คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ดุลยกรณ์พิทารณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 614 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1031/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความและหน้าที่ทำบัญชี: ศาลยกฟ้องฐานสมรู้ร่วมคิดหากไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายเฉพาะ
จำเลยผู้ทำการโรงสีไม่ได้ทำบัญชีข้าวและข้าวเปลือกตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 201 อันมีโทษตาม มาตรา 208แต่ขณะพิจารณาคดีได้ประกาศใช้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ.2496 บังคับแล้ว พระราชบัญญัตินี้ได้ยกเลิกและบัญญัติเรื่องการทำบัญชีข้าวและข้าวเปลือกใหม่ตาม มาตรา 40 โดยแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร มาตรา 87ทวิขึ้นใหม่และมีบทลงโทษตาม มาตรา 93 ซึ่งมีโทษเบากว่า การกระทำของจำเลยจึงต้องนำ มาตรา 87ทวิและ มาตรา 93 มาใช้บังคับและต้องนำอายุความสำหรับบทลงโทษ ตามกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะพิจารณาคดีซึ่งมีโทษเบากว่ามาใช้บังคับแก่คดีด้วย
หน้าที่ทำบัญชีตาม พระราชบัญญัติบัญชีนั้นเป็นหน้าที่เฉพาะบุคคลตามที่ระบุไว้ใน พระราชบัญญัติการบัญชี มาตรา 7บุคคลอื่นที่ไม่มีหน้าที่ทำบัญชีจะเรียกว่าเป็นผู้ละเว้นกระทำไม่ได้ และจะช่วยสมรู้หรือสมคบในการไม่กระทำตามหน้าที่ของคนอื่นก็ไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 1 ผู้เดียว โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานสมรู้กระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ฎีกาถ้าเป็นเหตุในลักษณะคดีแล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาให้เป็นผลดีแก่จำเลยที่ 1 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1031/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีภาษีและการสมรู้ร่วมคิดในความผิดฐานไม่ทำบัญชีตามกฎหมาย
จำเลยผู้ทำการโรงสีไม่ได้ทำบัญชีข้าวและข้าวเปลือกตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร ม.201 อันมีโทษตาม ม.208 แต่ขณะพิจารณาคดีได้ประกาศใช้ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 บังคับ พ.ร.บ.นี้ได้ยกเลิกและบัญญัติเรื่องการทำบัญชีข้าวและข้าวเปลือกใหม่ตาม ม.40 โดยแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ม.87 ทวิขึ้นใหม่และมีบทลงโทษตาม ม.93 ซึ่งมีโทษเบากว่า การกระทำของจำเลยจึงต้องนำ ม.87 ทวิ และ ม.93 มาใช้บังคับและต้องนำอายุความสำหรับบทลงโทษตาม ก.ม. ที่ใช้อยู่ในขณะพิจารณาคดีซึ่งมีโทษเบากว่ามาใช้บังคับแก่คดีด้วย
หน้าที่ทำบัญชีตาม พ.ร.บ.บัญชีนั้นเป็นหน้าที่เฉพาะบุคคลตามที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ. การบัญชี ม.7 บุคคลอื่นที่ไม่มีหน้าที่ทำบัญชีจะเรียกว่าเป็นผู้ละเว้นกระทำไม่ได้ และจะช่วยสมรู้หรือสมคบในการไม่กระทำตามหน้าที่คนอื่นไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 1 ผู้เดียว โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ด้วยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานสมรู้กระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ฎีกา ถ้าเป็นเหตุในลักษณะคดีแล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาให้เป็นผลดีแก่จำเลยที่ 1ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1031/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีภาษี และความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดในคดีบัญชี การยกฟ้องจำเลยที่ 2
จำเลยผู้ทำการโรงสีไม่ได้ทำบัญชีข้าวและข้าวเปลือกตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 201 อันมีโทษตาม มาตรา 208แต่ขณะพิจารณาคดีได้ประกาศใช้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ.2496 บังคับแล้ว พระราชบัญญัตินี้ได้ยกเลิกและบัญญัติเรื่องการทำบัญชีข้าวและข้าวเปลือกใหม่ตาม มาตรา 40 โดยแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร มาตรา 87ทวิขึ้นใหม่และมีบทลงโทษตาม มาตรา 93 ซึ่งมีโทษเบากว่า การกระทำของจำเลยจึงต้องนำ มาตรา 87ทวิและ มาตรา 93 มาใช้บังคับและต้องนำอายุความสำหรับบทลงโทษ ตามกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะพิจารณาคดีซึ่งมีโทษเบากว่ามาใช้บังคับแก่คดีด้วย
หน้าที่ทำบัญชีตาม พระราชบัญญัติบัญชีนั้นเป็นหน้าที่เฉพาะบุคคลตามที่ระบุไว้ใน พระราชบัญญัติการบัญชี มาตรา 7บุคคลอื่นที่ไม่มีหน้าที่ทำบัญชีจะเรียกว่าเป็นผู้ละเว้นกระทำไม่ได้ และจะช่วยสมรู้หรือสมคบในการไม่กระทำตามหน้าที่ของคนอื่นก็ไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 1 ผู้เดียว โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานสมรู้กระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ฎีกาถ้าเป็นเหตุในลักษณะคดีแล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาให้เป็นผลดีแก่จำเลยที่ 1 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1026/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีและการบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ โดยการฟ้องต้องระบุฐานะชัดเจน
