พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,307 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 783/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนการพิจารณาคดีอาญาเนื่องจากพยานไม่สามารถมาศาลได้ทันตามกำหนด
คดีอาญา ในวันสืบพยานโจทก์นัดแรกโจทก์ได้ขอหมายศาลเพื่อส่งให้แก่พยานแล้วแต่พยานอยู่ไกล จึงส่งหมายให้ไม่ทัน เป็นเหตุให้ไม่มีพยานมาศาลนั้น นับว่ามีเหตุสมควรให้เลื่อนการพิจารณาไปสักครั้งหนึ่งได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 746/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดตามฟ้อง การพิพากษาต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำฟ้อง หากข้อเท็จจริงไม่ตรงกัน ศาลต้องยกฟ้อง
โจทก์กล่าวในฟ้องว่า "จำเลยทั้ง 17 คนนี้ได้กระทความผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือ จำเลยทุกคนได้บังอาจร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันเล่นการพนันซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการพนันถั่ว" และในตอนต่อไปในฟ้องข้อเดียวกันกล่าวว่า "โดยจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าสำนักจัดให้มีการเล่นเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน จำเลยที่ 2 เป็ฯเจ้ามือรับถินรับใช้ จำเลยอื่นๆเป็นผู้เล่น" นั้น เห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นผู้จัดให้มีการเล่น หาใช่ในฐานะเป็นผู้เล่นด้วยไม่
ถ้าทางพิจารณาปรากฎว่าจำเลยมิได้เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันตามฟ้อง แต่เป็นเพียงผู้เล่นเท่านั้น ต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในสาระสำคัญ อันเป็นเหตุให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ ย่อมลงโทษจำเลยไม่ได้.
ถ้าทางพิจารณาปรากฎว่าจำเลยมิได้เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันตามฟ้อง แต่เป็นเพียงผู้เล่นเท่านั้น ต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในสาระสำคัญ อันเป็นเหตุให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ ย่อมลงโทษจำเลยไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 746/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องผิดฐานและข้อเท็จจริงไม่ตรงกันเป็นเหตุให้ศาลต้องยกฟ้องจำเลย
โจทก์กล่าวในฟ้องว่า.'จำเลยทั้ง 17 คนนี้ได้กระทำความผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือจำเลยทุกคนได้บังอาจร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันเล่นการพนันซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการพนันถั่ว' และในตอนต่อไปในฟ้องข้อเดียวกันกล่าวว่า 'โดยจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าสำนักจัดให้มีการเล่นเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน จำเลยที่ 2 เป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ จำเลยอื่นๆ เป็นผู้เล่น' นั้น เห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นผู้จัดให้มีการเล่น หาใช่ในฐานะเป็นผู้เล่นด้วยไม่
ถ้าทางพิจารณาปรากฏว่าจำเลยมิได้เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันตามฟ้อง แต่เป็นเพียงผู้เล่นเท่านั้นต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในสารสำคัญ อันเป็นเหตุให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ ย่อมลงโทษจำเลยไม่ได้
ถ้าทางพิจารณาปรากฏว่าจำเลยมิได้เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันตามฟ้อง แต่เป็นเพียงผู้เล่นเท่านั้นต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในสารสำคัญ อันเป็นเหตุให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ ย่อมลงโทษจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 669/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงดูบุตรเมื่อผู้ปกครองยังไม่ได้เปลี่ยนตัว และหน้าที่บิดาในการอุปการะเลี้ยงดู
