พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,307 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1528-1529/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่มีนิติสัมพันธ์และสิทธิในการครอบครองห้องเช่า ทำให้การฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายไม่สำเร็จ
ฟ้องกล่าวว่าเมื่อโจทก์ทำสัญญาเช่าห้องพิพาทจากเจ้าของ จำเลยได้ครอบครองชั้นล่างของห้องพิพาทอยู่แล้ว โดยเช่าช่วงจากผู้เช่าเดิม ดังนี้จำเลยหาได้เข้าครอบครองโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ไม่ โจทก์จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน โจทก์จะฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยไม่ได้
โจทก์ตั้งประเด็นในฟ้องว่าจำเลยได้เช่าช่วงห้องพิพาทจากผู้เช่าเดิมมิได้เช่าจากโจทก์ แม้จำเลยจะให้การว่าได้เช่าจากโจทก์ก็ดี ศาลจะถือตามคำให้การจำเลยไม่ได้ เพราะขัดต่อคำให้การจำเลยไม่ได้ เพราะขัดต่อ ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 142
โจทก์ตั้งประเด็นในฟ้องว่าจำเลยได้เช่าช่วงห้องพิพาทจากผู้เช่าเดิมมิได้เช่าจากโจทก์ แม้จำเลยจะให้การว่าได้เช่าจากโจทก์ก็ดี ศาลจะถือตามคำให้การจำเลยไม่ได้ เพราะขัดต่อคำให้การจำเลยไม่ได้ เพราะขัดต่อ ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 142
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1528-1529/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่มีนิติสัมพันธ์กันระหว่างผู้เช่าช่วงกับผู้เช่าใหม่ ทำให้ฟ้องขับไล่ไม่ได้
ฟ้องกล่าวว่าเมื่อโจทก์ทำสัญญาเช่าห้องพิพาทจากเจ้าของจำเลยได้ครอบครองชั้นล่างของห้องพิพาทอยู่แล้ว โดยเช่าช่วงจากผู้เช่าเดิม ดังนี้ จำเลยหาได้เข้าครอบครองโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ไม่ โจทก์จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน โจทก์จะฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยไม่ได้
โจทก์ตั้งประเด็นในฟ้องว่า จำเลยได้เช่าช่วงห้องพิพาทจากผู้เช่าเดิมมิได้เช่าจากโจทก์ แม้จำเลยจะให้การว่าได้เช่าจากโจทก์ก็ดี ศาลจะถือตามคำให้การจำเลยไม่ได้ เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
โจทก์ตั้งประเด็นในฟ้องว่า จำเลยได้เช่าช่วงห้องพิพาทจากผู้เช่าเดิมมิได้เช่าจากโจทก์ แม้จำเลยจะให้การว่าได้เช่าจากโจทก์ก็ดี ศาลจะถือตามคำให้การจำเลยไม่ได้ เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1525/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวที่ไม่สมเหตุสมผล แม้ถูกทำร้ายก่อน ศาลไม่รับรอง
บุตรสาวผู้ตายหนีตามจำเลย ผู้ตายตามไปทัน ใช้ไม้ตีบุตรสาว จำเลยขอร้องผู้ตายกลับตีจำเลย จำเลยจึงใช้สนับมือชกผู้ตาย ผู้ตายเงื้อมีดที่ถือจะฟันจำเลยจำเลยจับมือมีดหลุดตกพื้นดิน ผู้ตายก้มลงจะเก็บแต่จำเลยไวกว่าแย่งมีดไว้ได้แล้วใช้มีดฟันผู้ตาย 2 ทีถึงตายเมื่อปรากฏว่าขณะจำเลยแย่งมีดได้จากผู้ตายผู้ตายไม่มีโอกาสจะต่อสู้ หากจำเลยจะยับยั้งไม่ใช้มีดนั้นฟันผู้ตายให้ตายก็ได้ แต่จำเลยหาละการอันควรเว้นไม่ ดังนี้การกระทำของจำเลยหาใช่การป้องกันไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1525/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย: การแย่งมีดและการละเว้นการยับยั้ง
บุตรสาวผู้ตายหนีตามจำเลย ผู้ตายตามไปทัน ใช้ไม้ตีบุตรสาว จำเลยขอร้องผู้ตายกลับตีจำเลย ๆ จึงใช้สนับมือชกผู้ตาย ผู้ตายเงื้อมีดที่ถือจะฟันจำเลย ๆ จับมือมีดหลุดตกพื้นดิน ผู้ตายก้มลงจะเก็บแต่จำเลยไวกว่าแย่งมีดไว้ได้แล้วใช้มีดฟันผู้ตาย 2 ที ถึงตาย เมื่อปรากฎว่าขณะจำเลยแย่งมีดได้จากผู้ตาย ผู้ตายไม่มีโอกาสจะต่อสู้หากจำเลยจะยับยั้งไม่ใช้มีดนั้นฟันผู้ตายให้ตายก็ได้แต่จำเลยหาละการอันควรเว้นไม่ ดังนี้การกระทำของจำเลยหาใช่การป้องกันไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1506/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษและลดโทษสำหรับผู้กระทำผิดอายุไม่เกิน 20 ปี มาตรา 58 ทวิ และ 72 ใช้หักกลบลบกันไม่ได้
