พบผลลัพธ์ทั้งหมด 413 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1280/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมความในคดีความผิดส่วนตัว ทำให้สิทธิฟ้องระงับตามกฎหมาย
มูลกรณีในคดีอาญา โจทก์เคยฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่ง และโจทก์จำเลยได้ทำความตกลงกันไว้โดยชัดแจ้งตามหลักฐานเอกสารว่า ทั้งสองฝ่ายยินยอมจะไม่ดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญากันอีกต่อไป ดังนี้ เป็นการยอมความแก่กันแล้วในความผิดต่อส่วนตัว สิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในคดีอาญาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 176/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนฟ้องของโจทก์ร่วมในคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว ย่อมระงับสิทธิฟ้องของอัยการ
อัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกันฟ้องคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวอันยอมความกันได้ เมื่อผู้เสียหายซึ่งร้องทุกข์และเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ขอถอนคำร้องทุกข์และขอถอนฟ้องสิทธิฟ้องคดีของอัยการย่อมระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(2) ศาลต้องพิพากษายกฟ้องของอัยการเสียด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 176/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับสิทธิฟ้องคดีอาญาเมื่อผู้เสียหายถอนฟ้อง
อัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกันฟ้องคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวอันยอมความกันได้ เมื่อผู้เสียหายซึ่งร้องทุกข์และเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ขอถอนคำร้องทุกข์และขอถอนฟ้อง สิทธิฟ้องคดีของอัยการย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39(2) ศาลต้องพิพากษายกฟ้องของอัยการเสียด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2016/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่ดินและการงดรอการดำเนินคดี ความผิดฐานบุกรุกยังคงอยู่แม้จะมีการตกลงไม่ดำเนินคดี
นาแปลงที่จำเลยบุกรุก โจทก์ร่วมได้โอนไปให้บุตรและบุตรไปแจ้ง ส.ค.1 แล้ว โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่เจ้าของที่นาดังกล่าว ดังนั้นการร้องทุกข์ของโจทก์ร่วมจึงไม่เป็นการร้องทุกข์ตามกฎหมาย
วันที่ 16 มี.ค.99 จำเลยเข้าไปบุกรุกยกคันนา นายเชิดผู้เสียหาย(โจทก์ร่วมอีกคนหนึ่ง) ไปแจ้งผู้ใหญ่บ้าน ๆ ห้ามจำเลย ๆ ว่า"เป็นนาของนายเชิด ผมก็ไม่ทำ" ผู้ใหญ่บ้านถามนายเชิด โจทก์ร่วมว่าจะให้ทำอย่างไรต่อไป นายเชิดว่า "ถ้าเขาหยุดแล้วก็ไม่เอาเรื่อง" ต่อมาวันที่ 3 พ.ค.99 จำเลยกลับเข้าไปหว่านข้าวในนานั้นอีก นายเชิดจึงไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านและนายอำเภอได้ดำเนินการสอบสวนคดีนี้ แสดงให้เห็นว่าถ้าจำเลยเชื่อฟังนายเชิดก็ไม่เอาเรื่อง ถ้าไม่ฟังก็ต้องเอาเรื่องกันต่อไป ซึ่งเท่ากับให้งดรอการดำเนินคดีของเจ้าพนักงานไว้ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เมื่อจำเลยกลับเข้าไปทำงานอีก ผู้เสียหายจึงเอาเรื่องคือให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีที่งดรอไว้นั้นเอง ไม่มีทางที่จะให้รับฟังว่าความผิดฐานบุกรุกตอนแรกในวันที่ 16 มี.ค.99 นั้นเป็นอันสูญสิ้นไปแล้ว
คดีนี้ได้ความว่าจำเลยกระทำผิด 2 คราวคือในวันที่ 16 มี.ค.99 กับในวันที่ 3 พ.ค.99 และผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ไว้ทั้ง 2 คราว แต่ฟ้องโจทย์ระบุชัดเจนว่าผู้เสียหายร้องทุกข์สำหรับความผิดในตอนแรก (16 มี.ค.99)เท่านั้น โจทก์จึงไม่ได้กล่าวฟ้องถึงความผิดในตอนหลัง (3 พ.ค.99) เลย จึงถือว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้อง จึงลงโทษจำเลยสำหรับความผิดตอนหลังนี้ไม่ได้ แต่โจทก์มีสิทธ์ที่จะนำสืบถึงพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ในตอนหลังคือ ในวันที่ 3 พ.ค.99 เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยทำผิดคำรับรองในตอนต้น ( 16 มี.ค.99 ) ซึ่งเป็นข้อความที่เกี่ยวกับประเด็นโดยตรง หาเป็นนอกฟ้องนอกประเด็นไม่.
( ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 2/2501 )
วันที่ 16 มี.ค.99 จำเลยเข้าไปบุกรุกยกคันนา นายเชิดผู้เสียหาย(โจทก์ร่วมอีกคนหนึ่ง) ไปแจ้งผู้ใหญ่บ้าน ๆ ห้ามจำเลย ๆ ว่า"เป็นนาของนายเชิด ผมก็ไม่ทำ" ผู้ใหญ่บ้านถามนายเชิด โจทก์ร่วมว่าจะให้ทำอย่างไรต่อไป นายเชิดว่า "ถ้าเขาหยุดแล้วก็ไม่เอาเรื่อง" ต่อมาวันที่ 3 พ.ค.99 จำเลยกลับเข้าไปหว่านข้าวในนานั้นอีก นายเชิดจึงไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านและนายอำเภอได้ดำเนินการสอบสวนคดีนี้ แสดงให้เห็นว่าถ้าจำเลยเชื่อฟังนายเชิดก็ไม่เอาเรื่อง ถ้าไม่ฟังก็ต้องเอาเรื่องกันต่อไป ซึ่งเท่ากับให้งดรอการดำเนินคดีของเจ้าพนักงานไว้ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เมื่อจำเลยกลับเข้าไปทำงานอีก ผู้เสียหายจึงเอาเรื่องคือให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีที่งดรอไว้นั้นเอง ไม่มีทางที่จะให้รับฟังว่าความผิดฐานบุกรุกตอนแรกในวันที่ 16 มี.ค.99 นั้นเป็นอันสูญสิ้นไปแล้ว
คดีนี้ได้ความว่าจำเลยกระทำผิด 2 คราวคือในวันที่ 16 มี.ค.99 กับในวันที่ 3 พ.ค.99 และผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ไว้ทั้ง 2 คราว แต่ฟ้องโจทย์ระบุชัดเจนว่าผู้เสียหายร้องทุกข์สำหรับความผิดในตอนแรก (16 มี.ค.99)เท่านั้น โจทก์จึงไม่ได้กล่าวฟ้องถึงความผิดในตอนหลัง (3 พ.ค.99) เลย จึงถือว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้อง จึงลงโทษจำเลยสำหรับความผิดตอนหลังนี้ไม่ได้ แต่โจทก์มีสิทธ์ที่จะนำสืบถึงพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ในตอนหลังคือ ในวันที่ 3 พ.ค.99 เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยทำผิดคำรับรองในตอนต้น ( 16 มี.ค.99 ) ซึ่งเป็นข้อความที่เกี่ยวกับประเด็นโดยตรง หาเป็นนอกฟ้องนอกประเด็นไม่.
( ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 2/2501 )
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2016/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่ดิน: การร้องทุกข์ การงดรอการดำเนินคดี และการนำสืบพฤติการณ์ใหม่เพื่อพิสูจน์การผิดสัญญา
นาแปลงที่จำเลยบุกรุก โจทก์ร่วมได้โอนไปให้บุตรและบุตรไปแจ้ง ส.ค.1 แล้ว โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่เจ้าของที่นาดังกล่าว ดังนั้นการร้องทุกข์ของโจทก์ร่วมจึงไม่เป็นการร้องทุกข์ตามกฎหมาย
วันที่ 16 มี.ค. 99 จำเลยเข้าไปบุกรุกยกคันนา นายเชิดผู้เสียหาย (โจทก์ร่วมอีกคนหนึ่ง) ไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านผู้ใหญ่บ้านห้ามจำเลยจำเลยว่า "เป็นนาของนายเชิด ผมก็ไม่ทำ" ผู้ใหญ่บ้านถามนายเชิด โจทก์ร่วมว่าจะให้ทำอย่างไรต่อไป นายเชิดว่า" ถ้าเขาหยุดแล้วก็ไม่เอาเรื่อง" ต่อมาวันที่ 3 พ.ค. 99 จำเลยกลับเข้าไปหว่านข้าวในนานั้นอีก นายเชิดจึงไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านและอำเภอได้ดำเนินการสอบสวนคดีนี้ แสดงให้เห็นว่าถ้าจำเลยเชื่อฟังนายเชิดก็ไม่เอาเรื่อง ถ้าไม่ฟังก็ต้องเอาเรื่องกันต่อไป ซึ่งเท่ากับให้งดรอการดำเนินคดีของเจ้าพนักงานไว้ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เมื่อจำเลยกลับเข้าไปทำอีก ผู้เสียหายจึงเอาเรื่องคือให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีที่งดรอไว้นั้นเอง ไม่มีทางที่จะให้รับฟังว่าความผิดฐานบุกรุกตอนแรกในวันที่ 16 มี.ค. 99 นั้นเป็นอันสูญสิ้นไปแล้ว
คดีนี้ได้ความว่าจำเลยกระทำผิด 2 คราวคือในวันที่ 16 มี.ค. 99 กับในวันที่ 3 พ.ค. 99 และผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ไว้ทั้ง 2 คราว แต่ฟ้องโจทก์ระบุชัดเจนว่าผู้เสียหายร้องทุกข์สำหรับความผิดในตอนแรก (16 มี.ค. 99) เท่านั้น โจทก์จึงไม่ได้กล่าวฟ้องถึงความผิดในตอนหลัง (3 พฤษภาคม 2499) เลย จึงถือว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้อง จึงลงโทษจำเลยสำหรับความผิดตอนหลังนี้ไม่ได้ แต่โจทก์มีสิทธิ์ที่จะนำสืบถึงพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ในตอนหลังคือในวันที่ 3 พฤษภาคม 2499 เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยทำผิดคำรับรองในตอนต้น(16 มีนาคม 2499) ซึ่งเป็นข้อความที่เกี่ยวกับประเด็นโดยตรง หาเป็นนอกฟ้องนอกประเด็นไม่ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่2/2501)
วันที่ 16 มี.ค. 99 จำเลยเข้าไปบุกรุกยกคันนา นายเชิดผู้เสียหาย (โจทก์ร่วมอีกคนหนึ่ง) ไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านผู้ใหญ่บ้านห้ามจำเลยจำเลยว่า "เป็นนาของนายเชิด ผมก็ไม่ทำ" ผู้ใหญ่บ้านถามนายเชิด โจทก์ร่วมว่าจะให้ทำอย่างไรต่อไป นายเชิดว่า" ถ้าเขาหยุดแล้วก็ไม่เอาเรื่อง" ต่อมาวันที่ 3 พ.ค. 99 จำเลยกลับเข้าไปหว่านข้าวในนานั้นอีก นายเชิดจึงไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านและอำเภอได้ดำเนินการสอบสวนคดีนี้ แสดงให้เห็นว่าถ้าจำเลยเชื่อฟังนายเชิดก็ไม่เอาเรื่อง ถ้าไม่ฟังก็ต้องเอาเรื่องกันต่อไป ซึ่งเท่ากับให้งดรอการดำเนินคดีของเจ้าพนักงานไว้ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เมื่อจำเลยกลับเข้าไปทำอีก ผู้เสียหายจึงเอาเรื่องคือให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีที่งดรอไว้นั้นเอง ไม่มีทางที่จะให้รับฟังว่าความผิดฐานบุกรุกตอนแรกในวันที่ 16 มี.ค. 99 นั้นเป็นอันสูญสิ้นไปแล้ว
