คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุริยง ลิ้มสถิรานันท์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 132 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15442/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันพยายามฆ่า: การพิสูจน์เจตนาและบทบาทของจำเลยที่ 2 รวมถึงการแก้ไขโทษที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด
แม้จำเลยที่ 2 จะมีส่วนร่วมรู้เห็นที่จำเลยที่ 1 พาอาวุธปืนไปที่บ้าน ก. และเดินทางไปที่บ้าน ก. พร้อมกัน แต่เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมคบคิดที่จะใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสี่มาตั้งแต่แรก การที่จำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืน จึงเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยที่ 1 ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนของกลางไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15309/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความผิดฐานกระทำชำเราและการกระทำอนาจารต่อเด็ก การตีความ 'ช่องปาก' ตามกฎหมาย
การที่จำเลยเพื่อสนองความใคร่ของตนเองให้ผู้เสียหายที่ 1 อายุยังไม่เกิน 13 ปี อมอวัยวะเพศของจำเลยเป็นการใช้อวัยวะเพศของจำเลยกระทำกับช่องปากของผู้เสียหายที่ 1 เป็นการกระทำชำเราตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสอง เป็นความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปี และการที่จำเลยให้ผู้เสียหายที่ 3 เลียอวัยวะเพศของจำเลยโดยที่อวัยวะเพศของจำเลยไม่ได้เข้าไปในปากของผู้เสียหายที่ 3 จึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยใช้อวัยวะเพศของจำเลยกระทำกับช่องปากของผู้เสียหายที่ 3 เพราะช่องปากเป็นที่ว่างในปาก ซึ่งมีปากเป็นทางเข้าออก โดยต้องผ่านปากเข้าไปก่อนจึงจะถึงช่องปาก เมื่ออวัยวะเพศของจำเลยไม่ได้เข้าไปในปากของผู้เสียหายที่ 3 ย่อมถือไม่ได้ว่าจำเลยใช้อวัยวะเพศของจำเลยกระทำกับช่องปากของผู้เสียหายที่ 3 ไม่เป็นการกระทำชำเราตามความหมายของกฎหมายดังกล่าว การกระทำของจำเลยต่อผู้เสียหายที่ 3 ไม่เป็นความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปี แต่เป็นความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 279 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13509/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของกองทุนรวม: การตรวจสอบความถูกต้องของหนังสือมอบอำนาจและอำนาจกระทำการแทน
แม้จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้ว่า หนังสือมอบอำนาจและหนังสือมอบอำนาจช่วงเป็นเอกสารปลอมอันถือได้ว่าจำเลยทั้งสามคัดค้านการนำเอกสารมาสืบโดยเหตุที่ว่าต้นฉบับปลอมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 125 วรรคสอง แต่โจทก์นำต้นฉบับเอกสารมาแสดงต่อศาลในวันสืบพยานและอ้างส่งสำเนาต่อศาลแทนต้นฉบับเอกสาร ซึ่งก่อนจะส่งสำเนาโจทก์ให้โอกาสจำเลยทั้งสามตรวจดูแล้ว จำเลยทั้งสามมิได้คัดค้านว่าสำเนาเอกสารไม่ถูกต้องตรงกับต้นฉบับ ประกอบกับต้นฉบับเอกสารโจทก์ต้องใช้เป็นประจำ การที่ศาลชั้นต้นรับสำเนาเอกสารไว้แทนต้นฉบับ เท่ากับอนุญาตให้รับคืนต้นฉบับเอกสารและส่งสำเนาเอกสารไว้แทนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 127 ทวิ จึงรับฟังสำเนาเอกสารเป็นพยานหลักฐานได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11749/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คที่ออกโดยไม่มีบัญชีเงินฝากและทราบว่าใช้ไม่ได้ ถือเป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
การที่จำเลยนำเช็คของผู้อื่นซึ่งสูญหายไปแต่แจ้งอายัดแล้วมาลงลายมือชื่อ เมื่อเช็คพิพาทมีรายการครบถ้วนสมบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 988 แล้วจึงถือว่าเป็นเช็คแล้ว เมื่อผู้ทรงนำไปเรียกเก็บเงินไม่ได้ ผู้ออกเช็คก็ย่อมต้องรับผิด การที่จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระค่าไม้แปรรูปให้แก่ผู้เสียหาย ทั้ง ๆ ที่ทราบอยู่แล้วว่าจำเลยไม่มีบัญชีเงินฝากในธนาคาร ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่ามูลหนี้ตามเช็คเป็นหนี้ที่บังคับได้ตามกฎหมายนั้น ฎีกาของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 4 คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้กักขังจำเลย 1 เดือน จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 ตรี ประกอบ พ.ร.บ.ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้ในศาลจังหวัด พ.ศ.2520 มาตรา 3 และ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11742/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางอาญาจากการลงลายมือชื่อในเช็คเพื่อชำระหนี้ แม้ไม่ได้เป็นผู้สั่งซื้อโดยตรง
ตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2546 ของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 แถลงรับว่าในชั้นสอบสวนพันตำรวจตรี ธ. เป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหาและเป็นผู้สอบคำให้การจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธและลงลายมือชื่อไว้จริงจึงถือได้ว่ามีการแจ้งข้อหาให้จำเลยที่ 2 ทราบตาม ป.วิ.อ. มาตรา 134 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเกิดเหตุแล้ว แม้จะมิได้มีการแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำที่จำเลยที่ 2 ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 134 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติขึ้นภายหลัง ก็ไม่ทำให้การสอบสวนเสียไป การสอบสวนจึงชอบแล้ว
เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายในเช็คพิพาททั้งสองฉบับ ชำระหนี้ค่าสินค้าให้แก่โจทก์ร่วม ทั้งยังให้ตัวอย่างลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ว่า เป็นผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเช็คในนามจำเลยที่ 1 แก่ธนาคาร ดังนี้ แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ได้เป็นผู้สั่งซื้อสินค้าหรือมีหนี้สินใดกับโจทก์ร่วมโดยตรง เมื่อจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายในเช็คพิพาททั้งสองฉบับ จำเลยที่ 2 ก็ต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คให้แก่โจทก์ร่วมในฐานะผู้สั่งจ่าย จำเลยที่ 2 จะอ้างว่าเป็นการลงลายมือชื่อเพื่อเป็นการรับประกันหรือสร้างความน่าเชื่อถือในผลงานในฐานะเป็นวิศวกรโครงการไม่ได้ เมื่อเช็คทั้งสองฉบับเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย และธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งสองฉบับ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11515/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทเลินเล่อของผู้มอบอำนาจและการซื้อขายโดยสุจริตของบุคคลภายนอก
จำเลยลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจโดยมิได้กรอกข้อความ กับลงลายมือชื่อรับรองสำเนาทะเบียนบ้านและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน มอบให้แก่ ท. ไปพร้อมกับโฉนดที่ดิน เมื่อ ท. นำเอกสารดังกล่าวไปกรอกข้อความว่าจำเลยมอบอำนาจให้ ท. จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและจดทะเบียนยกให้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่ ท. จึงเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลย จำเลยต้องยอมรับความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของตนเอง จำเลยจะยกความประมาทเลินเล่อของตนเองดังกล่าวขึ้นต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่กระทำการโดยสุจริตหาได้ไม่ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 822 ประกอบมาตรา 821
จำเลยมีหน้าที่นำสืบให้เห็นถึงความไม่สุจริตของโจทก์ เพราะโจทก์ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 6 เมื่อจำเลยนำสืบไม่ได้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าโจทก์กระทำการโดยสุจริต การขายฝากที่ดินพิพาทระหว่าง ท. กับโจทก์จึงมีผลสมบูรณ์ เมื่อ ท. ไม่ไถ่ที่ดินคืนภายในกำหนด โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11417/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากองค์คณะไม่ครบถ้วนในการวินิจฉัยอำนาจการยื่นคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่อายัดจำนวน 15,875,688.13 บาท ผู้พิพากษาคนเดียวในศาลชั้นต้นตรวจคำร้องขอแล้วสั่งว่า ผู้ร้องไม่อาจร้องขอเพิกถอนให้ปล่อยทรัพย์ที่อายัด ไม่รับคำร้อง เป็นการวินิจฉัยอำนาจในการยื่นคำร้องขอของผู้ร้องว่าไม่มีอำนาจตามกฎหมาย อันเป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีตามความหมายแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 131 (2) แล้ว ซึ่งมีผลเป็นการพิพากษายกคำร้องขอของผู้ร้องทันที โดยมิได้มีคำสั่งรับคำร้องขอของผู้ร้องไว้ก่อน กรณีมิใช่เรื่องที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับหรือคืนคำคู่ความตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 18 เมื่อปรากฏว่าในการสั่งคำร้องขอของศาลชั้นต้นมีผู้พิพากษาคนเดียวตรวจคำร้องขอแล้วมีคำสั่งยกคำร้องขอ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 24 (2) เพราะเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดี ซึ่งต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคนจึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 26