การที่บิดามารดาหย่ากันเอง และตกลงให้บิดาเป็นผู้ปกครองบุตรผู้เยาว์นั้น ตามปกติบิดาย่อมเป็นผู้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรตามควรแก่กรณี หากบิดาละเลยหรือประพฤติมิชอบให้เห็นว่าไม่สมควรแก่หน้าที่จนบุตรนั้นหนีมาอยู่กับมารดาเป็นเหตุให้มารดาต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูไปก็ดี มารดาก็ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินนั้นจากบิดาได้ แต่มารดาอาจร้องขอต่อศาลให้ถอนบิดาจากการเป็นผู้ปกครองเสียได้โดยขอตั้งผู้ปกครองใหม่ แล้วใช้สิทธิเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากบิดาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1536
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 669/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงดูบุตรหลังหย่า: ผู้ปกครองมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดู หากละเลยอาจถูกถอนอำนาจ
การที่บิดามารดาหย่ากันเอง และตกลงให้บิดาเป็นผู้ปกครองบุตรผู้เยาว์นั้นตามปกติบิดาย่อมเป็นผู้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรตามควรแก่กรณี หากบิดาละเลยหรือประพฤติมิชอบให้เห็นว่าไม่สมควรแก่หน้าที่จนบุตรนั้นหนีมาอยู่กับมารดาเป็นเหตุให้มารดาต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูไปก็ดีมารดาก็ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินนั้นจากบิดาได้แต่มารดาก็อาจร้องขอต่อศาลให้ถอนบิดาจากการเป็นผู้ปกครองเสียได้โดยขอตั้งผู้ปกครองใหม่แล้วใช้สิทธิเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากบิดาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1536
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 659/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบของกลาง (เกวียน, โค) ที่ใช้ในการกระทำความผิดฐานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยการรับสารภาพของจำเลย
ในคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำการแปรรูปไม้สักและมีไม้สักแปรรูปไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ตามฟ้องโจทก์ได้บรรยายว่าเกวียน 1 เล่ม โค 2 ตัวของกลางที่โจทก์ขอให้ริบนั้นเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเลยร่วมกันใช้ในการกระทำผิดและใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำผิดคดีนี้ ย่อมหมายความว่า รวมทั้งจำเลยร่วมกันใช้เกวียนและโคนั้นเป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิด คือ การแปรรูปไม้สักและมีไม้สักแปรรูปไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยนั่นเอง เมื่อจำเลยรับสารภาพตามฟ้องโดยไม่ต่อสู้คดี ก็ต้องถือว่า เกวียนและโคของกลางนั้นเป็นของที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดหรือได้ ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดตามที่โจทก์บรรยายไว้ในฟ้องอันต้องริบเสียตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 18
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 656/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่จำเลยในการขอรับรองฎีกา – ศาลไม่ต้องส่งให้เอง
เมื่อจำเลยต้องการให้อธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา 221 จำเลยก็ควรขอร้องไปยังอธิบดีกรมอัยการโดยตนเอง ศาลไม่มีหน้าที่ส่งฎีกาของจำเลยไปให้รับรอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 656/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่จำเลยในการขอรับรองฎีกา: ศาลไม่จำเป็นต้องส่งฎีกาให้ อธิบดีกรมอัยการ
เมื่อจำเลยต้องการให้อธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221จำเลยก็ควรขอร้องไปยังอธิบดีกรมอัยการโดยตนเอง ศาลไม่มีหน้าที่ส่งฎีกาของจำเลยไปให้รับรอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 558/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคืนสัญชาติไทยหลังเคยขอเป็นคนต่างด้าว และผลกระทบของกฎหมายสัญชาติที่แก้ไข
