พบผลลัพธ์ทั้งหมด 614 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 779/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสภาพหนี้และการนำสืบเปลี่ยนแปลงเอกสารสัญญา รวมถึงผลของข้อตกลงการชำระหนี้ด้วยทรัพย์สิน
จำเลยรับว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้เงิน 4,000 บาท และสัญญามีข้อความว่า จำเลยรับเงินไปครบถ้วนแล้ว ดังนี้จำเลยจะขอนำสืบว่าความจริงจำเลยรับเงินไปเพียง 3,850 บาท ไม่ได้ เพราะเป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร
สัญญากู้มีข้อความว่า ถ้าเกินกำหนดจำเลยยอมไปโอนกรรมสิทธิที่นาให้แก่โจทก์ แต่โจทก์มิได้ฟ้องขอให้จำเลยโอนชดใช้หนี้โจทก์ โดยมิได้คำนึงถึงราคาตลาด โจทก์ได้ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินกู้คืนด้วย ตาม ม.656 วรรค 2 และ 3 นั้น ข้อตกลงที่เป็นโมฆะก็เฉพาะในเรื่องคิดราคาทรัพย์ที่ชำระหนี้แทนเงิน หาทำให้สัญญากู้เสียไปทั้งฉบับไม่
สัญญากู้มีข้อความว่า ถ้าเกินกำหนดจำเลยยอมไปโอนกรรมสิทธิที่นาให้แก่โจทก์ แต่โจทก์มิได้ฟ้องขอให้จำเลยโอนชดใช้หนี้โจทก์ โดยมิได้คำนึงถึงราคาตลาด โจทก์ได้ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินกู้คืนด้วย ตาม ม.656 วรรค 2 และ 3 นั้น ข้อตกลงที่เป็นโมฆะก็เฉพาะในเรื่องคิดราคาทรัพย์ที่ชำระหนี้แทนเงิน หาทำให้สัญญากู้เสียไปทั้งฉบับไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 702/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสัมพันธ์นายจ้างลูกจ้างและการลักทรัพย์: การจ้างวานตักน้ำไม่ถือเป็นความสัมพันธ์นายจ้างลูกจ้างตามมาตรา 294
จำเลยเป็นลูกจ้างตักน้ำคิดค่าจ้างเป็นรายราย จำเลยอาจจะตักก็ได้ไม่ตักก็ได้ ไม่มีความสัมพันธ์ที่จะบังคับหรือว่ากล่าวกันในฐานะนายจ้างลูกจ้างได้เช่นนี้ แม้จำเลยจะได้ลักทรัพย์ของผู้จ้างไปในขณะตักน้ำให้ก็ไม่เป็นผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 294 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 702/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสัมพันธ์นายจ้างลูกจ้าง: การจ้างวานตักน้ำไม่มีสภาพบังคับบัญชา ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
จำเลยเป็นลูกจ้างตักน้ำคิดค่าจ้างเป็นรายหาบจำเลยอาจจะตักก็ได้ไม่ตักก็ได้ไม่มีความสัมพันธ์ที่จะบังคับหรือว่ากล่าวกันในฐานะนายจ้างลูกจ้างได้เช่นนี้แม้จำเลยจะได้ลักทรัพย์ของผู้จ้างไปในขณะตักน้ำให้ก็ไม่เป็นผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 294(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ต้องแสดงการครอบครองจริง ต่อเนื่อง และเปิดเผย หากไม่มีหลักฐานแสดงสิทธิครอบครองชัดเจน สิทธิในที่ดินย่อมไม่สมบูรณ์
อ้างว่าครอบครองที่ 100 ไร่ แต่ได้ทำเพียงกานไม้เป็นแนวไว้และถากถางทำคันเพื่อปลูกโรงบ้างเล็กน้อยในบางปีนอกนั้นยังเป็นป่าอยู่ดังเดิม ยังไม่พอแสดงว่ามีสิทธิครอบครอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 662/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในที่ธรณีสงฆ์: การครอบครองปรปักษ์ใช้ไม่ได้ แม้ระยะเวลานาน
ที่ธรณีสงฆ์นั้นแม้ผู้ใดจะครอบครองมาช้านานเพียงใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิหรือสิทธิครอบครอง ทั้งนี้ก็เพราะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นแนวเดียวกันตามนัยที่ว่านี้มาแต่เดิม คือ พ.ร.บ.ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 ม.7 ความว่า " ที่วัดก็ดีที่ธรณีสงฆ์ก็ดีเป็นสมบัติทางศาสนาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นอัครศาสนูปถัมภก ทางปกครองรักษาโดยพระบรมราชานุภาพ ผู้ใดผู้หนึ่งจะโอนกรรมสิทธิที่นั้นไปไม่ได้ " แม้กฎหมายมาตรานี้จะได้ถูกแก้ไขโดย พ.