คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชวน สิงหลกะ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,307 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 749-750/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องไม่สมบูรณ์-ขาดลายมือชื่อผู้เรียง-บทลงโทษไม้หวงห้าม-ศาลฎีกายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยโดยให้วางโทษฐานปาณีตาม ก.ม.อาญา ม.59 และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 218
คำขอให้ลงโทษของโจทก์ ๆ มิได้อ้าง พ.ร.บ.ป่ไม้ พ.ศ.2484 ม.69,73 คงอ้างมาแต่ พ.ร.บ.ป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2494 ม.16,17 เช่นนี้ถือได้แล้วว่าฟ้องโจทก์ได้อ้างมาตราใน ก.ม.ซึ่งบัญญัติว่าการกระทำของจำเลยนั้นเป็นความผิดและความใน พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ม.69,73 ได้ถูกยกเลิกตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2494 ม.16,17 แล้วเมื่อศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์สืบสม ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยได้แม้ศาลจะอ้าง ม.69 และ 73 แห่งพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 เป็นบทลงโทษด้วยก็หาทำให้จำเลยพ้นผิดไปได้ไม่จึงถือว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่สมบูรรณ์ตาม ป.วิ.อาญา ม.158(6) และการที่ศาลลงโทษจำเลยก็ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณาแล้ว
ปัญหาว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ก.ม.หรือไม่เพราะไม่มีลายมือชื่อผู้เรียงถือว่าเป็นปัญหาข้อ ก.ม.ที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้หยิบยกขึ้นโต้เถียงในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่จำเลยย่อมหยิบยกขึ้นโต้เถียงในชั้นศาลฎีกาได้เสมอ
ปรากฏว่าฟ้องของโจทก์ไม่มีลายมือชื่อผู้เรียงจริง จึงถือว่าไม่เป็นฟ้องตาม ป.วิ.อาญา ม.158(7) ศาลต้องยกฟ้องเสียโดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาถึงปัญหาอื่นอีก
จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้ชำระค่าปรับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้แล้ว แต่จำเลยต้องถูกขังเกินกำหนดเวลาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุกและปรับมา ศาลควรต้องหักเวลาที่ต้องขังเกินกำหนดโดยคิดเป็นเงินวันละ 1 บาท คืนให้จำเลยนั้น กรณีเป็นเรื่องบังคับตามคำพิพากษา เมื่อยังไม่ปรากฏว่าศาลล่างได้มีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างไรย่อมถือว่ายังไม่มีปัญหามาสู่ศาลฎีกา ๆ จึงไม่วินิจฉัยให้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 749-750/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีป่าไม้และการขาดลายมือชื่อผู้เรียงฟ้องส่งผลต่อความชอบด้วยกฎหมายของคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยโดยให้วางโทษทั้งจำคุกและปรับ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเพียงเล็กน้อยในข้อให้ลดโทษฐานปราณีตาม กฎหมายอาญา มาตรา 59 และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำขอให้ลงโทษของโจทก์ โจทก์มิได้อ้าง พระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 69,73 คงอ้างมาแต่ พระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2494 มาตรา16,17 เช่นนี้ถือได้แล้วว่าฟ้องโจทก์ได้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำของจำเลยนั้นเป็นความผิดและความใน พระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484 มาตรา 69,73 ได้ถูกยกเลิกตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2494 มาตรา 16,17 แล้ว เมื่อศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์สืบสมศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยได้แม้ศาลจะอ้าง มาตรา 69 และ 73 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 เป็นบทลงโทษด้วยก็หาทำให้จำเลยพ้นผิดไปได้ไม่จึงถือว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) และการที่ศาลลงโทษจำเลยก็ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณาแล้ว
