พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,307 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1812/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำและการบรรยายฟ้อง: อำนาจทนายทำสัญญาแทน, สัญญาที่แตกต่างจากละเมิด
คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่า จำเลยรบกวนสิทธิ ละเมิดสิทธิ ขอให้ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเกี่ยวข้องหรือขัดขวางในการที่โจทก์จะครอบครองทรัพย์ แต่คดีหลังโจทก์ฟ้องเรื่องผิดสัญญาและเรียกค่าเสียหายตามสัญญาที่ทำกันไว้เกี่ยวกับทรัพย์รายเดียวกันนั้น ไม่เกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้ในคดีก่อน กรณีไม่ต้องด้วย มาตรา 144 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ในคดีหลังโจทก์กล่าวฟ้องว่านางอ่าง (ซึ่งเป็นตัวความในคดีก่อน) เป็นผู้ทำสัญญากับโจทก์ โดยโจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่า ในคดีก่อนนายสว่างเป็นทนายแก้ต่างนางอ่างและได้ทำสัญญาแทนนางอ่าง แต่ปรากฏตามใบแต่งทนายที่นางอ่างได้แต่งให้นายสว่างเป็นทนายว่าความแทนในคดีก่อน ให้อำนาจแก่นายสว่างทนายที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาแทนในทางจำหน่ายสิทธิได้ด้วยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62 เมื่อเป็นเช่นนี้นายสว่างจึงมีอำนาจทำความตกลงยอมใช้ค่าเสียหายแทนนางอ่างได้เสมือนว่านางอ่างเป็นผู้ตกลงเอง โจทก์ไม่จำเป็นที่จะต้องบรรยายความข้อนี้ลงในฟ้องให้ยืดยาว ฟ้องเช่นนี้ไม่เคลือบคลุม
ในคดีหลังโจทก์กล่าวฟ้องว่านางอ่าง (ซึ่งเป็นตัวความในคดีก่อน) เป็นผู้ทำสัญญากับโจทก์ โดยโจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่า ในคดีก่อนนายสว่างเป็นทนายแก้ต่างนางอ่างและได้ทำสัญญาแทนนางอ่าง แต่ปรากฏตามใบแต่งทนายที่นางอ่างได้แต่งให้นายสว่างเป็นทนายว่าความแทนในคดีก่อน ให้อำนาจแก่นายสว่างทนายที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาแทนในทางจำหน่ายสิทธิได้ด้วยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62 เมื่อเป็นเช่นนี้นายสว่างจึงมีอำนาจทำความตกลงยอมใช้ค่าเสียหายแทนนางอ่างได้เสมือนว่านางอ่างเป็นผู้ตกลงเอง โจทก์ไม่จำเป็นที่จะต้องบรรยายความข้อนี้ลงในฟ้องให้ยืดยาว ฟ้องเช่นนี้ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1812/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำและฟ้องเคลือบคลุม: สัญญาทางทนายและอำนาจจำหน่ายสิทธิ
คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่าจำเลยรบกวนสิทธิ ละเมิดสิทธิ ขอให้ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเกี่ยวข้องหรือขัดขวางในการที่โจทก์จะครอบครองทรัพย์ แต่คดีหลังโจทก์ฟ้องเรื่องผิดสัญญาและเรียกค่าเสียหายตามสัญญาที่ทำกันไว้ เกี่ยวกับทรัพย์รายเดียวกันนั้น ไม่เกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้ในคดีก่อน กรณีไม่ต้องด้วย ม.144 ป.วิ.แพ่ง ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ในคดีหลังโจทก์กล่าวฟ้องว่านางอ่าง(ซึ่งเป็นตัวความในคดีก่อน)เป็นผู้ทำสัญญากับโจทก์ โดยโจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่า ในคดีก่อนนายสว่างเป็นทนายแก้ต่างนางอ่างและได้ทำสัญญาแทนนางอ่าง แต่ปรากฏตามใบแต่งทนายที่นางอ่างได้แต่งให้นายสว่างเป็นทนายว่าความแทนในคดีก่อน ให้อำนาจแก่นายสว่างทนายที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาแทนในทางจำหน่ายสิทธิได้ด้วยตาม ป.วิ.แพ่ง ม. 62 เมื่อเป็นเช่นนี้นายสว่างจึงมีอำนาจทำความตกลงยอมใช้ค่าเสียหายแทนนางอ่างได้เสมือนว่า นางอ่างเป็นผู้ตกลงเอง โจทก์ไม่จำเป็นที่จะต้องบรรยายความข้อนี้ลงในฟ้องให้ยืดยาว ฟ้องเช่นนี้ไม่เคลือบคลุม.