คดีนี้ได้ความว่าจำเลยกระทำผิด 2 คราวคือในวันที่ 16 มี.ค. 99 กับในวันที่ 3 พ.ค. 99 และผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ไว้ทั้ง 2 คราว แต่ฟ้องโจทก์ระบุชัดเจนว่าผู้เสียหายร้องทุกข์สำหรับความผิดในตอนแรก (16 มี.ค. 99) เท่านั้น โจทก์จึงไม่ได้กล่าวฟ้องถึงความผิดในตอนหลัง (3 พฤษภาคม 2499) เลย จึงถือว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้อง จึงลงโทษจำเลยสำหรับความผิดตอนหลังนี้ไม่ได้ แต่โจทก์มีสิทธิ์ที่จะนำสืบถึงพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ในตอนหลังคือในวันที่ 3 พฤษภาคม 2499 เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยทำผิดคำรับรองในตอนต้น(16 มีนาคม 2499) ซึ่งเป็นข้อความที่เกี่ยวกับประเด็นโดยตรง หาเป็นนอกฟ้องนอกประเด็นไม่ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่2/2501)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2014/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรวมกระทงความผิดทางอาญาและการถอนฟ้องของผู้เสียหาย ศาลฎีกาแก้โทษจำเลยเหลือความผิดฐานฉุดคร่าอนาจารเพียงกระทงเดียว
ศาลอุทธรณ์พิพากษารวมกระทงลงโทษจำเลยสำหรับความผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม. 243 และ 276 เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์หรือยอมความกับจำเลยสำหรับความผิดตาม ม.243 แล้ว ศาลฎีกาพิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตาม ม.246 เพียงกระทงเดียว และศาลฎีกา มีอำนาจกำหนดโทษสำหรับความผิดตาม ม.276 ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2014/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรวมกระทงความผิดทางอาญาและการถอนฟ้องของผู้เสียหาย ศาลฎีกาแก้พิพากษาเหลือความผิดกระทงเดียว
ศาลอุทธรณ์พิพากษารวมกระทงลงโทษจำเลยสำหรับความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 243 และ 276 เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์หรือยอมความกับจำเลยสำหรับความผิดตาม มาตรา 243 แล้ว ศาลฎีกาพิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตาม มาตรา 276 เพียงกระทงเดียว และศาลฎีกามีอำนาจกำหนดโทษสำหรับความผิดตาม มาตรา 276 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1290/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความกับการดำเนินคดีอาญา ความรับผิดชอบของจำเลยแต่ละคน
ในคดีความผิดต่อส่วนตัวจำเลยทำสัญญายอมจะใช้เงินแก่ผู้เสียหาย แล้วก็ไม่ชำระตามกำหนดนัด ผู้เสียหายย่อมร้องทุกข์ขอให้ดำเนินคดีอาญาต่อไปได้
