คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 209

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 147 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 208/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอพิจารณาคดีใหม่ต้องกล่าวคัดค้านคำตัดสินในคำร้องโดยชัดเจน การกล่าวไว้ในคำแก้อุทธรณ์ใช้ไม่ได้
การขอให้พิจารณาคดีใหม่เป็นกระบวนพิจารณาซึ่งคู่ความฝ่ายที่ขาดนัดและแพ้คดีจะต้องร้องขอต่อศาลชั้นต้น ดังนั้นคู่ความดังกล่าวจะต้องกล่าวคำคัดค้านคำตัดสินของศาลในคำร้องขอให้พิจารณาใหม่โดยชัดแจ้ง ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 จะไปกล่าวไว้ในคำแก้อุทธรณ์หาได้ไม่ เมื่อไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องย่อมเป็นคำร้องที่ไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1900/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่หลังศาลบังคับคดี การนับระยะเวลา และผลของการยื่นล่าช้า
ศาลชั้นต้นประกาศคำบังคับโดยทางหนังสือเมื่อวันที่ 27 กันยายน2510 โดยกำหนดให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 28 ตุลาคม 2511 คำบังคับมีผลใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2511 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคสอง ให้มีผลใช้ได้ต่อเมื่อกำหนดเวลา 15 วันล่วงพ้นไปแล้ว แต่คำขอให้พิจารณาใหม่ต้องยื่นภายใน 15 วันนับจากวันที่ส่งคำบังคับ ฉะนั้น เมื่อนับจากวันที่ 13 ตุลาคม 2511 ก็ครบกำหนดในวันที่ 27 ตุลาคม 2511 ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ จำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งใหม่ได้ภายในวันที่ 28 ตุลาคม 2511 แต่จำเลยยื่นคำร้องวันที่ 30 ตุลาคม 2511 จึงล่วงพ้นกำหนดเวลาที่จะยื่นได้
จำเลยทราบประกาศคำบังคับวันที่ 24 ตุลาคม 2511 สามารถยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ในวันที่ 25 ถึงวันที่ 28 ตุลาคม 2511 ซึ่งอยู่ภายในระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัติ จำเลยเคยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 25 ตุลาคม 2511 แต่คำร้องฉบับนั้นถูกศาลสั่งยกไปแล้ว จำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 30 ตุลาคม 2511 พ้นระยะเวลาที่จะยื่นได้โดยไม่ได้แสดงเหตุแห่งการล่าช้า ศาลจึงไม่อาจรับไว้พิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1900/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่พ้นกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย และการนับวันหยุดราชการ
ศาลชั้นต้นประกาศคำบังคับโดยทางหนังสือเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2511 โดยกำหนดให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 28 ตุลาคม 2511 คำบังคับมีผลใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2511 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรค 2 ให้บังผลใช้ได้ต่อเมื่อกำหนดเวลา 15 วันล่วงพ้นไปแล้ว แต่คำขอให้พิจารณาใหม่ต้องยื่นภายใน 15 วันนับจากวันที่ส่งบังคับ ฉะนั้น เมื่อนับจากวันที่ 13 ตุลาคม 2511 ก็ครบกำหนดในวันที่ 27 ตุลาคม 2511 ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ จำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งใหม่ได้ภายในวันที่ 28 ตุลาคม 2511 แต่จำเลยยื่นคำร้องวันที่ 30ตุลาคม 2511
จำเลยทราบประกาศคำบังคับวันที่ 24 ตุลาคม 2511 สามารถยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ในวันที่ 25 ถึงวันที่ 28 ตุลาคม 2511 ซึ่งอยู่ภายในระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัติ จำเลยเคยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 25 ตุลาคม 2511 แต่คำร้องฉบับนั้นถูกศาลสั่งยกไปแล้ว จำเลยยืนคำร้องฉบับลงวันที่ 30 ตุลาคม 2511 พ้นระยะเวลาที่จะยื่นได้โดยไม่ได้แสดงเหตุแห่งการล่าช้า ศาลจึงไม่อาจรับไว้พิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1900/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่พ้นกำหนดเวลา แม้จะทราบประกาศคำบังคับแล้ว ศาลไม่รับพิจารณา
ศาลชั้นต้นประกาศคำบังคับโดยทางหนังสือเมื่อวันที่ 27กันยายน 2510. โดยกำหนดให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 28 ตุลาคม 2511. คำบังคับมีผลใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2511. ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคสอง ให้มีผลใช้ได้ต่อเมื่อกำหนดเวลา 15 วันล่วงพ้นไปแล้ว. แต่คำขอให้พิจารณาใหม่ต้องยื่นภายใน 15 วันนับจากวันที่ส่งคำบังคับ. ฉะนั้น เมื่อนับจากวันที่ 13 ตุลาคม 2511ก็ครบกำหนดในวันที่ 27 ตุลาคม 2511 ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ จำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งใหม่ได้ภายในวันที่ 28 ตุลาคม 2511 แต่จำเลยยื่นคำร้องวันที่ 30 ตุลาคม 2511 จึงล่วงพ้นกำหนดเวลาที่จะยื่นได้.
