ต้องหา ต่อมาอัยการผู้สอบสวนพูดว่าจะให้การตามความจริงได้ไหม ถ้าให้การตามความจริงจะเอาเป็นพยานพยานโจทก์ปากนี้เกรงว่าจะตกเป็นผู้ต้องหาจึงให้การใหม่ และกลับให้การใหม่เปลี่ยนข้อเท็จจริงโยนบรรดาการกระทำผิดทั้งหลายที่ให้การไว้เดิมอันเป็นข้อพิรุธของตนนั้นให้เป็นการกระทำของจำเลยโดยสิ้นเชิงเช่นนี้เป็นการไม่ชอบด้วยวิธีการสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา133
จำเลยเป็นอัยการแต่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวกับคดีนี้แม้จะฟังว่าจำเลยเป็นผู้บอกให้พยานกลับเมื่อพยานนั้นเป็นพยานที่ศาลหมายเรียกมา ไม่ใช่อัยการนำไปให้ศาลสืบดังนั้นการที่จะให้พยานรอเพื่อเบิกความหรือให้กลับย่อมเป็นเรื่องของศาลทั้งได้ความจากพยานโจทก์ว่าการบอกให้พยานกลับไม่จำเป็นต้องเฉพาะอัยการเป็นผู้บอกทั้งไม่ได้ความว่าจำเลยแสดงต่อพยานนั้นว่าจำเลยเป็นอัยการคงทำหน้าที่นั้นอยู่ดังนี้จึงเรียกไม่ได้ว่าจำเลยยังขืนกระทำการตามตำแหน่งหน้าที่อัยการอันเป็นความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา127 วรรคสองฎีกาที่ 1121/2494 ฎีกาที่ 545/2496

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 84/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสอบสวนผู้ต้องหา, การแจ้งข้อหา, และความผิดของเจ้าพนักงาน, รวมถึงการกระทำหน้าที่พ้นตำแหน่ง
ป.วิ.อาญา ม.134 ที่บัญญัติให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาให้ผู้ต้องหาทราบก่อนทำการสอบสวน หมายความว่า กฎหมายต้องการให้ผู้ต้องหารู้ตัวก่อนสอบสวนว่าตนต้องถูกสอบสวนเรื่องอันใดเป็นประธานที่ต้องทำการสอบสวน มิได้หมายความว่าจะต้องแจ้งทุก ๆ กะทงความผิดแม้เดิมจะตั้งข้อหาฐานหนึ่ง แต่เมื่อสอบสวนแล้วปรากฏว่าเป็นความผิดฐานอื่นด้วย ก็เรียกว่าได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นด้วยแล้ว
เดิมพยานโจทก์ถูกสอบสวนในฐานผู้ต้องหา ต่อมาอัยการผู้สอบสวนพูดว่าจะให้การตามความจริงได้ไหม ถ้าให้การตามความจริงจะเอาเป็นพยาน ๆ โจทก์ปากนี้เกรงว่าจะตกเป็นผู้ต้องหาจึงให้การใหม่ และกลับให้การใหม่เปลี่ยนข้อเท็จจริงโยนบรรดาการกระทำผิดทั้งหลายที่ให้การไว้เดิมอันเป็นข้อพิรุธของตนนั้นให้เป็นการกระทำของจำเลยโดยสิ้นเชิง เช่นนี้เป็นการไม่ชอบด้วยวิธีการสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา ม.133
จำเลยเป็นอัยการแต่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวกับคดี แม้จะฟังว่าจำเลยเป็นผู้บอกให้พยานกลับ เมื่อพยานนั้นเป็นพยานที่ศาลหมายเรียกมา ไม่ใช่อัยการนำไปให้ศาลสืบ ดังนั้นการที่จะให้พยานรอเพื่อเบิกความหรือให้กลับย่อมเป็นเรื่องของศาล ทั้งได้ความจากพยานโจทก์ว่าการบอกให้พยานกลับไม่จำเป็นต้องเฉพาะอัยการเป็นผู้บอกทั้งไม่ได้ความว่าจำเลยแสดงต่อพยานนั้นว่าจำเลยเป็นอัยการคงทำหน้าที่นั้นอยู่ ดังนี้จึงเรียกไม่ได้ว่าจำเลยยังขืนกระทำการตามตำแหน่งหน้าที่อัยการอันเป็นความผิดตาม ก.ม.อาญา ม.127 วรรค 2.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 30/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความชัดเจนของฟ้องละเมิด: การบรรยายเหตุและจำนวนเงินเรียกคืนเพียงพอต่อการดำเนินคดี