จำเลยบางคนทำสัญญายอมจะใช้เงินทั้งหมดแก่ผู้เสียหาย คดีจะระงับหรือไม่ ก็เกี่ยวกับจำเลย เช่นว่านั้นโดยเฉพาะตัวเท่านั้น ไม่พลอยไปถึงจำเลยอื่น ๆ แม้อยู่ในคดีเดียวกันนั้นด้วย
จำเลยบางคนทำสัญญายอมจะใช้เงินทั้งหมดแก่ผู้เสียหาย คดีจะระงับหรือไม่ ก็เกี่ยวกับจำเลย เช่นว่านั้นโดยเฉพาะตัวเท่านั้น ไม่พลอยไปถึงจำเลยอื่น ๆ แม้อยู่ในคดีเดียวกันนั้นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1290/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความเฉพาะตัวจำเลย ไม่กระทบความรับผิดของจำเลยอื่น
ในคดีความผิดต่อส่วนตัวจำเลยทำสัญญายอมจะใช้เงินแก่ผู้เสียหาย แล้วก็ไม่ชำระตามกำหนดนัด ผู้เสียหายย่อมร้องทุกข์ขอให้ดำเนินคดีอาญาต่อไปได้
จำเลยบางคนทำสัญญายอมจะใช้เงินทั้งหมดแก่ผู้เสียหายคดีจะระงับหรือไม่ ก็เกี่ยวกับจำเลยเช่นว่านั้นโดยเฉพาะตัวเท่านั้นไม่พลอยไปถึงจำเลยอื่นๆ แม้อยู่ในคดีเดียวกันนั้นด้วย
จำเลยบางคนทำสัญญายอมจะใช้เงินทั้งหมดแก่ผู้เสียหายคดีจะระงับหรือไม่ ก็เกี่ยวกับจำเลยเช่นว่านั้นโดยเฉพาะตัวเท่านั้นไม่พลอยไปถึงจำเลยอื่นๆ แม้อยู่ในคดีเดียวกันนั้นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1655/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประนีประนอมยอมความยุติคดีอาญา: ผลผูกพันและอำนาจฟ้องของอัยการ
อัยการโจทก์และผู้เสียหายโจทก์ร่วมฟ้องจำเลยบุกรุกขอให้ลงโทษตาม ก.ม.อาญา ม.327
ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาว่าจำเลยตกลงยอมขยับรั้วเข้ามาตามแนวที่ศาลชี้ ทนายโจทก์ร่วมและผู้รับมอบฉันทะจากผู้เสียหาย (โจทก์ร่วม) ให้ทำการประนีประนอมยอมความได้ ได้ยอมรับข้อตกลงนี้และแถลงว่าจะได้ถอนฟ้องให้เสร็จไป ดังนี้ถือว่าทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่ให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันเข้าลักษณะสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. ม.850,851,852
เมื่อจำเลยได้ปฏิบัติตามยอมแล้วคดีก็ระงับไปตาม ป.วิ.อาญา ม.39 (2) การที่โจทก์ร่วมว่าจะถอนฟ้องเมื่อจำเลยปฏิบัติแล้วนั้น ก็มีความหมายเพียงเพื่อให้ศาลจำหนายคดีเสร็จไปตามวิธีปฏิบัติของศาลทั้งจะถอนหรือไม่ถอนก็มีผลไม่ต่างกันและอัยการไม่มีสิทธิจะดำเนินคดีต่อไปได้.
ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาว่าจำเลยตกลงยอมขยับรั้วเข้ามาตามแนวที่ศาลชี้ ทนายโจทก์ร่วมและผู้รับมอบฉันทะจากผู้เสียหาย (โจทก์ร่วม) ให้ทำการประนีประนอมยอมความได้ ได้ยอมรับข้อตกลงนี้และแถลงว่าจะได้ถอนฟ้องให้เสร็จไป ดังนี้ถือว่าทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่ให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันเข้าลักษณะสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. ม.850,851,852
เมื่อจำเลยได้ปฏิบัติตามยอมแล้วคดีก็ระงับไปตาม ป.วิ.อาญา ม.39 (2) การที่โจทก์ร่วมว่าจะถอนฟ้องเมื่อจำเลยปฏิบัติแล้วนั้น ก็มีความหมายเพียงเพื่อให้ศาลจำหนายคดีเสร็จไปตามวิธีปฏิบัติของศาลทั้งจะถอนหรือไม่ถอนก็มีผลไม่ต่างกันและอัยการไม่มีสิทธิจะดำเนินคดีต่อไปได้.