คำฟ้องบรรยายว่าขอยื่นฟ้องนางคลี่มารดาผู้แทนโดยชอบธรรมด.ญ.ยุพิน กับพวก จำเลยนั้น เมื่อไม่แสดงให้ชัดแจ้งว่าฟ้องในฐานะอย่างอื่น ก็ต้องว่าฟ้องนางคลี่เป็นส่วนตัว ที่กล่าวว่าเป็นมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมก็เพียงระบุว่านางคลี่คนไหนเท่านั้น
การแปลคำฟ้องที่จะให้เป็นผลร้ายแก่ผู้เยาว์ โดยโจทก์ไม่แสดงให้แน่ชัดหาได้ไม่
สัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์และจำเลย ผู้มารดาในฐานะส่วนตัวทำกันไว้หาผูกพันทรัพย์สินของเด็กไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1026/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีและสัญญาประนีประนอมยอมความที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ จำเลยต้องได้รับความยินยอม
คำฟ้องบรรยายว่าขอยื่นฟ้องนางคลี่มารดาผู้แทนโดยชอบธรรมด.ญ.ยุพิน กับพวก จำเลยนั้น เมื่อไม่แสดงให้ชัดแจ้งว่าฟ้องในฐานะอย่างอื่น ก็ต้องว่าฟ้องนางคลี่เป็นส่วนตัว ที่กล่าวว่าเป็นมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมก็เพียงระบุว่านางคลี่คนไหนเท่านั้น
การแปลคำฟ้องที่จะให้เป็นผลร้ายแก่ผู้เยาว์ โดยโจทก์ไม่แสดงให้แน่ชัดหาได้ไม่
สัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์และจำเลย ผู้มารดาในฐานะส่วนตัวทำกันไว้หาผูกพันทรัพย์สินของเด็กไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1004/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเฉลี่ยทรัพย์สินของลูกหนี้: ฎีกาไม่อาจวินิจฉัยได้เนื่องจากข้ออ้างไม่ชัดเจนและขาดการสืบพยาน
โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดทรัพย์สินของจำเลย ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ ตามคำพิพากษาในคดีสำนวนอื่นของจำเลยขอเฉลี่ยทรัพย์อ้างว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดอีกแล้วนอกจากที่โจกท์นำยึดเท่านั้น
โจทก์ฎีกาคัดค้าน เมื่อฎีกาของโจทก์คลุมเครือไม่แจ้งชัดว่าหมายถึงเจ้าหนี้รายใด (ผู้ร้องขอเฉลี่ยหลายราย) และข้ออ้างว่ากระไร ดังนี้ศาลฎีกาไม่อาจวินิจฉัยให้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1004/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเฉลี่ยทรัพย์สินของจำเลยระหว่างเจ้าหนี้หลายราย ศาลฎีกาไม่สามารถวินิจฉัยได้เนื่องจากฎีกาโจทก์ไม่ชัดเจน
โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดทรัพย์สินของจำเลยผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีสำนวนอื่นของจำเลยขอเฉลี่ยทรัพย์ อ้างว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดอีกแล้วนอกจากที่โจทก์นำยึดเท่านั้น
โจทก์ฎีกาคัดค้าน เมื่อฎีกาของโจทก์คลุมเครือไม่แจ้งชัดว่าหมายถึงเจ้าหนี้รายใด(ผู้ร้องขอเฉลี่ยหลายราย)และข้ออ้างว่ากระไร ดังนี้ศาลฎีกาไม่อาจวินิจฉัยให้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 947-948/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีประมาททางจราจร: เอกชนฟ้องคดีความผิดต่อทางสาธารณะไม่ได้
ก.ม.อาญา ม. 336 (15) เป็นความผิดเกี่ยวกับการประทุษร้ายต่อทางไปมาของสาธารณชน เนื่องจากกระทำให้ยานที่ขับขี่ไปมาในถนนหลวงโดนกันเพราะไม่ได้ประพฤติตามข้อบังคับสำหรับการขับขี่ยานซึ่งมีบัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.จราจรทางบกเป็นต้น ความมุ่งหมายของ พ.ร.บ.นี้มีข้อความชัดว่าเป็นการวางระเบียบจราจรทางบกเพื่อความสดวกและปลอดภัยของประชาชน เพราะฉนั้นเอกชนจึงไม่มีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับความผิดในมาตรานี้
ฎีกาที่ 1974/2497

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 947-948/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีความผิดพ.ร.บ.จราจรทางบก: เอกชนไม่มีอำนาจฟ้องหากเป็นความผิดต่อทางสาธารณชน
กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 336(15) เป็นความผิดเกี่ยวกับการประทุษร้ายต่อทางไปมาของสาธารณชนเนื่องจากกระทำให้ยานที่ขับขี่ไปมาในถนนหลวงโดนกันเพราะไม่ได้ประพฤติตามข้อบังคับสำหรับการขับขี่ยานซึ่งมีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจราจรทางบกเป็นต้น ความมุ่งหมายของ พระราชบัญญัตินี้มีข้อความชัดว่าเป็นการวางระเบียบจราจรทางบกเพื่อความสะดวกและปลอดภัยของประชาชน เพราะฉะนั้นเอกชนจึงไม่มีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับความผิดในมาตรานี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 935/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับอุทธรณ์แม้ทนายไม่มีอำนาจในตอนแรก และการแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ทนายลงชื่อในอุทธรณ์โดยไม่ได้รับมอบอำนาจ ศาลชั้นต้นสั่งรับเป็นอุทธรณ์ ต่อมาเมื่อพ้นอายุอุทธรณ์แล้วตัวความจึงได้ให้สัตยาบันและยื่นใบแต่งทนายใหม่มอบให้ทนายมีอำนาจอุทธรณ์ได้ กรณีเช่นนี้ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลก็ย่อมสั่งให้คู่ความจัดการแก้ไขเสียใหม่ให้ถูกต้องได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2498)
of 62