ปัญหาว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่เพราะไม่มีลายมือชื่อผู้เรียงถือว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะมิได้หยิบยกขึ้นโต้เถียงในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แต่จำเลยย่อมหยิบยกขึ้นโต้เถียงในชั้นศาลฎีกาได้เสมอ
ปรากฏว่าฟ้องของโจทก์ไม่มีลายมือชื่อผู้เรียงจริงจึงถือว่าไม่เป็นฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158(7) ศาลต้องยกฟ้องเสียโดยไม่จำต้องพิจารณาถึงปัญหาอื่นอีก
จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้ชำระค่าปรับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้แล้วแต่จำเลยต้องถูกขังเกินกำหนดเวลาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุกและปรับมา ศาลควรต้องหักเวลาที่ต้องขังเกินกำหนดโดยคิดเป็นเงินวันละ1 บาท คืนให้จำเลยนั้นกรณีเป็นเรื่องบังคับตามคำพิพากษาเมื่อยังไม่ปรากฏว่าศาลล่างได้มีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างไรย่อมถือว่ายังไม่มีปัญหามาสู่ศาลฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 744/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของรวม & การยึดทรัพย์: สิทธิเจ้าของรวมไม่ตัดสิทธิการบังคับคดีแบ่งทรัพย์สิน
การที่ผู้ร้องขัดทรัพย์อ้างว่าได้แบ่งที่ดินกับจำเลยเป็นสัดส่วนแน่นอนและต่างได้ครอบครองส่วนที่แบ่งกันมาเกิน 10 ปีแล้วนั้นถือว่าผู้ร้องอ้างเจตนาได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์++ทางอื่นนอกจากนิติกรรมซึ่งโดย ม.1299 วรรค 2 สิทธิของผู้ได้มาคือผู้ร้องหากยังมิได้จดทะเบียนแล้วจะยก++เป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกคือโจทก์ผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วคือรับจำนองที่ดินตามโฉนดนี้ในส่วนของจำเลยไว้โดยมิได้เจาะจงว่าเป็นส่วนไหน ตอนใด หาได้ไม่
ดังนั้นเมื่อได้ความว่าโจทก์เจ้าหนี้จำนองนำยึดที่ดินมีชื่อจำเลยและผู้ร้องเพื่อชำระหนี้ การที่ผู้ร้องร้องคัดค้านว่าที่ดินเป็นของผู้ร้องครึ่งหนึ่งและผู้ร้องกับจำเลยได้แบ่งที่ดินกันครอบครองเป็นสัดส่วนแน่นอนเกินกว่า 10 ปีแล้ว ผู้ร้องจึงขอให้ขายที่ดินที่ยึดมาเฉพาะส่วนของจำเลยนั้น เมื่อข้ออ้างการแบ่งทรัพย์ของผู้ร้องจะยกขึ้นใช้ยันโจทก์ไม่ได้แล้ว ต้องถือว่ากรรมสิทธิของจำเลยผู้ถูกยึดทรัพย์ย่อมครอบไปเหนือที่ดินทั้งหมดและการที่ผู้ร้องร้องขอให้ขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยก็ตาม ก็มีผลเท่ากับขอให้ปล่อยทรัพย์ตาม ป.วิ.แพ่ง ม.288 ผู้ร้องจะต้องอ้างว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษามิใช่เจ้าของทรัพย์ที่ยึด ผู้ร้องจึงดำเนินคดี+างร้องขัดทรัพย์ไม่ได้ โจทก์นำยึดที่ดินแปลงนี้ทั้งหมดได้ แต่ผู้ร้องย่อมมีทางที่จะเรียกขอให้แบ่งส่วนของตนตามสิทธิของเจ้าของรวมได้ในทางบังคับคดีตาม ป.วิ.แพ่ง ม.287 ดังนัยแห่งคำพิพากษาฎีการที่ 481/2492.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 744/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งทรัพย์สินโดยการครอบครองเกิน 10 ปี ไม่สามารถใช้ยันสิทธิโจทก์ผู้รับจำนองได้ ผู้ร้องมีสิทธิเรียกร้องแบ่งทรัพย์ในทางบังคับคดี
การที่ผู้ร้องขัดทรัพย์อ้างว่าได้แบ่งที่ดินกับจำเลยเป็นส่วนสัดแน่นอนและต่างได้ครอบครองส่วนที่แบ่งกันมาเกิน 10 ปีแล้วนั้นถือว่าผู้ร้องอ้างว่าตนได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมซึ่งโดยมาตรา 1299 วรรคสอง สิทธิของผู้ได้มาคือผู้ร้องหากยังมิได้จดทะเบียนแล้วจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกคือโจทก์ผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต.และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วคือรับจำนองที่ดินตามโฉนดนี้ในส่วนของจำเลยไว้โดยมิได้เจาะจงว่าเป็นส่วนไหน ตอนใด หาได้ไม่
ดังนั้นเมื่อได้ความว่าโจทก์เจ้าหนี้จำนองนำยึดที่ดินมีชื่อจำเลยและผู้ร้องเพื่อชำระหนี้ การที่ผู้ร้องร้องคัดค้านว่าที่ดินเป็นของผู้ร้องครึ่งหนึ่งและผู้ร้องกับจำเลยได้แบ่งที่ดินกันครอบครองเป็นส่วนสัดแน่นอนเกินกว่า10 ปี แล้วผู้ร้องจึงขอให้ขายที่ดินที่ยึดมาเฉพาะส่วนของจำเลยนั้นเมื่อข้ออ้างการแบ่งทรัพย์ของผู้ร้องจะยกขึ้นใช้ยันโจทก์ไม่ได้แล้วต้องถือว่ากรรมสิทธิ์ของจำเลยผู้ถูกยึดทรัพย์ย่อมครอบไปเหนือที่ดินทั้งหมดและที่การที่ผู้ร้องร้องขอให้ขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยก็ตามก็มีผลเท่ากับขอให้ปล่อยทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ผู้ร้องจะต้องอ้างว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษามิใช่เจ้าของทรัพย์ที่ยึด ผู้ร้องจึงดำเนินคดีทางร้องขัดทรัพย์ไม่ได้โจทก์นำยึดที่ดินแปลงนี้ทั้งหมดได้แต่ผู้ร้องย่อมมีทางที่จะเรียกขอให้แบ่งส่วนของตนตามสิทธิของเจ้าของรวมได้ในทางบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ดังนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 981/2492