จำเลยทราบประกาศคำบังคับวันที่ 24 ตุลาคม 2511 สามารถยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ในวันที่ 25 ถึงวันที่28 ตุลาคม 2511 ซึ่งอยู่ภายในระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัติ.จำเลยเคยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 25 ตุลาคม 2511 แต่คำร้องฉบับนั้นถูกศาลสั่งยกไปแล้ว. จำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 30 ตุลาคม 2511 พ้นระยะเวลาที่จะยื่นได้โดยไม่ได้แสดงเหตุแห่งการล่าช้า. ศาลจึงไม่อาจรับไว้พิจารณา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนบังคับคดีเมื่อจำเลยไม่ทราบคดีและศาลบังคับคดีไม่เป็นไปตามคำพิพากษา
ตามคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยอ้างว่า การดำเนินคดีของโจทก์ตั้งแต่ฟ้องจนมีการบังคับคดี จำเลยไม่ทราบเพราะจำเลยไปอยู่ที่อื่น เพิ่งทราบเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำเลยในวันที่ 7 เมษายน 2511 แล้วในวันที่ 22 เดือนเดียวกันจำเลยก็ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ จึงเป็นการยื่นคำขอภายใน 15 วันนับแต่วันที่จำเลยทราบถึงการยึดทรัพย์ เพราะก่อนนั้นเป็นเวลาที่จำเลยยังไม่ทราบอันเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้(อ้างฎีกาที่ 1296/2510)
แม้ศาลยังมิได้อนุญาตในการที่จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่แต่โจทก์ก็ได้ขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดีข้ามขั้นไม่เรียงตามลำดับใน คำพิพากษา คือศาลพิพากษาให้จำเลยโอนขายที่ดินให้โจทก์ และให้จำเลยรับเงินที่ยังเหลือ 2,000 บาทจากโจทก์ หากจำเลยไม่จัดการโอนให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 13,000 บาท และให้จำเลยเสียค่าปรับอีก13,000 บาทแก่โจทก์ จึงต้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินและรับเงินจากโจทก์เสียก่อน แต่โจทก์กลับขอให้ยึดที่ดินของจำเลยขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ทีเดียว และศาลชั้นต้นได้สั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลย เป็นการปฏิบัติที่มิได้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาเป็นขั้น ๆ จึงเป็นกรณีที่ดำเนินการบังคับคดีผิดไปจากคำพิพากษาศาลมีอำนาจสั่งเพิกถอนได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2512 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนบังคับคดีเมื่อจำเลยไม่ทราบการดำเนินคดีและศาลบังคับคดีไม่เป็นไปตามลำดับในคำพิพากษา
ตามคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยอ้างว่า การดำเนินคดีของโจทก์ตั้งแต่ฟ้องจนมีการบังคับคดี จำเลยไม่ทราบเพราะจำเลยไปอยู่ที่อื่นเพิ่งทราบเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำเลยในวันที่ 7 เมษายน 2511 แล้วในวันที่ 22 เดือนเดียวกัน จำเลยก็ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ จึงเป็นการยื่นคำขอภายใน 15 วันนับแต่วันที่จำเลยทราบถึงการยึดทรัพย์ เพราะก่อนนั้นเป็นเวลาที่จำเลยยังไม่ทราบอันเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้(อ้างฎีกาที่ 1296/2510)