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11036/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อจะขายไม่ระบุวันชำระหนี้ชัดเจน โจทก์บอกกล่าวกำหนดเวลาได้ จำเลยผิดนัด สิทธิบอกเลิกสัญญา
สัญญาจะซื้อจะขายกำหนดวันชำระราคาและจดทะเบียนโอนว่าประมาณเดือนตุลาคม 2544 ไม่แน่ชัดว่าเป็นวันใดซึ่งอาจเป็นวันใดวันหนึ่งในเดือนตุลาคม จึงเป็นสัญญาที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน โจทก์จำต้องบอกกล่าวกำหนดเวลาพอสมควรให้จำเลยชำระหนี้ โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้โดยกำหนดเวลาชำระหนี้พอสมควร และจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวโดยชอบแล้ว การที่จำเลยไม่ชำระหนี้ในวันกำหนดโดยที่โจทก์เตรียมพร้อมจะชำระหนี้ส่วนของตน จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 387

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10588/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีบุกรุก และการนับอายุความคดีอาญาที่ผิดพลาดเรื่องเลขที่โฉนด
โจทก์ร่วมเป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรม เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตายที่ดินพิพาทย่อมตกเป็นมรดกของโจทก์ร่วม จำเลยบุกรุกที่ดินพิพาทภายหลังเจ้ามรดกตาย โจทก์ร่วมย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์ดำเนินคดีได้ แม้โจทก์ร่วมจะจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทภายหลังเกิดเหตุคดีนี้แล้วก็ตาม โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ร่วมร้องทุกข์ว่าจำเลยบุกรุกที่ดินพิพาทภายใน 3 เดือนนับแต่โจทก์ร่วมรู้เรื่องการกระทำความผิดของจำเลยแล้ว การที่โจทก์ร่วมแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเลขที่โฉนดที่ดินพิพาทผิดพลาดเป็นเพียงรายละเอียด แม้ต่อมาจะมีการให้การเพิ่มเติมและส่งเอกสารเกี่ยวกับที่ดินพิพาทในภายหลังโดยมีการแก้ไขเลขที่โฉนดให้ถูกต้องหลังจากพ้นกำหนดเวลา 3 เดือนนับแต่โจทก์ร่วมรู้ถึงการกระทำความผิด ก็ถือว่าการร้องทุกข์สมบูรณ์ตั้งแต่วันที่โจทก์ร่วมแจ้งความร้องทุกข์ครั้งแรกแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10452/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ธนาคารประมาทเลินเล่อจ่ายเช็คแก้ไขจำนวนเงิน เสี่ยงต่อการปลอมแปลง ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้สั่งจ่าย
เช็คพิพาทมีการแก้จำนวนตัวเลขและตัวอักษร ซึ่งการแก้ดังกล่าวมีร่องรอยการขูดลบ และการเขียนขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีสีหมึกแตกต่างจากตัวเลขและตัวอักษรอื่น บุคคลทั่วไปก็สามารถมองเห็นการแก้ไขได้ ทั้งการแก้ดังกล่าวเป็นการเพิ่มจำนวนเงินเบิกถอนขึ้นมามากพอที่จะทำให้มีข้อสงสัยว่าจะเป็นการปลอมเอกสาร การที่จำเลยยังจ่ายเงินให้ไปทั้งที่พบเห็นข้อพิรุธดังกล่าวจึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อไม่ได้ใช้ความระวังระมัดด้วยฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการของธนาคารอันเป็นอาชีพของตน พ. ลูกจ้างของโจทก์ ตำแหน่งพนักงานบัญชีนำเช็ค 3 ฉบับ ซึ่งโจทก์กรอกรายการในเช็คครบถ้วนและลงลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเป็นตัวแทนไปถอนเงินจากบัญชีของโจทก์มามอบให้แก่โจทก์ แต่นาย พ. ได้ถือโอกาสจากภารกิจที่โจทก์มอบหมายให้กระทำนี้เบียดบังเอาเงินที่ถอนจากบัญชีของโจทก์ไป แม้ไม่มีการแก้ไขจำนวนเงินในเช็คพิพาท นาย พ. ก็สามารถเบียดบังเอาเงินตามจำนวนที่โจทก์สั่งจ่ายทั้งหมดไปได้ ถือได้ว่าความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดของโจทก์ซึ่งเป็นตัวการประกอบด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 442 ศาลฎีกาให้จำเลยรับผิดกึ่งหนึ่ง
of 14