มาตรา 58 ทวิแห่ง ก.ม.ลักษณะอาญา เป็นองคโทษอย่างเดียวกับมาตรา 60 จะนำมาหักกลบลบกับโทษที่เพิ่มตามมาตรา 72 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1506/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษและลดโทษสำหรับผู้กระทำผิดอายุไม่เกิน 20 ปี มาตรา 58 ทวิ และ 72 ไม่สามารถหักกลบลบกันได้
มาตรา 58 ทวิ แห่งกฎหมายลักษณะอาญา เป็นองค์โทษอย่างเดียวกับมาตรา 60 จะนำมาหักกลบลบกับโทษที่เพิ่มตามมาตรา 72 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1504/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของกรรมการบริษัท: การลงลายมือชื่อประทับตราต้องเป็นไปตามข้อบังคับบริษัท
บริษัทจำกัดมีกรรมการ 8 นาย ในจำนวนนี้ได้ระบุไว้ 3 นายเป็นกรรมการจัดการ ในข้อบังคับของบริษัทมีกรรมการจัดการหนึ่งนายกับกรรมการอื่นอีกหนึ่งนายลงชื่อประทับตราบริษัทแทนบริษัทได้ ฉะนั้นกรรมการจัดการทั้งสามนายจะลงชื่อประทับตราบริษัทแต่งทนายฟ้องคดีแทนบริษัท โดยไม่มีกรรมการอื่นอีกหนึ่งนายลงชื่อด้วยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1504/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของกรรมการบริษัทต้องเป็นไปตามข้อบังคับและประกาศจดทะเบียน หากไม่ปฏิบัติตามถือเป็นขาดอำนาจฟ้อง
บริษัทจำกัดมีกรรมการ 8 นาย ในจำนวนนี้ได้ระบุไว้ 3 นายเป็นกรรมการจัดการ ในข้อบังคับของบริษัทมีว่ากรรมการจัดการหนึ่งนายกับกรรมการอื่นอีกหนึ่งนาย ลงชื่อประทับตราบริษัทแทนบริษัทได้ ฉะนั้นกรรมการจัดการทั้งสามนายจะลงชื่อประทับตราบริษัทแต่งทนายฟ้องคดีแทนบริษัท โดยไม่มีกรรมการอื่นอีกหนึ่งนายลงชื่อด้วยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1495/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าอ้างเอกสารหน้าที่ศาลต้องเรียกจากผู้ที่อ้าง แม้ศาลชั้นต้นไม่ได้ถือเป็นเหตุแพ้ชนะ ศาลอุทธรณ์มีหน้าที่เรียกค่าอ้างก่อนพิพากษา
การเสียค่าอ้างเอกสารเป็นหน้าที่ของศาลจะพึงเรียกจากผู้อ้าง
เมื่อศาลชั้นต้นได้พิจารณาวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงพิพากษาคดีมาแล้ว โดยมิได้ถือเอาเอกสาที่ยังไม่ได้เสียค่าอ้างเป็นข้อแพ้ชนะ มาชั้นอุทธรณ์จึงเป็นหน้าที่ของศาลอุทธรณ์จะพึงเรียกค่าอ้างจากผู้อ้างเสียให้ถูกต้อง แล้วพิพากษาคดีไป หาควรให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ไม่
เมื่อศาลชั้นต้นได้พิจารณาวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงพิพากษาคดีมาแล้ว โดยมิได้ถือเอาเอกสาที่ยังไม่ได้เสียค่าอ้างเป็นข้อแพ้ชนะ มาชั้นอุทธรณ์จึงเป็นหน้าที่ของศาลอุทธรณ์จะพึงเรียกค่าอ้างจากผู้อ้างเสียให้ถูกต้อง แล้วพิพากษาคดีไป หาควรให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1495/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่ศาลในการเรียกค่าอ้างเอกสาร และอำนาจศาลอุทธรณ์ในการพิจารณาคดีเมื่อเอกสารไม่เสียค่าอ้าง
การเสียค่าอ้างเอกสารเป็นหน้าที่ของศาลจะพึงเรียกจากผู้อ้าง
เมื่อศาลชั้นต้นได้พิจารณาวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงพิพากษาคดีมาแล้ว โดยมิได้ถือเอาเอกสารที่ยังไม่ได้เสียค่าอ้างเป็นข้อแพ้ชนะ มาชั้นอุทธรณ์จึงเป็นหน้าที่ของศาลอุทธรณ์จะพึงเรียกค่าอ้างจากผู้อ้างเสียให้ถูกต้อง แล้วพิพากษาคดีไป หาควรให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ไม่
เมื่อศาลชั้นต้นได้พิจารณาวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงพิพากษาคดีมาแล้ว โดยมิได้ถือเอาเอกสารที่ยังไม่ได้เสียค่าอ้างเป็นข้อแพ้ชนะ มาชั้นอุทธรณ์จึงเป็นหน้าที่ของศาลอุทธรณ์จะพึงเรียกค่าอ้างจากผู้อ้างเสียให้ถูกต้อง แล้วพิพากษาคดีไป หาควรให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ไม่