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เกิดในประเทศไทย มีสัญชาติไทย ต่อมาได้ไปประเทศจีนแล้วเดินทางกลับมากองตรวจคนเข้าเมืองให้อยู่ในประเทศไทยได้ภายในเวลาจำกัดโจทก์ร้องขอพิสูจน์สัญชาติว่าเป็นคนไทยต่อกองตรวจคนเข้าเมืองอธิบดีกรมตำรวจสั่งระงับการพิสูจน์สัญชาติโจทก์จึงขอให้พิพากษาแสดงว่าโจทก์เกิดในประเทศไทย มีสัญชาติเป็นไทย จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทยและไม่ได้เกิดในประเทศไทย แต่เกิดในประเทศจีน มีสัญชาติจีนโจทก์ร้องขออยู่ในประเทศไทยชั่วคราวโดยไม่มีที่สิ้นสุดจำเลยจึงสั่งไม่ให้โจทก์อยู่ต่อไป ดังนี้ มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าเป็นคนมีสัญชาติไทยหรือไม่
การที่โจทก์จะได้มาซึ่งสัญชาติไทยหรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
โจทก์เกิดในประเทศไทยและมีสัญชาติไทย แต่ต่อมาโจทก์ได้ขอใบสำคัญเป็นคนต่างด้าวโจทก์จึงขาดจากสัญชาติไทยไประยะหนึ่งในระหว่างที่พระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่2) พ.ศ.2496 มาตรา 5 ใช้บังคับอยู่แต่ต่อมามีพระราชบัญญัติฉบับที่ 3 พ.ศ.2499 ประกาศใช้ โจทก์ย่อมได้สัญชาติไทยกลับคืนมาโดยมาตรา 3 และ 7 แห่งพระราชบัญญัติฉบับที่ 3โจทก์ไม่จำต้องไปร้องขอคืนสัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2495 มาตรา 20(2) ทั้งกรณีเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องตามมาตรานี้ด้วย
การที่โจทก์จะได้มาซึ่งสัญชาติไทยหรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
โจทก์เกิดในประเทศไทยและมีสัญชาติไทย แต่ต่อมาโจทก์ได้ขอใบสำคัญเป็นคนต่างด้าวโจทก์จึงขาดจากสัญชาติไทยไประยะหนึ่งในระหว่างที่พระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่2) พ.ศ.2496 มาตรา 5 ใช้บังคับอยู่แต่ต่อมามีพระราชบัญญัติฉบับที่ 3 พ.ศ.2499 ประกาศใช้ โจทก์ย่อมได้สัญชาติไทยกลับคืนมาโดยมาตรา 3 และ 7 แห่งพระราชบัญญัติฉบับที่ 3โจทก์ไม่จำต้องไปร้องขอคืนสัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2495 มาตรา 20(2) ทั้งกรณีเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องตามมาตรานี้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 558/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคืนสัญชาติไทยหลังขอเป็นคนต่างด้าวและผลกระทบของกฎหมายสัญชาติฉบับต่างๆ
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เกิดในประเทศไทย มีสัญชาติไทย ต่อมาได้ไปประเทศจีนแล้วเดินทางกลับมา กองตรวจคนเข้าเมืองให้อยู่ในประเทศไทยได้ภายในเวลาจำกัด โจทก์ร้องขอพิสูจน์สัญชาติว่าเป็นคนไทยต่อกองตรวจคนเข้าเมือง อธิบดีกรมตำรวจสั่งระงับการพิสูจน์สัญชาติ โจทก์จึงขอให้พิพากษาแสดงว่าโจทก์เกิดในประเทศไทย มีสัญชาติไทย จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทย และไม่ได้เกิดในประเทศไทย แต่เกิดในประเทศจีน มีสัญชาติจีน โจทก์ร้องขออยู่ในประเทศไทยชั่วคราวโดยไม่มีที่สิ้นสุด จำเลยจึงสั่งไม่ให้โจทก์อยู่ต่อไป ดังนี้ ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าเป็นคนสัญชาติไทยหรือไม่
การที่โจทก์จะได้มาซึ่งสัญชาติไทยหรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
โจทก์เกิดในประเทศไทยและมีสัญชาติไทย แต่ต่อมาโจทก์ได้ขอใบสำคัญเป็นคนต่างด้าว โจทก์จึงขาดจากสัญชาติไทยไประยะหนึ่ง ในระหว่างที่พระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2496 มาตรา 5 ใช้บังคับอยู่ แต่ต่อมามีพระราชบัญญัติฉบับที่ 3 พ.ศ. 2499 ประกาศใช้ โจทก์ย่อมได้สัญชาติไทยกลับคืนมาโดยมาตรา 3 และ 7 แห่งพระราชบัญญัติฉบับที่ 3 โจทก์ไม่จำต้องไปร้องขอคืนสัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2495 มาตรา 20 (2) ทั้งกรณีเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องตามมาตรานี้ด้วย
การที่โจทก์จะได้มาซึ่งสัญชาติไทยหรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
โจทก์เกิดในประเทศไทยและมีสัญชาติไทย แต่ต่อมาโจทก์ได้ขอใบสำคัญเป็นคนต่างด้าว โจทก์จึงขาดจากสัญชาติไทยไประยะหนึ่ง ในระหว่างที่พระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2496 มาตรา 5 ใช้บังคับอยู่ แต่ต่อมามีพระราชบัญญัติฉบับที่ 3 พ.ศ. 2499 ประกาศใช้ โจทก์ย่อมได้สัญชาติไทยกลับคืนมาโดยมาตรา 3 และ 7 แห่งพระราชบัญญัติฉบับที่ 3 โจทก์ไม่จำต้องไปร้องขอคืนสัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2495 มาตรา 20 (2) ทั้งกรณีเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องตามมาตรานี้ด้วย