พบผลลัพธ์ทั้งหมด 18 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2185/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดเขตอำนาจศาลในคดีล้มละลาย: ภูมิลำเนาของลูกหนี้เป็นหลักเกณฑ์สำคัญ
ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 150 กำหนดให้ยื่นคำฟ้องคดีล้มละลายต่อศาลซึ่งลูกหนี้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตส่วนลูกหนี้จะมีภูมิลำเนาอยู่ ณ ที่ใด ต้องถือตามถิ่นอันบุคคลนั้นมีสถานที่อยู่เป็นแหล่งสำคัญ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 44 ส่วนการเปลี่ยนภูมิลำเนาจะทำได้ด้วยการย้ายถิ่นที่อยู่พร้อมด้วยเจตนาปรากฏว่าจงใจจะเปลี่ยนภูมิลำเนาตาม มาตรา 48เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าเดิมจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพมหานครจำเลยย้ายภูมิลำเนาไปอยู่จังหวัดลำพูนแล้วย้ายต่อไปอยู่จังหวัดเชียงใหม่ แสดงว่าจำเลยมีถิ่นอันเป็นสถานที่อยู่เป็นแหล่งสำคัญที่จังหวัดเชียงใหม่ ถือได้ว่าจังหวัดเชียงใหม่เป็นภูมิลำเนาของจำเลย ส่วนที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ได้จำหน่ายชื่อจำเลยออกจากทะเบียนบ้านเดิม แล้วลงชื่อไว้ในทะเบียนคนบ้านกลางก็เนื่องจากไม่มีตัวอยู่ในบ้านและไม่ทราบที่อยู่ใหม่ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ย้ายที่อยู่พร้อมด้วยเจตนาจะเปลี่ยนภูมิลำเนาแต่อย่างใด จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยได้เปลี่ยนภูมิลำเนาไปจากจังหวัดเชียงใหม่แล้วแม้ตามระเบียบสำนักงานกลางทะเบียนราษฎร กรมการปกครองว่าด้วยการจัดทำทะเบียนราษฎรสำหรับสำนักทะเบียนในเขตปฏิบัติการตามโครงการจัดทำเลขประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2528 ข้อ 52 และ 53จะถือว่าทะเบียนคนบ้านกลางไม่ใช่ทะเบียนบ้าน และบุคคลซึ่งมีรายการปรากฏอยู่ในทะเบียนคนบ้านกลาง ไม่อาจจะขอคัดหรือรับรองสำเนารายการเพื่อนำไปใช้อ้างอิงหรือใช้สิทธิในกรณีต่าง ๆ ได้ก็ตามก็เป็นเรื่องเพื่อประโยชน์ในการจัดทำทะเบียนราษฎรตามโครงการจัดทำเลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น จะถือว่าจำเลยมิได้มีภูมิลำเนาตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการยื่นฟ้องคดีอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่หาได้ไม่ ดังนั้น เมื่อจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ในขณะยื่นฟ้อง จึงต้องด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 150 ที่จะต้องไปยื่นฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ แต่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ที่ศาลจังหวัดแพร่ ซึ่งมิใช่ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจ แม้จะเป็นศาลที่มูลคดีเกิดก็ตาม ศาลจังหวัดแพร่ก็ไม่อาจรับคดีของโจทก์ไว้พิจารณาได้ กรณีดังกล่าวจึงมิใช่เป็นเรื่องจำเลยเป็นบุคคลที่ไม่มีภูมิลำเนาอันจะต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับ ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 หรือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 ดังที่โจทก์ฎีกาแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1640/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนาจำเลยเปลี่ยนแปลง แต่ยังคงมีภูมิลำเนาเดิมสำหรับการติดต่อ ศาลส่งหมายนัดตามภูมิลำเนาเดิมชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ยื่นฟ้องระบุภูมิลำเนาของจำเลยไว้ในคำฟ้อง เมื่อจำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีจำเลยก็ระบุภูมิลำเนาตามที่โจทก์ระบุไว้นั้นด้วย แม้ต่อมาจำเลยย้ายภูมิลำเนาไปจากที่ที่ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ โดยมิได้แถลงให้ศาลทราบ แต่กลับมีคำร้องต่อศาลระบุภูมิลำเนาของจำเลยตามคำฟ้องอีก ดังนี้ ถือว่าจำเลยยังคงมีภูมิลำเนาตามคำฟ้องอีกแห่งหนึ่งโดยเฉพาะในการติดต่อกับจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1640/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนาจำเลยตามคำฟ้อง แม้มีการย้ายภูมิลำเนา ศาลยังคงใช้เป็นที่ติดต่อได้