ในคดีหลังโจทก์กล่าวฟ้องว่านางอ่าง(ซึ่งเป็นตัวความในคดีก่อน)เป็นผู้ทำสัญญากับโจทก์ โดยโจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่า ในคดีก่อนนายสว่างเป็นทนายแก้ต่างนางอ่างและได้ทำสัญญาแทนนางอ่าง แต่ปรากฏตามใบแต่งทนายที่นางอ่างได้แต่งให้นายสว่างเป็นทนายว่าความแทนในคดีก่อน ให้อำนาจแก่นายสว่างทนายที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาแทนในทางจำหน่ายสิทธิได้ด้วยตาม ป.วิ.แพ่ง ม. 62 เมื่อเป็นเช่นนี้นายสว่างจึงมีอำนาจทำความตกลงยอมใช้ค่าเสียหายแทนนางอ่างได้เสมือนว่า นางอ่างเป็นผู้ตกลงเอง โจทก์ไม่จำเป็นที่จะต้องบรรยายความข้อนี้ลงในฟ้องให้ยืดยาว ฟ้องเช่นนี้ไม่เคลือบคลุม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1794-1795/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความละเมิด: เริ่มนับเมื่อรู้ผู้รับผิด และการยกประเด็นใหม่ในชั้นฎีกา
การนับอายุความ 1 ปี เรื่องละเมิดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ต้องเริ่มนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ว่าใครควรรับผิดอย่างใด เมื่อมาฟ้องคดีเกินกว่าหนึ่งปี นับแต่ได้ทราบเรื่อง ก็ขาดอายุความ (ฎีกา 243/2497)
เมื่อโจทก์จำเลยกะประเด็นกันมาแต่ศาลชั้นต้นว่ามีประเด็นข้อสืบเป็นเรื่องละเมิดแล้ว ในชั้นฎีกาจะโต้เถียงว่าควรปรับอายุความเข้าตามบทมาตรา 164,165 ย่อมเป็นการแปรเรื่องเป็นอื่นซึ่งไม่ตรงกับคดี และจะโต้เถียงว่า หากจะมิใช่เป็นความผิดเรื่องละเมิดก็ต้องรับผิดในฐานเป็นตัวแทนผู้เสียหายด้วย ดังนี้เป็นเรื่องยกประเด็นขึ้นมาใหม่ มิใช่ข้อที่ว่ากันมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยให้ไม่ได้
เมื่อโจทก์จำเลยกะประเด็นกันมาแต่ศาลชั้นต้นว่ามีประเด็นข้อสืบเป็นเรื่องละเมิดแล้ว ในชั้นฎีกาจะโต้เถียงว่าควรปรับอายุความเข้าตามบทมาตรา 164,165 ย่อมเป็นการแปรเรื่องเป็นอื่นซึ่งไม่ตรงกับคดี และจะโต้เถียงว่า หากจะมิใช่เป็นความผิดเรื่องละเมิดก็ต้องรับผิดในฐานเป็นตัวแทนผู้เสียหายด้วย ดังนี้เป็นเรื่องยกประเด็นขึ้นมาใหม่ มิใช่ข้อที่ว่ากันมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1794-1795/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความละเมิด: เริ่มนับแต่วันที่รู้ตัวผู้ละเมิด & ห้ามเปลี่ยนประเด็นใหม่ในชั้นฎีกา
การนับอายุความ 1 ปี เรื่องละเมิดตาม ป.พ.พ.มาตรา 448 ต้องเริ่มนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ว่าใครควรรับผิดอย่างใด เมื่อมาฟ้องคดีเกินกว่าหนึ่งปี นับแต่ได้ทราบเรื่อง ก็ขาดอายุความ (ฎีกา 243/2497)
เมื่อโจทก์จำเลยกะประเด็นมาแต่ศาลขั้นต้นว่ามีประเด็นข้อสืบเป็นเรื่องละเมิดแล้ว ในชั้นฎีกาจะโต้เถียงว่าควรปรับอายุความเข้าตามบทมาตรา 164,165 ย่อมเป็นการแปรเรื่องเป็นอื่นซึ่งไม่ตรงกับคดี และจะโต้เถียงว่า หากจะมิใช่เป็นความผิดเรื่องละเมิดก็ต้องรับผิดในฐานเป็นตัวแทนผู้เสียหายด้วย ดังนี้เป็นเรื่องยกประเด็นขึ้นมาใหม่ มิใช่ข้อที่ว่ากันมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยให้ไม่ได้.