การที่โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่าจำเลยหลอกลวงให้โจทก์หลงเชื่อว่าจำเลยเป็นเจ้าของเครื่องสูบน้ำสองเครื่องและโจทก์ตกลงรับซื้อจ่ายราคาให้ 26,640 บาท แล้วโจทก์ขายต่อให้นายอุทัย.ภายหลังปรากฏว่าเครื่องสูบน้ำนี้เป็นของกรมชลประทาน จำเลยยักยอกมา ตำรวจจึงไปเอาคืนมา.โจทก์ได้ชดใช้ราคาเครื่องสูบน้ำแก่นายอุทัยไปแล้วจึงฟ้องให้จำเลยรับไปจากโจทก์ข้างต้น ดังนี้ถือว่าโจทก์บรรยายเหตุที่จำเลยกระทำละเมิดไว้ชัดเจน และเรียกจำนวนเงินที่จำเลยรับไปจากโจทก์คืนนับว่าเป็นฟ้องที่มีมูลกรณีชัดแจ้งแล้ว
ส่วนข้อทีโจทก์มิได้บรรยายว่าได้จ่ายเงินค่าสูบน้ำแก่นายอุทัยผู้ซื้อจากโจทก์เท่าใดและเมื่อใดนั้นตามฟ้องก็กล่าวพอจะให้เข้าใจได้ว่าใช้ตามราคาที่ขายแก่นายอุทัยและตาม 2 ข้อนี้ไม่ใช่ประเด็นโดยตรงของการละเมิด.ฉนั้นจึงถือได้ว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 30/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องละเมิดจากการซื้อขายเครื่องสูบน้ำที่พิสูจน์ได้ว่ายักยอกมา ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องไม่เคลือบคลุม
การที่โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่าจำเลยหลอกลวงให้โจทก์หลงเชื่อว่าจำเลยเป็นเจ้าของเครื่องสูบน้ำสองเครื่องและโจทก์ตกลงรับซื้อจ่ายราคาให้ 26,640 บาท แล้วโจทก์ขายต่อให้นายอุทัยภายหลังปรากฏว่าเครื่องสูบน้ำ นี้เป็นของกรมชลประทาน จำเลยยักยอกมาตำรวจจึงไปเอาคืนมา โจทก์ได้ชดใช้ราคาเครื่องสูบน้ำแก่นายอุทัยไปแล้วจึงฟ้องให้จำเลยชดใช้ราคาที่จำเลยรับไปจากโจทก์ข้างต้น ดังนี้ถือว่าโจทก์บรรยายเหตุที่จำเลยกระทำละเมิดไว้ชัดเจนและเรียกจำนวนเงินที่จำเลยรับไปจากโจทก์คืนนับว่าเป็นฟ้องที่มีมูลกรณีชัดแจ้งแล้ว
ส่วนข้อที่โจทก์มิได้บรรยายว่าได้จ่ายเงินค่าสูบน้ำแก่นายอุทัยผู้ซื้อจากโจทก์เท่าใดและเมื่อใดนั้นตามฟ้องก็กล่าวพอจะให้เข้าใจได้ว่าใช้ตามราคาที่ขายแก่นายอุทัยและตาม 2 ข้อ นี้ไม่ใช่ประเด็นโดยตรงของการละเมิดฉะนั้นจึงถือได้ว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สมคบคิดร่วมกันทำร้ายร่างกายและพยายามฆ่า โดยมีพฤติการณ์สนับสนุนการกระทำผิด
จำเลยทั้งสามกับพวกได้เข้าไปในส่วนผู้มีชื่อพร้อมกัน ขณะนั้นเป็นเวลาดึกมากไม่ใช่เวลาที่จำเลยกับพวกจะไปปรากฏตัวอยู่,ได้ก่อเหตุระรานผู้เสียหายกล่าวคือพวกของจำเลยคนหนึ่งตีผู้เสียหายอีกคนหนึ่ง ยิงผู้เสียหาย-อีกคนหนึ่งต่อหน้าต่อตาจำเลยทั้งสาม แต่จำเลยทั้งสามไม่มีใครห้ามปรามเลย กลับยังอยู่เป็นกำลังใจให้พรรคพวก แล้วพวกของตนก็ยิงกระหน่ำเข้าไปในใต้ถุนเรือนซึ่งมีผู้เสียหายซ่อนอยู่อีก 6 นัด เมื่อชาวบ้านมาร้องขอ จำเลยทั้งสามกับพวกจึงพากันออกจากบ้านผู้มีชื่อไปพร้อมกันพฤติการณ์เช่นนี้แสดงชัดว่าจำเลยทั้งสามได้สมคบกันกับพวกของจำเลยไปกระทำความผิด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สมคบกันพยายามฆ่าและก่อเหตุรุนแรง: พฤติการณ์สนับสนุนการสมคบเพื่อกระทำผิด