ร.บ.ลักษณปกครองคณะสงฆ์แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2477 ให้มีการโอนกรรมสิทธิที่วัดหรือที่ธรณีสงฆ์ได้โดยอำนาจแห่งกฎหมายเฉพาะ และแม้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2484 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจะมีความในมาตรา 41 ว่า " ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์จะโอนกรรมสิทธิได้แต่โดยพระราชบัญญัติ " หลักการในเรื่องสิทธิของบุคคลเกี่ยวกันที่วัดก็คงเป็นไปเช่นเดิม คือบุคคลจะอ้างเอาที่วัดหรือที่ธรณีสงฆ์เป็นกรรมสิทธิของตนโดยอาศัยอำนาจปกครองโดยปรปักษ์หรือโดยอายุความไม่ได้ ทั้งนี้เป็นคนละเรื่องกันปัญหาข้อเท็จจริงที่ว่าที่แปลงใดเป็นที่วัดได้ประกอบกับพฤติการณ์แวดล้อมเป็นสำคัญ ถึงโจทก์สืบไม่ได้ความชัดว่าโจทก์ได้ที่พิพาทมาอย่างไร เพียงแต่นำสืบว่าเป็นที่ของวัดก็เพียงพอแล้วตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 948/2474 ระหว่างพระยาเพ็ชร์พิสัยศรีสวัสดิ์โจทก์ นายกบ นางเฮือน จำเลย กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นไล่จำเลยออกจากที่พิพาท เพิกถอนโฉนดที่ 5140 เฉพาะตอนที่ทับที่พิพาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นฟ้องกับศาลอุทธรณ์ในข้อกฎหมายในเบื้องต้นว่าที่ธรณีสงฆ์นั้นถึงแม้ผู้ใดจะครอบครองมาช้านานเพียงใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิหรือสิทธิครอบครอง ทั้งนี้ก็เพราะมีตัวบทกฎหมายบัญญัติไว้เป็นแนวเดียวกันตามนัยที่ว่านี้มาแต่เดิม คือพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 มาตรา 7 ความว่า " ที่วัดก็ดี ที่ธรณีสงฆ์ก็ดี เป็นสมบัติสำหรับทางศาสนาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นอัครศาสนูปถัมภก ทรงปกครองรักษาโดยพระบรมราชานุภาพ ผู้ใดผู้หนึ่งจะโอนกรรมสิทธิที่นั้นไปไม่ได้ " แม้กฎหมายมาตรานี้จะได้ถูกแก้ไขโดยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2477 ให้มีการโอนกรรมสิทธิที่วัดหรือที่ธรณีสงฆ์ได้โดยอำนาจแห่งกฎหมายเฉพาะ และแม้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2484 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจะมีความนมาตรา 41 ว่า " ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์จะโอนกรรมสิทธิได้แต่โดยพระราชบัญญัติ หลักการในเรื่องสิทธิของบุคคลเกี่ยวกับที่วัดก็คงเป็นไปเช่นเดิมคือบุคคลจะอ้างเอาที่วัดหรือที่ธรณีสงฆ์เป็นกรรมสิทธิของตนโดยอาศัยอำนาจปกครองโดยปรปักษ์หรือโดยอาศัยอายุความไม่ได้ ทั้งนี้เป็นคนละเรื่องกับปัญหาข้อเท็จจริงที่ว่า ที่แปลงหนึ่งๆ เป็นที่วัดหรือที่ธรณีสงฆ์หรือมิใช่ คดีนี้พิพาทกันในปัญหาข้อเท็จจริง คือโจทก์ว่าที่พิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ การที่จำเลยไปขอรังวัดออกโฉนดทับที่พิพาทนี้จึงเป็นการไม่ชอบ จำเลยว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่ธรณณีสงฆ์
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อนำสืบของโจทก์เลื่อนลอย ฟังไม่ได้ว่าที่พิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ ณ เวลาใดๆ จำเลยสืบได้ชัดว่าเป็นที่ของนางคำแม่ยายจำเลยและพวกจำเลยได้ปกครองติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายสิบปี โดยมิได้เสียค่าเช่าให้แก่ผู้ใด จำเลยจึงมีสิทธิครอบครองดีกว่าบุคคลอื่น ๆ เมื่อจำเลยไปร้องขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนด เจ้าพนักงานได้ไต่สวนแล้วได้ความว่าเป็นที่ว่างเปล่า แม้ศึกษาธิการจังหวัดจะคัดค้านแทนวัดดาวเรื่องเจ้าพนักงานที่ดินก็เห็นว่าหลักฐานทางวัดสู้ทางจำเลยไม่ได้ เจ้าพนักงานที่ดินจึงได้ออกโฉนดสำหรับที่รายพิพาทให้จำเลยรวมไปกับที่ดินซึ่งจำเลยซื้อนายเบิ้ม คำพิพากษาฎีกาที่ 984/2474 ที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นอ้าง ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ คดีนั้นศาลเชื่อว่าที่ที่พิพาทกันเป็นที่ธรณีสงฆ์มาแต่เดิม คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าที่รายพิพาทเคยเป็นที่ธรณีสงฆ์ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยืนตามศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นฟ้องกับศาลอุทธรณ์ในข้อกฎหมายในเบื้องต้นว่าที่ธรณีสงฆ์นั้นถึงแม้ผู้ใดจะครอบครองมาช้านานเพียงใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิหรือสิทธิครอบครอง ทั้งนี้ก็เพราะมีตัวบทกฎหมายบัญญัติไว้เป็นแนวเดียวกันตามนัยที่ว่านี้มาแต่เดิม คือพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 มาตรา 7 ความว่า " ที่วัดก็ดี ที่ธรณีสงฆ์ก็ดี เป็นสมบัติสำหรับทางศาสนาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นอัครศาสนูปถัมภก ทรงปกครองรักษาโดยพระบรมราชานุภาพ ผู้ใดผู้หนึ่งจะโอนกรรมสิทธิที่นั้นไปไม่ได้ " แม้กฎหมายมาตรานี้จะได้ถูกแก้ไขโดยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2477 ให้มีการโอนกรรมสิทธิที่วัดหรือที่ธรณีสงฆ์ได้โดยอำนาจแห่งกฎหมายเฉพาะ และแม้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2484 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจะมีความนมาตรา 41 ว่า " ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์จะโอนกรรมสิทธิได้แต่โดยพระราชบัญญัติ หลักการในเรื่องสิทธิของบุคคลเกี่ยวกับที่วัดก็คงเป็นไปเช่นเดิมคือบุคคลจะอ้างเอาที่วัดหรือที่ธรณีสงฆ์เป็นกรรมสิทธิของตนโดยอาศัยอำนาจปกครองโดยปรปักษ์หรือโดยอาศัยอายุความไม่ได้ ทั้งนี้เป็นคนละเรื่องกับปัญหาข้อเท็จจริงที่ว่า ที่แปลงหนึ่งๆ เป็นที่วัดหรือที่ธรณีสงฆ์หรือมิใช่ คดีนี้พิพาทกันในปัญหาข้อเท็จจริง คือโจทก์ว่าที่พิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ การที่จำเลยไปขอรังวัดออกโฉนดทับที่พิพาทนี้จึงเป็นการไม่ชอบ จำเลยว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่ธรณณีสงฆ์
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อนำสืบของโจทก์เลื่อนลอย ฟังไม่ได้ว่าที่พิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ ณ เวลาใดๆ จำเลยสืบได้ชัดว่าเป็นที่ของนางคำแม่ยายจำเลยและพวกจำเลยได้ปกครองติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายสิบปี โดยมิได้เสียค่าเช่าให้แก่ผู้ใด จำเลยจึงมีสิทธิครอบครองดีกว่าบุคคลอื่น ๆ เมื่อจำเลยไปร้องขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนด เจ้าพนักงานได้ไต่สวนแล้วได้ความว่าเป็นที่ว่างเปล่า แม้ศึกษาธิการจังหวัดจะคัดค้านแทนวัดดาวเรื่องเจ้าพนักงานที่ดินก็เห็นว่าหลักฐานทางวัดสู้ทางจำเลยไม่ได้ เจ้าพนักงานที่ดินจึงได้ออกโฉนดสำหรับที่รายพิพาทให้จำเลยรวมไปกับที่ดินซึ่งจำเลยซื้อนายเบิ้ม คำพิพากษาฎีกาที่ 984/2474 ที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นอ้าง ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ คดีนั้นศาลเชื่อว่าที่ที่พิพาทกันเป็นที่ธรณีสงฆ์มาแต่เดิม คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าที่รายพิพาทเคยเป็นที่ธรณีสงฆ์ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยืนตามศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 662/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ธรณีสงฆ์: สิทธิเหนือที่ดินสงฆ์ แม้ครอบครองนานก็ไม่เกิดกรรมสิทธิ์ การพิสูจน์ความเป็นที่ธรณีสงฆ์