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 728/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงเจ้าหนี้: นิติกรรมโมฆะและสิทธิในการยึดทรัพย์
ลูกหนี้ตามคำพิพากษาทำนิติกรรมต่อกรมการอำเภอขายนาพิพาทของตน 2 แปลงให้แก่บุคคลภายนอกโดยสมรู้เจตนาลวงเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหนี้ยึดทรัพย์ ดังนี้ถือว่านิติกรรมนั้นเกิดจากเจตนาลวงจึงตกเป็นโมฆะเสียเปล่าตาม ป.พ.พ. ม.118 และ 133 โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิจะยึดนาพิพาท 2 แปลงมาขายทอดตลาดได้โดยไม่ต้องฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 329/2480.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 728/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนทรัพย์สินหลีกเลี่ยงเจ้าหนี้: นิติกรรมโมฆะและสิทธิยึดทรัพย์
ลูกหนี้ตามคำพิพากษาทำนิติกรรมต่อกรมการอำเภอขายนาพิพาทของตน 2 แปลง ให้แก่บุคคลภายนอกโดยสมรู้เจตนาลวงเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหนี้ยึดทรัพย์ ดังนี้ถือว่านิติกรรมนั้นเกิดจากเจตนาลวงจึงตกเป็นโมฆะเสียเปล่าตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา118และ 133 โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิจะยึดนาพิพาท 2 แปลงมาขายทอดตลาดได้โดยไม่ต้องฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 329/2480

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 691/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานขุดดินรุกล้ำทางหลวง: การตีความความผิดตามมาตรา 336(2) และ 336(13) แห่งประมวลกฎหมายอาญา
การที่ขุดพื้นดินยกคันนาล้ำทางหลวงย่อมเป็นความผิดตาม ม.336(13) หาใช่ตาม ม.336(2) ไม่
เมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ตามมาตราหนึ่งโจทก์มิได้อุทธรณ์คดีจึงเป็นอันยุติ โจทก์จะฎีกาต่อมาขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรานั้นหาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 691/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดทางอาญาจากการขุดดินรุกล้ำทางหลวง: การจำกัดสิทธิในการอุทธรณ์และการฎีกา
การที่ขุดพื้นดินยกคันนาล้ำทางหลวงย่อมเป็นความผิดตามมาตรา 336(13) หาใช่ตาม มาตรา 336(2) ไม่
เมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ตามมาตราหนึ่งโจทก์มิได้อุทธรณ์คดีจึงเป็นอันยุติ โจทก์จะฎีกาต่อมาขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรานั้นหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับเนื่องจากข้อเท็จจริงที่นำสืบไม่ต่างจากที่กล่าวอ้างในฟ้อง เป็นปัญหาข้อเท็จจริงล้วน
โจทก์บรรยายในฟ้องว่า'จำเลยขับรถยนต์แซงรถสามล้อเครื่องแล้วเร่งเครื่องยนต์ขับเพื่อขึ้นหน้าฯ' แต่ครั้นพิจารณาสืบพยานโจทก์โจทก์นำพยานเข้าสืบว่าเห็นแต่สามล้อธรรมดาวิ่งอยู่เยื้องหน้ารถจำเลย'เพียงเท่านี้ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาต่างกับคำกล่าวหาในฟ้องของโจทก์รูปคดีจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงอย่างเดียวเท่านั้นจึงเป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากข้อเท็จจริงในทางพิจารณาไม่ต่างจากที่กล่าวอ้างในฟ้อง เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเท่านั้น
โจทก์บรรยายในฟ้องว่า "จำเลยขับรถยนต์แซงรถสามล้อเครื่องแล้วเร่งเครื่องยนต์ขับเพื่อขึ้นหน้า ฯ " แต่ครั้นพิจารณาสืบพยานโจทก์ว่า" โจทก์นำพยานเข้าสืบว่า เห็นแต่สามล้อธรรมดาวิ่งอยู่เยื้องหน้ารถจำเลย" เพียงเท่านี้ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาต่างกับคำกล่าวหาในฟ้องของโจทก์ รูปคดีจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงอย่างเดียวเท่านั้น จึงเป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อาญา ม.218.
of 131