จำเลยทั้งสามกับพวกได้เข้าไปในบ้านผู้มีชื่อพร้อมกันขณะนั้นเป็นเวลาดึกมากไม่ใช่เวลาที่จำเลยกับพวกจะไปปรากฏตัวอยู่ได้ก่อเหตุระรานผู้เสียหายกล่าวคือพวกของจำเลยคนหนึ่งตีผู้เสียหายอีกคนหนึ่งยิงผู้เสียหายอีกคนหนึ่งต่อหน้าต่อตาจำเลยทั้งสามแต่จำเลยทั้งสามไม่มีใครห้ามปรามเลย กลับยังอยู่เป็นกำลังใจให้พรรคพวก แล้วพวกของตนก็ยิงกระหน่ำเข้าไปในใต้ถุนเรือนซึ่งมีผู้เสียหายซ่อนอยู่อีก 6 นัดเมื่อชาวบ้านมาร้องขอจำเลยทั้งสามกับพวกจึงพากันออกจากบ้านผู้มีชื่อไปพร้อมกันพฤติการณ์เช่นนี้แสดงชัดว่าจำเลยทั้งสามได้สมคบกันกับพวกของจำเลยไปกระทำความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1764/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พินัยกรรมยกทรัพย์: สิทธิสามีในการจัดการทรัพย์สินหลังภรรยาเสียชีวิต และขอบเขตของข้อตกลงร่วม
สามีภรรยาต่างทำพินัยกรรมให้แก่กัน พินัยกรรมของภรรยามีข้อความว่า "เมื่อข้าพเจ้าวายชนม์แล้ว บรรดาทรัพย์สินและสิทธิทั้งหลายของข้าพเจ้าซึ่งมีอยู่ในเวลานี้และมีต่อไปภายหน้า ขอให้ตกเป็นกรรมสิทธิแก่สามี(ขุนอุปพงษ์ฯ) ผู้รับพินัยกรรม แต่ถ้าขุนอุปพงษ์ฯถึงแก่กรรมล่วงลับไปก่อนข้าพเจ้าก็ขอให้ทรัพย์สินและสิทธิทั้งหลายของข้าพเจ้าตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ (คุณหญิงเลขวณิชฯ)เป็นผู้รับพินัยกรรม ฯลฯ" และตามพินัยกรรมของสามี (ขุนอุปพงษ์ฯ)ก็มีข้อความทำนองเดียวกัน ยกทรัพย์ให้แก่ภรรยา (นางจันทร์) ถ้านางจันทร์ล่วงลับไปก่อนก็ยกทรัพย์ให้แก่โจทก์ (คุณหญิงเลขวณิชฯ)
ดังนี้เมื่อภรรยา (นางจันทร์)ตายไปก่อน ทรัพย์มรดกของภรรยา(นางจันทร์) ก็ตกได้แก่สามี(ขุนอุปพงษ์) ตามพินัยกรรมสามีย่อมมีสิทธิที่จะยกทรัพย์ให้แก่ผู้อื่นได้ ไม่มีข้อผูกพันตาม กฎหมาย ที่สามี(ขุนอุปพงษ์ฯ)จำต้องยกทรัพย์ให้แก่โจทก์ เพราะทรัพย์นั้นเป็นของสามี(ขุนอุปพงษ์ฯ) โดยเด็ดขาด ตามกฎหมาย สามีมีสิทธิจะยกทรัพย์ให้ใครๆ ก็ได้แล้ว ต่อมาทำพินัยกรรมยกทรัพย์ไปให้ผู้อื่นมิได้ปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้กับภรรยา ว่าจะให้โจทก์ก็ตาม ก็ไม่เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตเพราะข้อตกลงนั้นฟังได้อย่างมากก็เพียงว่าผู้ทำพินัยกรรมทั้งสองตกลงจะยกทรัพย์ให้แก่โจทก์เมื่อตาย แต่เมื่อมิได้ทำพินัยกรรมยกให้ไว้โดยตรงดั่งบัญญัติไว้ใน มาตรา 536 แล้วก็ใช้บังคับไม่ได้ และเรื่องนี้เป็นการยกทรัพย์ให้กันตามพินัยกรรมไม่ใช่เรื่องคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374
ข้อผูกพันให้ทรัพย์ตกได้แก่โจทก์ใช้บังคับมิได้เพราะขัดต่อ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1707 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 24/2498)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1764/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พินัยกรรมร่วม: สิทธิการยกทรัพย์หลังคู่สมรสเสียชีวิต ไม่ผูกพันตามข้อตกลงเดิม
สามีภรรยาต่างทำพินัยกรรมให้แก่กัน พินัยกรรมของภรรยามีข้อความว่า "เมื่อข้าพเจ้าวายชนม์แล้ว บรรดาทรัพย์สินและสิทธิทั้งหลายของข้าพเจ้าซึ่งมีอยู่ในเวลานี้และมีต่อไปภายหน้า ขอให้ตกเป็นกรรมสิทธิแก่สามี(ขุนอุปพงษ์ฯ) ผู้รับพินัยกรรม แต่ถ้าขุนอุปพงษ์ฯถึงแก่กรรมล่วงลับไปก่อนข้าพเจ้าก็ขอให้ทรัพย์สินและสิทธิทั้งหลายของข้าพเจ้าตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ (คุณหญิงเลขวณิชฯ)เป็นผู้รับพินัยกรรม ฯลฯ" และตามพินัยกรรมของสามี (ขุนอุปพงษ์ฯ)ก็มีข้อความทำนองเดียวกัน ยกทรัพย์ให้แก่ภรรยา (นางจันทร์) ถ้านางจันทร์ล่วงลับไปก่อนก็ยกทรัพย์ให้แก่โจทก์ (คุณหญิงเลขวณิชฯ)