ที่ธรณีสงฆ์นั้นแม้ผู้ใดจะครอบครองมาช้านานเพียงใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองทั้งนี้ก็เพราะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นแนวเดียวกันตามนัยที่ว่านี้มาแต่เดิม คือพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 มาตรา 7ความว่า 'ที่วัดก็ดีที่ธรณีสงฆ์ก็ดีเป็นสมบัติทางศาสนาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นอัครศาสนูปถัมภก ทางปกครองรักษาโดยพระบรมราชานุภาพ ผู้ใดผู้หนึ่งจะโอนกรรมสิทธิ์ที่นั้นไปไม่ได้' แม้กฎหมายมาตรานี้จะได้ถูกแก้ไขโดย พระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2477 ให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่วัดหรือที่ธรณีสงฆ์ได้โดยอำนาจแห่งกฎหมายเฉพาะและแม้ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2484 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจะมีความในมาตรา 41 ว่า 'ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์จะโอนกรรมสิทธิ์ได้แต่โดยพระราชบัญญัติ'หลักการในเรื่องสิทธิของบุคคลเกี่ยวกับที่วัดก็คงเป็นไปเช่นเดิมคือบุคคลจะอ้างเอาที่วัดหรือที่ธรณีสงฆ์เป็นกรรมสิทธิ์ของตนโดยอาศัยอำนาจปกครองโดยปรปักษ์หรือโดยอายุความไม่ได้ทั้งนี้เป็นคนละเรื่องกับปัญหาข้อเท็จจริงที่ว่าที่แปลงใดเป็นที่วัดหรือที่ธรณีสงฆ์หรือมิใช่ซึ่งในกรณีนี้จะต้องสืบให้ได้ความชัดฟังได้ว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 539/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการจับจองที่ดินและการฟ้องแย้งสิทธิ เมื่อถูกคัดค้านจนถูกระงับการออกใบเหยียบย่ำ
โจทก์ยื่นคำร้องขอจับจองที่ดินต่อคณะกรรมการอำเภอ จำเลยคัดค้าน คณะกรรมการอำเภอจึงยกคำร้องโจทก์เสีย เช่นนี้นับว่าสิทธิจับจองที่ดินของโจทก์ตาม พระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดินถูกโต้แย้งโจทก์มีสิทธิที่จะฟ้องจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 530/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม: การอ้างเหตุรับมรดกสองประการ และสิทธิครอบครองปรปักษ์
โจทก์ฟ้องขอให้แสดงกรรมสิทธิที่ดิน โดยบรรยายฟ้องใจความว่า โจทก์เป็นทายาทโดยธรรมของเจ้ามรดกเจ้าของกรรมสิทธิที่ดิน จำเลยไม่ใช่ทายาทไม่มิสิทธิรับมรดกแต่แม้จะฟังว่าจำเลยเป็นทายาท โจทก์ก็ได้ครอบครองเป็นเจ้าของที่เกิน 10 ปีแล้ว ฟ้องของโจทก์เช่นนี้เป็นการแสดงสิทธิโดยอ้างเหตุ 2 ประการ ซึ่งจำเลยเข้าใจและสามารถต่อสู้คดีได้ดี ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 530/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่เมื่ออ้างเหตุรับมรดกและครอบครองปรปักษ์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่เคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องขอให้แสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยบรรยายฟ้องใจความว่า โจทก์เป็นทายาทโดยธรรมของเจ้ามรดกเจ้าของกรรมสิทธิที่ดินจำเลยไม่ใช่ทายาทไม่มีสิทธิรับมรดกแต่แม้จะฟังว่าจำเลยเป็นทายาทโจทก์ก็ได้ครอบครองเป็นเจ้าของเกิน 10 ปีแล้วฟ้องของโจทก์เช่นนี้เป็นการแสดงสิทธิโดยอ้างเหตุ 2 ประการซึ่งจำเลยเข้าใจและสามารถต่อสู้คดีได้ดี ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 527/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง หากจำเลยไม่โต้แย้ง ถือเป็นการยอมรับ ทำให้ไม่ต้องสืบพยานเพิ่มเติม
โจทก์บรรยายฟ้องมาชัดเจนแล้ว แต่จำเลยมิได้ปฏิเสธหรือต่อสู้เป็นอย่างอื่นก็ต้องถือว่าจำเลยรับตามนั้นคดีไม่มีประเด็นที่โจทก์จะต้องนำสืบอีกต่อไป