คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุรพล เอี่ยมอธิคม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 26 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2262/2562

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท: การโอนสิทธิและข้ออ้างการหักกลบลบหนี้ไม่มีผลต่อสิทธิโจทก์
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท และขอให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 6,000 บาท นับจากวันฟ้อง จำเลยให้การว่า จำเลยอยู่ในฐานะเป็นผู้ที่จะได้รับการจดทะเบียนอยู่ก่อน โจทก์รับโอนที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง เป็นการต่อสู้โต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ซึ่งมีราคา 84,800 บาท แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและให้จำเลยชำระค่าเสียหายปีละ 6,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง ค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นค่าเสียหายในอนาคตไม่สามารถนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์ คดีตามฟ้องโจทก์จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยในส่วนฟ้องโจทก์ในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้อง
จำเลยร่วมทั้งสองให้จำเลยปลูกบ้านเพื่ออยู่กินกับบุตรสาวของจำเลยร่วมที่ 2 ซึ่งขณะนั้นที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ ต. แล้ว การที่ ร. และจำเลยร่วมทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทจึงถือเป็นการครอบครองแทน ต. การเข้าครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยจึงถือเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิ ร. และจำเลยร่วมทั้งสอง จึงถือว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทน ต. ด้วยเช่นกัน เมื่อ ต. โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ จำเลยจึงครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาทได้
คดีในส่วนฟ้องโจทก์มีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทหรือไม่เท่านั้น ซึ่งหากข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่ว่า หากจำเลยต้องชดใช้ราคาที่ดินให้แก่เจ้าของที่ดินเดิมก็ขอให้นำค่าใช้จ่ายที่จำเลยได้ก่อสร้างลงบนที่ดินพิพาทและค่าราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นมาขอหักกลบลบหนี้นั้น เป็นกรณีที่ศาลจะต้องรับฟังข้อเท็จจริงต่อไปอีกว่าเจ้าของที่ดินเดิมกับจำเลยมีหนี้สินต่อกันที่สามารถหักกลบลบหนี้กันได้หรือไม่ เพียงใด อันเป็นมูลหนี้มาจากนิติกรรมสัญญา มิได้เกี่ยวกับฟ้องเดิมที่โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1972/2562

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพยายามฆ่า, การป้องกันเกินสมควร, ผู้ก่อเหตุไม่ใช่ผู้เสียหาย, การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน, และการรอการลงโทษ
เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ร่วมเป็นผู้ก่อให้จำเลยที่ 2 กระทำความผิด โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยสำหรับความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) จึงไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตาม ป.วิ.อ. มาตรา 30 ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการจึงไม่ชอบ แต่อย่างไรก็ตาม แม้โจทก์ร่วมจะไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย แต่ผู้เสียหายยังคงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้เสียหายจะเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยหรือไม่ ผู้เสียหายในทางแพ่งชอบที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 325/2562

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมกันทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ศาลฎีกาพิพากษาแก้โทษจำเลยที่ 3-4
ความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควรตาม ป.อ. มาตรา 371 ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คนละ 1,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับวินิจฉัยความผิดตาม ป.อ. มาตรา 371 และพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงไม่ชอบ และไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่จำเลยที่ 2 ที่จะฎีกา กับทั้งไม่ใช่กรณีที่จะอนุญาตให้ฎีกาได้ การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งพิจารณาอนุญาตให้ฎีกาและรับฎีกาในความผิดฐานนี้จึงไม่ชอบ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 371 ย่อมยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 257/2562

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทุนทรัพย์พิพาทต้องเป็นราคาที่คู่ความตกลงหรือศาลรับรอง การหยิบยกราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดินโดยไม่ฟังคู่ความเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
ราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดินในสำนวนเป็นราคาที่คณะอนุกรรมการกำหนดไว้เพื่อการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น มิใช่ราคาที่แท้จริงของที่ดินพิพาท ราคาประเมินจึงมิใช่ทุนทรัพย์ที่แท้จริงในคดี เว้นแต่คู่ความจะรับรองและให้ใช้ราคาประเมินดังกล่าวเป็นทุนทรัพย์ โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทเนื้อที่ 2 ตารางวาเศษ ราคา 100,000 บาท ซึ่งโจทก์ขอถือเป็นทุนทรัพย์ในคดีนี้ โดยเสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ดังกล่าว และในชั้นอุทธรณ์ศาลชั้นต้นก็เรียกเก็บค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในทุนทรัพย์ 100,000 บาท การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 หยิบยกราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดินว่ามีราคาเพียง 24,800 บาท แล้วพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ โดยเห็นว่าคดีโจทก์ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงเป็นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่ปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (1) ประกอบมาตรา 252 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 จึงไม่ชอบ
of 3