เมื่อโจทก์จำเลยกะประเด็นมาแต่ศาลขั้นต้นว่ามีประเด็นข้อสืบเป็นเรื่องละเมิดแล้ว ในชั้นฎีกาจะโต้เถียงว่าควรปรับอายุความเข้าตามบทมาตรา 164,165 ย่อมเป็นการแปรเรื่องเป็นอื่นซึ่งไม่ตรงกับคดี และจะโต้เถียงว่า หากจะมิใช่เป็นความผิดเรื่องละเมิดก็ต้องรับผิดในฐานเป็นตัวแทนผู้เสียหายด้วย ดังนี้เป็นเรื่องยกประเด็นขึ้นมาใหม่ มิใช่ข้อที่ว่ากันมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยให้ไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1790/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางจำยอมโดยการใช้ต่อเนื่องและจำเป็น: สิทธิในการใช้ทางแม้เจ้าของที่ดินคัดค้าน
ข้อเท็จจริงฟังว่าโจทก์และบุคคลอื่นรวมประมาณ 40 คน อาศัยทางพิพาทเดินจากที่อาศัยซึ่งอยู่ด้านในออกไปสู่ซอยมิตรคามซึ่งเป็นทางสาธารณะมาประมาณ 40 ปี โดยไม่มีทางอื่น เช่นนี้ ถือว่าทางพิพาทเป็นภาระจำยอม เช่นนี้โจทก์ไม่จำต้องชดใช้ค่าใช้ทางเดินตามประมวลแพ่งฯ มาตรา 1349 ให้แก่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1790/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระจำยอมโดยการใช้ทางต่อเนื่อง 40 ปี และสิทธิในการใช้ทางเมื่อไม่มีทางอื่น
ข้อเท็จจริงฟังว่าโจทก์และบุคคลอื่นรวมประมาณ 40 คนอาศัยทางพิพาทเดินจากที่อาศัยซึ่งอยู่ด้านในออกไปสู่ซอยมิตรคามซึ่งเป็นทางสาธารณะมาประมาณ 40 ปี โดยไม่มีทางอื่น เช่นนี้ ถือว่าทางพิพาทเป็นที่มีภาระจำยอมเช่นนี้โจทก์ไม่จำต้องชดใช้ค่าใช้ทางเดินตามประมวลแพ่งฯ มาตรา 1349 ให้แก่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1781-1786/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรถไฟฯ ต้องจ่ายค่าจ้างช่วงพักงาน แม้ผู้ถูกพักงานกระทำผิดวินัย แต่ไม่ได้สอบสวนตามระเบียบ
ก่อนที่โจทก์ซึ่งเป็นคนงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยจะถูกตำรวจจับมาฟ้องคดีอาญาในข้อหากบฎภายในราชอาณาจักร โจทก์กับคนงานการรถไฟฯ ได้มีการหยุดงานกันมาก่อน แต่จำเลยคือการรถไฟฯไม่ได้สั่งพักงานโจทก์เพราะพฤติการณ์ดังกล่าวนี้ หากแต่เห็นโจทก์มีปฏิกิริยาอื่นต่อมาจนตำรวจจับมาฟ้อง การรถไฟฯจึงสั่งพักงานโจทก์ ในที่สุดได้ความชัดว่าโจทก์ไม่ได้กระทำผิดทางอาญา แม้ว่าโจทก์จะได้กระทำผิดทางวินัย
แต่ก็ไม่ปรากฎว่าได้มีการสอบสวนโจทก์ตามระเบียบการของการรถไฟฯ ฉบับที่ 7 ข้อ 7,9 เช่นนี้ โดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าการรถไฟฯ จำเลยต้องรับผิดจ่ายค่าจ้างระหว่างพักงานให้โจทก์การที่การรถไฟฯจำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบการเอง จะปรับให้โจทก์รับผิดในการกระทำของการรถไฟฯจำเลยนั้นไม่ได้.