โจทก์ยื่นฟ้องระบุภูมิลำเนาของจำเลยไว้ในคำฟ้อง เมื่อจำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีจำเลยก็ระบุภูมิลำเนาตามที่โจทก์ระบุไว้นั้นด้วย แม้ต่อมาจำเลยย้ายภูมิลำเนาไปจากที่ที่ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ โดยมิได้แถลงให้ศาลทราบ แต่กลับมีคำร้องต่อศาลระบุภูมิลำเนาของจำเลยตามคำฟ้องอีก ดังนี้ ถือว่าจำเลยยังคงมีภูมิลำเนาตามคำฟ้องอีกแห่งหนึ่งโดยเฉพาะในการติดต่อกับจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5898/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายเรียกโดยมิชอบเมื่อโจทก์ทราบที่อยู่ปัจจุบันของจำเลย มีเหตุสมควรให้พิจารณาคดีใหม่
แม้ที่อยู่ของจำเลยทั้งสองตามที่โจทก์ระบุในคำฟ้องจะเป็นภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสองตามหลักฐานทางทะเบียน แต่เมื่อโจทก์ทราบดีแล้วว่าจำเลยที่ 1 ขายกิจการให้ตน และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้ไปพักอยู่ที่อื่นซึ่งถือได้ว่าเป็นสำนักทำการงานของจำเลยทั้งสองแล้ว การที่โจทก์แถลงขอให้ศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสองโดยวิธีการปิดหมายตามภูมิลำเนาที่ปรากฏทางทะเบียน ทั้ง ๆ ที่ทราบดีว่าจำเลยทั้งสองมิได้อยู่ที่บ้านดังกล่าว จึงเป็นการไม่ชอบ จำเลยทั้งสองมิได้จงใจขาดนัดและมีเหตุสมควรให้พิจารณาคดีใหม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3153/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนา, การบังคับคดี, กำหนดเวลา, คำขอพิจารณาใหม่, การส่งหมาย
จำเลยที่ 4 ไปศึกษาต่อต่างประเทศก่อนโจทก์ฟ้องคดีเป็นเวลาหลายปี มีครอบครัวและประกอบอาชีพอยู่ต่างประเทศ แต่จำเลยที่ 4ยังมีสัญชาติไทย มีชื่อ ในทะเบียนบ้านตามที่โจทก์บรรยายไว้ในคำฟ้องและเคยเดินทางกลับมาประเทศไทยหลายครั้ง ดังนี้ ถือว่าจำเลยที่ 4ยังมีภูมิลำเนาในประเทศไทยตามทะเบียนบ้านนั้น พนักงานเดินหมายปิดคำบังคับ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 4 ตามคำสั่งศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2527 ถือได้ว่าการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยที่ 4 ชอบแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 4 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2530 จำเลยที่ 4เพิ่งมายื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2531ซึ่งพ้นกำหนด 6 เดือนไปแล้วนับแต่วันยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 4จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 208.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนา, การฟ้องคดี, ดอกเบี้ยผิดนัด: ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม โจทก์มีอำนาจฟ้องต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ และมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยตามกฎหมาย
การที่จำเลยแจ้งย้ายออกจากบ้านเดิมที่จังหวัดบุรีรัมย์แล้วไม่แจ้งแย้งเข้าบ้านตามที่แจ้งไว้ในกรุงเทพมหานคร จึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยไปอยู่ที่ใด ทั้งยังได้ความว่า จำเลยแจ้งย้ายออกเฉพาะตัวจำเลยคนเดียว มิได้แจ้งย้ายครอบครัวไปด้วย แสดงว่าไม่มีเจตนาย้ายถิ่นที่อยู่ และจงใจจะเปลี่ยนภูมิลำเนา ต้องถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาครั้งสุดท้ายอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดบุรีรัมย์ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ได้
แม้ข้อตกลงในสัญญากู้ที่ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจะตกเป็นโมฆะมีผลให้โจทก์หมดสิทธิที่จะเรียกดอกเบี้ยตามสัญญาได้ก็ตาม แต่เมื่อเป็นหนี้เงินซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ให้คิดดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดได้ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้ดอกเบี้ยตามบทกฎหมายดังกล่าว
แม้ข้อตกลงในสัญญากู้ที่ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจะตกเป็นโมฆะมีผลให้โจทก์หมดสิทธิที่จะเรียกดอกเบี้ยตามสัญญาได้ก็ตาม แต่เมื่อเป็นหนี้เงินซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ให้คิดดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดได้ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้ดอกเบี้ยตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงภูมิลำเนา, อำนาจฟ้อง, ดอกเบี้ยผิดนัด และผลของการคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด
การที่จำเลยแจ้งย้ายออกจากบ้านเดิมที่จังหวัดบุรีรัมย์แล้วไม่แจ้งแย้งเข้าบ้านตามที่แจ้งไว้ในกรุงเทพมหานคร จึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยไปอยู่ที่ใด ทั้งยังได้ความว่า จำเลยแจ้งย้ายออกเฉพาะตัวจำเลยคนเดียว มิได้แจ้งย้ายครอบครัวไปด้วย แสดงว่าไม่มีเจตนาย้ายถิ่นที่อยู่ และจงใจจะเปลี่ยนภูมิลำเนา ต้องถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาครั้งสุดท้ายอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดบุรีรัมย์โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ได้ แม้ข้อตกลงในสัญญากู้ที่ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจะตกเป็นโมฆะมีผลให้โจทก์หมดสิทธิที่จะเรียกดอกเบี้ยตามสัญญาได้ก็ตาม แต่เมื่อเป็นหนี้เงินซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ให้คิดดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดได้ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้ดอกเบี้ยตามบทกฎหมายดังกล่าว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3609/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนาและการส่งหมายเรียก: การส่งหมายโดยชอบ แม้จำเลยพักอาศัยต่างถิ่น
จำเลยมีชื่อถือภูมิลำเนาในทะเบียนบ้านตามที่โจทก์บรรยายไว้ในคำฟ้องแต่จำเลยไปพักอยู่ที่จังหวัดอื่นโดยมิได้โอนทะเบียนบ้านไปด้วยทั้งในคดีที่จำเลยฟ้องผู้อื่น จำเลยก็ระบุภูมิสำเนาตามทะเบียนบ้านดังกล่าว จำเลยจึงมีภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านนั้นการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องกับหมายแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ให้แก่จำเลยตามภูมิลำเนาดังกล่าวโดยการปิดหมายตามคำสั่งศาลจึงเป็นการส่งหมายโดยชอบ เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ก็ไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ตามคำขอของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3609/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนาที่ถูกต้องตามกฎหมาย แม้พักอาศัยต่างถิ่น การส่งหมายที่ภูมิลำเนาเดิมชอบแล้ว การขาดนัดยื่นคำให้การ/พิจารณาคดีไม่อนุญาตให้พิจารณาใหม่
จำเลยมีชื่อถือภูมิลำเนาในทะเบียนบ้านตามที่โจทก์บรรยายไว้ในคำฟ้องแต่จำเลยไปพักอยู่ที่จังหวัดอื่นโดยมิได้โดยทะเบียนบ้านไปด้วย ทั้งในคดีที่จำเลยฟ้องผู้อื่นจำเลยก็ระบุภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านดังกล่าว จำเลยจึงมีภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านนั้น การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องกับหมายแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ให้แก่จำเลยตามภูมิลำเนาดังกล่าวโดยการปิดหมายตามคำสั่งศาลจึงเป็นการส่งหมายโดยชอบ เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ก็ไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ตามคำขอของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 913/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหนังสือแจ้งประเมินภาษีที่ชอบด้วยกฎหมายและการนับระยะเวลายื่นคำร้องพิจารณาประเมินใหม่
โจทก์มิได้แจ้งให้จำเลยทราบเรื่องการย้ายภูมิลำเนาของโจทก์ พื่อให้จำเลยจัดส่งหนังสือแจ้งความแก่โจทก์ตามภูมิลำเนาใหม่ตรงกันข้ามในการยื่นแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษี โจทก์ระบุภูมิลำเนาเดิม แสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ใช้ภูมิลำเนาเดิมเป็นภูมิลำเนาของโจทก์อีกแห่งหนึ่งโดยเฉพาะในการติดต่อกับจำเลยดังนี้การที่จำเลยส่งหนังสือแจ้งการประเมินแก่โจทก์ ณ ภูมิลำเนาเดิมจึงเป็นการส่งโดยชอบแล้ว การส่งหนังสือแจ้งความและหมายเรียกตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 มาตรา 36 วรรคแรก หมายความว่าหากมีการส่งโดยทางจดหมายไปรษณีย์ลงทะเบียนก็ถือว่าเป็นการส่งที่ชอบแล้ว ส่วนผู้รับหนังสือไว้แทนกฎหมายมิได้บัญญัติว่าต้องมีอายุเกินยี่สิบปีซึ่งเป็นกรณีบังคับใช้เฉพาะในกรณีให้คนนำไปส่งเท่านั้น ดังนี้ เมื่อได้ความว่าบุรุษไปรษณีย์นำส่งหนังสือแจ้งรายการประเมินให้แก่เด็กหญิง ส. อายุ 14 ปีเศษซึ่งเป็นผู้แทนของโจทก์ การส่งหนังสือดังกล่าวจึงชอบแล้ว การยื่นคำร้องขอให้พิจารณาประเมินใหม่ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน มาตรา 26 นั้น จะต้องยื่นภายในเวลาสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งความ หมายความถึงวันที่โจทก์หรือตัวแทนของโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งรายการประเมินนั่นเอง มิใช่ให้นับแต่วันที่โจทก์ทราบ