ดังนี้เมื่อภรรยา (นางจันทร์)ตายไปก่อน ทรัพย์มรดกของภรรยา(นางจันทร์) ก็ตกได้แก่สามี(ขุนอุปพงษ์) ตามพินัยกรรมสามีย่อมมีสิทธิที่จะยกทรัพย์ให้แก่ผู้อื่นได้ ไม่มีข้อผูกพันตาม กฎหมาย ที่สามี(ขุนอุปพงษ์ฯ)จำต้องยกทรัพย์ให้แก่โจทก์ เพราะทรัพย์นั้นเป็นของสามี(ขุนอุปพงษ์ฯ) โดยเด็ดขาด ตามกฎหมาย สามีมีสิทธิจะยกทรัพย์ให้ใครๆ ก็ได้แล้ว ต่อมาทำพินัยกรรมยกทรัพย์ไปให้ผู้อื่นมิได้ปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้กับภรรยา ว่าจะให้โจทก์ก็ตาม ก็ไม่เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตเพราะข้อตกลงนั้นฟังได้อย่างมากก็เพียงว่าผู้ทำพินัยกรรมทั้งสองตกลงจะยกทรัพย์ให้แก่โจทก์เมื่อตาย แต่เมื่อมิได้ทำพินัยกรรมยกให้ไว้โดยตรงดั่งบัญญัติไว้ใน มาตรา 536 แล้วก็ใช้บังคับไม่ได้ และเรื่องนี้เป็นการยกทรัพย์ให้กันตามพินัยกรรมไม่ใช่เรื่องคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374
ข้อผูกพันให้ทรัพย์ตกได้แก่โจทก์ใช้บังคับมิได้เพราะขัดต่อ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1707 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 24/2498)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1752/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเช่าเพื่อทำการค้า: เรือนพิพาทไม่ใช่เคหะตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ แม้มีอยู่อาศัยด้วย
คดีที่ฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงซึ่งยุติแล้วตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา
เมื่อเรือนพิพาทอยู่ในทำเลที่มีการค้าและเป็นสถานที่ซึ่งทำการติดต่อกับการค้าทั้งได้เคยทำการค้ามาก่อนกับจำเลยก็ได้เช่าไว้เพื่อทำการค้า ถึงแม้ว่าจำเลยและครอบครัวจะอยู่ด้วยก็อยู่เพื่อประกอบการค้านั่นเองดังนั้นเรือนพิพาทจึงมิใช่เคหะอันจะได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ
เมื่อฟังว่าจำเลยเช่าเรือนพิพาทเพื่อทำการค้าจริงๆ ดังสัญญาเช่าที่โจทก์อ้างประกอบฟ้องแล้ว ประเด็นเรื่องนิติกรรมอำพรางตามข้อต่อสู้ของจำเลยก็ย่อมตกไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1752/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเช่าเพื่อทำการค้า มิใช่เคหะ: ศาลยืนตามข้อเท็จจริงที่ยุติว่าเรือนพิพาทเป็นที่ทำการค้า ไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
คดีที่ฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงซึ่งยุติแล้วตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา
เมื่อเรือนพิพาทอยู่ในทำเลที่มีการค้าและเป็นสถานที่ซึ่งทำการติดต่อกับการค้าทั้งได้เคยทำการค้ามาก่อนกับจำเลยก็ได้เช่าไว้เพื่อทำการค้า ถึงแม้ว่าจำเลยและครอบครัวจะอยู่ด้วยก็อยู่เพื่อประกอบการค้านั่นเองดังนั้นเรือนพิพาทจึงมิใช่เคหะอันจะได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ
เมื่อฟังว่าจำเลยเช่าเรือนพิพาทเพื่อทำการค้าจริงๆ ดังสัญญาเช่าที่โจทก์อ้างประกอบฟ้องแล้ว ประเด็นเรื่องนิติกรรมอำพรางตามข้อต่อสู้ของจำเลยก็ย่อมตกไป
of 62