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2501)
แต่ก็ไม่ปรากฎว่าได้มีการสอบสวนโจทก์ตามระเบียบการของการรถไฟฯ ฉบับที่ 7 ข้อ 7,9 เช่นนี้ โดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าการรถไฟฯ จำเลยต้องรับผิดจ่ายค่าจ้างระหว่างพักงานให้โจทก์การที่การรถไฟฯจำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบการเอง จะปรับให้โจทก์รับผิดในการกระทำของการรถไฟฯจำเลยนั้นไม่ได้.
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2501)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1781-1786/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพักงานลูกจ้างและการจ่ายค่าจ้างช่วงพักงานตามระเบียบการรถไฟฯ กรณีลูกจ้างไม่ได้กระทำผิด
ก่อนที่โจทก์ซึ่งเป็นคนงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยจะถูกตำรวจจับมาฟ้องคดีอาญาในข้อหากบฏภายในราชอาณาจักร โจทก์กับคนงานการรถไฟฯได้มีการหยุดงานกันมาก่อน แต่จำเลยคือการรถไฟฯไม่ได้สั่งพักงานโจทก์เพราะพฤติการณ์ดังกล่าวนี้หากแต่เห็นโจทก์มีปฏิกิริยาอื่นต่อมาจนตำรวจจับมาฟ้องการรถไฟฯจึงสั่งพักงานโจทก์ ในที่สุดได้ความชัดว่าโจทก์ไม่ได้กระทำผิดทางอาญา แม้ว่าโจทก์จะได้กระทำผิดทางวินัยแต่ก็ไม่ปรากฏว่าได้มีการสอบสวนโจทก์ตามระเบียบการของการรถไฟฯฉบับที่ 7 ข้อ 7,9 เช่นนี้ โดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าการรถไฟฯจำเลยต้องรับผิดจ่ายค่าจ้างระหว่างพักงานให้โจทก์ การที่การรถไฟฯจำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบการเอง จะปรับให้โจทก์รับผิดในการกระทำของการรถไฟฯจำเลยนั้นไม่ได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2501)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1732/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับจำนองต้องแจ้งให้ลูกหนี้ทราบก่อน หากไม่แจ้ง สิทธิในการบังคับจำนองเป็นโมฆะ
ผู้รับจำนองจะบังคับจำนองเอาทรัพย์ที่จำนองหลุดเป็นสิทธิตามประมวลแพ่งฯ มาตรา 729 ต้องบอกกล่าวให้ผู้จำนองทราบเป็นลายลักษณ์อักษร ดังบัญญัติไว้ใน มาตรา 728 เพราะมาตรา728 และ 729 เป็นบทบังคับจำนอง ต้องอ่านคู่กันไป ถ้าไม่บอกกล่าวก่อน จะบังคับเอาทรัพย์ให้หลุดจำนองไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1732/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับจำนองต้องแจ้งให้ลูกหนี้ทราบก่อนฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 728
ผู้รับจำนองจะบังคับจำนองเอาทรัพย์ที่จำนองหลุดเป็นสิทธิตามประมวลแพ่ง ฯ มาตรา 729 ต้องบอกกล่าวให้ผู้จำนองทราบเป็นลายลักษณ์อักษร ดังบัญญัติไว้ใน ม.728 เพราะมาตรา 728 และ 729 เป็นบทบังคับจำนอง ต้องอ่านคู่กันไป ถ้าไม่บอกกล่าวก่อน จะบังคับเอาทรัพย์ให้หลุดจำนองไม่ได้.