แม้ศาลยังมิได้อนุญาตในการที่จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ แต่โจทก์ก็ได้ขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดีข้ามชั้นไม่เรียกตามลำดับในคำพิพากษาคือ ศาลพิพากษาให้จำเลยโอนขายที่ดินให้โจทก์และให้จำเลยรับเงินที่ยังเหลือ 2,000 บาทจากโจทก์ หากจำเลยไม่จัดการโอน ให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 13,000 บาท และให้จำเลยเสียค่าปรับอีก 13,000 บาทแก่โจทก์ จึงต้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินและรับเงินจากโจทก์เสียก่อน แต่โจทก์กลับขอให้ยึดที่ดินของจำเลยขาดทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ทีเดียวและศาลชั้นต้นได้สั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลย จึงเป็นการปฏิบัติที่มิได้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาเป็นชั้น ๆ จึงเป็นกรณีที่ดำเนินการบังคับคดีผิดไปจากคำพิพากษาศาลมีอำนาจสั่งเพิกถอนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการบังคับคดีเนื่องจากจำเลยไม่ทราบคดีและศาลบังคับคดีไม่เป็นไปตามลำดับในคำพิพากษา
ตามคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยอ้างว่า การดำเนินคดีของโจทก์ตั้งแต่ฟ้องจนมีการบังคับคดี จำเลยไม่ทราบเพราะจำเลยไปอยู่ที่อื่น เพิ่งทราบเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำเลยในวันที่ 7 เมษายน 2511 แล้วในวันที่ 22 เดือนเดียวกันจำเลยก็ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ จึงเป็นการยื่นคำขอภายใน 15 วันนับแต่วันที่จำเลยทราบถึงการยึดทรัพย์ เพราะก่อนนั้นเป็นเวลาที่จำเลยยังไม่ทราบอันเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้(อ้างฎีกาที่ 1296/2510)
แม้ศาลยังมิได้อนุญาตในการที่จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่แต่โจทก์ก็ได้ขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดีข้ามขั้นไม่เรียงตามลำดับในคำพิพากษา คือศาลพิพากษาให้จำเลยโอนขายที่ดินให้โจทก์ และให้จำเลยรับเงินที่ยังเหลือ 2,000 บาทจากโจทก์ หากจำเลยไม่จัดการโอนให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 13,000 บาท และให้จำเลยเสียค่าปรับอีก13,000 บาทแก่โจทก์ จึงต้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินและรับเงินจากโจทก์เสียก่อน แต่โจทก์กลับขอให้ยึดที่ดินของจำเลยขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ทีเดียว และศาลชั้นต้นได้สั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลย เป็นการปฏิบัติที่มิได้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาเป็นขั้น ๆ จึงเป็นกรณีที่ดำเนินการบังคับคดีผิดไปจากคำพิพากษาศาลมีอำนาจสั่งเพิกถอนได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 960/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขาดนัดพิจารณาคดีเนื่องจากจำเลยอยู่ในต่างประเทศ และการพิจารณาเหตุสุดวิสัยในการยื่นคำขอพิจารณาใหม่
จำเลยไปอยู่ที่ประเทศอินเดียก่อนโจทก์ฟ้อง. โจทก์นำเจ้าพนักงานศาลไปส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยที่บ้านโจทก์ซึ่งเป็นสำนักทำการห้างหุ้นส่วนระหว่างโจทก์จำเลย. และคนของโจทก์เป็นผู้รับหมายไว้แทน ตลอดจนมีการปิดหมายนัดพิจารณาที่บ้านดังกล่าว. ยังไม่พอฟังว่าจำเลยได้ทราบฟ้องและการพิจารณาของศาล.
คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวว่า จำเลยไปอยู่ที่ประเทศอินเดียยังมิได้กลับประเทศไทย. จึงไม่ทราบการถูกฟ้องและการพิจารณาของศาล. ถือว่าได้กล่าวถึงเหตุที่ขาดนัดโดยละเอียดชัดแจ้งแล้ว.
คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวว่าตามคำให้การที่จำเลยยื่นควรชนะโจทก์ได้ เพราะความจริงเป็นเรื่องโจทก์จำเลยเข้าหุ้นส่วนกันยังไม่เลิก. โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินค่าหุ้นคืน. ถือว่าได้กล่าวถึงข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลแล้ว.
พฤติการณ์ที่จำเลยไปอยู่ที่ประเทศอินเดียก่อนโจทก์ฟ้องจนถึงวันที่ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยมายื่นคำขอให้พิจารณาใหม่จำเลยก็ยังมิได้กลับ. เมื่อจำเลยทราบว่าถูกฟ้อง ก็ทำใบมอบอำนาจต่อกงสุลใหญ่ ณ เมืองกัลกัตตา ให้ผู้รับมอบอำนาจมายื่นคำขอให้พิจารณาใหม่. ถือได้ว่ากรณีมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้.(อ้างฎีกาที่ 42/2506).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 960/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดฟ้องคดีเนื่องจากจำเลยอยู่ในต่างประเทศ และพฤติการณ์นอกเหนือความสามารถในการบังคับได้
จำเลยไปอยู่ที่ประเทศอินเดียก่อนโจทก์ฟ้อง โจทก์นำเจ้าพนักงานศาลไปส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยที่บ้านโจทก์ซึ่งเป็นสำนักทำการห้างหุ้นส่วนระหว่างโจทก์จำเลย และคนของโจทก์เป็นผู้รับหมายไว้แทน ตลอดจนมีการปิดหมายนัดพิจารณาที่บ้านดังกล่าว ยังไม่พอฟังว่าจำเลยได้ทราบฟ้องและการพิจารณาของศาล
คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวว่า จำเลยไปอยู่ที่ประเทศอินเดียยังมิได้กลับประเทศไทย จึงไม่ทราบการถูกฟ้องและการพิจารณาของศาล ถือว่าได้กล่าวถึงเหตุที่ขาดนัดโดยละเอียดชัดแจ้งแล้ว
คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวว่าตามคำให้การที่จำเลยยื่นควรชนะโจทก์ได้ เพราะความจริงเป็นเรื่องโจทก์จำเลยเข้าหุ้นส่วนกันยังไม่เลิก โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินค่าหุ้นคืน ถือว่าได้กล่าวถึงข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลแล้ว
พฤติการณ์ที่จำเลยไปอยู่ที่ประเทศอินเดียก่อนโจทก์ฟ้องจนถึงวันที่ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยมายื่นคำขอให้พิจารณาใหม่จำเลยก็ยังมิได้กลับ เมื่อจำเลยทราบว่าถูกฟ้อง ก็ทำใบมอบอำนาจต่อกงสุลใหญ่ ณ เมืองกัลกัตตา ให้ผู้รับมอบอำนาจมายื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ ถือได้ว่ากรณีมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ (อ้างฎีกาที่ 42/2506)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 960/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดฟ้องคดีและการพิจารณาใหม่: พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้เนื่องจากจำเลยอยู่ในต่างประเทศ
จำเลยไปอยู่ที่ประเทศอินเดียก่อนโจทก์ฟ้อง โจทก์นำเจ้าพนักงานศาลไปส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยที่บ้านโจทก์ซึ่งเป็นสำนักทำการห้างหุ้นส่วนระหว่างโจทก์จำเลย และคนของโจทก์เป็นผู้รับหมายไว้แทน ตลอดจนมีการปิดหมายนัดพิจารณาที่บ้านดังกล่าวยังไม่พอฟังว่าจำเลยได้ทราบฟ้องและการพิจารณาของศาล
คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวว่า จำเลยไปอยู่ที่ประเทศอินเดียยังมิได้กลับประเทศไทยจึงไม่ทราบการถูกฟ้องและการพิจารณาของศาลถือว่าได้กล่าวถึงเหตุที่ขาดนัดโดยละเอียดชัดแจ้งแล้ว
คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวว่าตามคำให้การที่จำเลยยื่นควรชนะโจทก์ได้ เพราะความจริงเป็นเรื่องโจทก์จำเลยเข้าหุ้นส่วนกันยังไม่เลิก โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินค่าหุ้นคืนถือว่าได้กล่าวถึงข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลแล้ว
พฤติการณ์ที่จำเลยไปอยู่ที่ประเทศอินเดียก่อนโจทก์ฟ้องจนถึงวันที่ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยมายื่นคำขอให้พิจารณาใหม่จำเลยก็ยังมิได้กลับเมื่อจำเลยทราบว่าถูกฟ้อง ก็ทำใบมอบอำนาจต่อกงสุลใหญ่ ณเมืองกัลกัตตา ให้ผู้รับมอบอำนาจมายื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ถือได้ว่ากรณีมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ (อ้างฎีกาที่ 42/2506)
of 15