คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 224

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 645 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5133/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และสิทธิในการฎีกา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำละเมิดโดยทำลายและปิดกั้นทางสาธารณประโยชน์ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้ทางสาธารณะดังกล่าวเข้าไปทำไร่อ้อยในที่ดินของโจทก์ได้ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน50,000บาทจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยปิดกั้นและทำลายทางสาธารณประโยชน์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาว่ามีทางสาธารณประโยชน์อยู่ตามฟ้องหรือไม่นั้นก็เพื่อวินิจฉัยข้ออ้างอันจะนำไปสู่ข้อหาของโจทก์ที่ว่าจำเลยกระทำการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่เท่านั้นโจทก์หาได้ฟ้องขอให้มีการปลดเปลื้องทุกข์ของโจทก์ในการใช้ทางพิพาทแต่ประการใดดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน20,000บาทแก่โจทก์จำเลยอุทธรณ์ว่าไม่มีทางสาธารณประโยชน์ตามที่โจทก์กล่าวอ้างจึงเป็นการอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่งที่ศาลอุทธรณ์ภาค2วินิจฉัยว่าเป็นคดีที่ฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้แล้วมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์และพิจารณาพิพากษาคดีไปตามอุทธรณ์ของจำเลยนั้นเป็นการไม่ชอบต้องถือว่าข้อเท็จจริงยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5133/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีมีทุนทรัพย์ต้องห้าม และการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีผิดประเภท
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำละเมิด ทำลายและปิดกั้นทางสาธารณประโยชน์ ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้ทางสาธารณะดังกล่าวเข้าไปทำไร่อ้อยในที่ดินของโจทก์ได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวน50,000 บาท ท้ายฟ้องโจทก์ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 50,000 บาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์
การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยปิดกั้นและทำลายทางสาธารณประโยชน์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่การพิจารณาว่ามีทางสาธารณประโยชน์อยู่ตามฟ้องหรือไม่ ก็เพื่อวินิจฉัยข้ออ้างอันจะนำไปสู่ข้อหาของโจทก์ที่ว่า จำเลยกระทำการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่เท่านั้นดังนี้ โจทก์หาได้ฟ้องขอให้มีการปลดเปลื้องทุกข์ของโจทก์ในการใช้ทางพิพาทไม่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 20,000 บาท แก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ว่า ไม่มีทางสาธารณประโยชน์ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง อันเป็นการอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นคดีที่ฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวนเป็นราคาเงินได้ แล้วพิจารณาพิพากษาคดีไปตามอุทธรณ์ของจำเลยไปเป็นการไม่ชอบและเมื่ออุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามกฎหมายแล้ว ต้องถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกา การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมานั้น จึงไม่ชอบเช่นกัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4827/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการจดทะเบียนที่ดินและการต่อสู้สิทธิครอบครอง เกิน 1 ปี ศาลฎีกาพิพากษาให้ส่งสำนวนคืนเพื่อพิพากษาใหม่
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนและนิติกรรมแบ่งขาย โอนขายที่ดินระหว่างโจทก์ผู้ขายกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ผู้ซื้อเป็นการฟ้องเรียกคืนที่ดินให้กลับคืนมาเป็นของโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ แม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จะขาดนัดยื่นคำให้การ แต่จำเลยที่ 5 ให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ก็ต้องถือว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ทั้งคดี เมื่อที่ดินมีราคา50,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 จำเลยที่ 5 ให้การแต่เพียงว่า จำเลยที่ 5 แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทมาเกิน 1 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์ขาดอายุความการที่ศาลชั้นต้นหยิบยกบันทึกข้อตกลงที่ทำขึ้นภายหลังแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์สละสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 5 และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าบันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น และมิใช่ข้อที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนอันศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกประเด็นถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์และเป็นข้อกฎหมายซึ่งเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3926/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำขอเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงและหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นคำขอประธาน ไม่ขัดขวางการอุทธรณ์ข้อเท็จจริง
คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสามซึ่งขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงและคำขอท้ายฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามซึ่งขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ทั้งสามเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้แม้หากมีการเพิกถอนแล้วจะมีผลทำให้โจทก์ทั้งสามหรือจำเลยที่3ได้สิทธิครอบครองหรือได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทและที่ดินดังกล่าวมีราคาไม่เกิน50,000บาทก็ต้องถือว่าคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เป็นคำขอประธานจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2261/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์และฎีกาในคดีขับไล่ที่มีค่าเช่าต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ประเด็นการต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามมาตรา 224
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนย้ายสิ่งปลูกสร้างพร้อมบริวารออกไปจากที่พิพาทของโจทก์ซึ่งมีค่าเช่าปีละ1,000บาทจำเลยให้การเพียงว่า ช. สามีโจทก์เอาเงินจากจำเลยไปซื้อที่ดินพิพาทมิได้กล่าวอ้างโดยชัดแจ้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยหรือจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของและในการอุทธรณ์และฎีกาจำเลยก็อุทธรณ์และฎีกาแต่เพียงว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทมิได้อุทธรณ์และฎีกาในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแต่อย่างใดจึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสี่พันบาทต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทและไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ฟังว่าจำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทและต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงไม่เป็นการชอบด้วยกระบวนพิจารณาจำเลยไม่มีสิทธิที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนั้นต่อมา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2248/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คดีเช่าที่ถูกจำกัดสิทธิ - ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการวินิจฉัยกำหนดเวลาเช่าเป็นดุลพินิจข้อเท็จจริง ไม่ใช่ข้อกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ซึ่งให้เช่าเดือนละสองร้อยบาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสองศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยได้เข้าอยู่อาศัยและใช้ประโยชน์จากห้องพิพาทนับแต่วันทำสัญญาจอง กำหนดเวลาเช่าจึงเริ่มนับแต่วันทำสัญญาจอง การที่ศาลชั้นต้นฟังพยานบุคคลและพยานเอกสารแล้ววินิจฉัยถึงกำหนดเวลาเช่าว่ามีเพียงใดเป็นการใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานเป็นข้อเท็จจริง กรณีไม่ใช่เป็นการตีความสัญญาจอง จึงไม่ใช่ข้อกฎหมาย จึงต้องห้ามมิให้ อุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1439/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ราคาทรัพย์สินที่ใช้ในการพิจารณาคดี ต้องเป็นราคา ณ วันที่ยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้น
ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ต้องถือตามราคาทรัพย์สินที่พิพาทในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้นจะนำราคาทรัพย์สินที่พิพาทซึ่งอาจจะเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นมาคำนวณเป็นราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1264/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดิน: พิพาทระหว่างเจ้าของที่ดินกับที่สาธารณสมบัติ, การคำนวณทุนทรัพย์ในคดี
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเฉพาะส่วนที่ออกทับที่ของโจทก์จำนวน 45 ไร่ และเรียกค่าเสียหายอ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์ได้รับยกให้จากบิดา ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) จำเลยให้การว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันโจทก์มิใช่เจ้าของที่ดินดังกล่าว คดีจึงมีประเด็นว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือเป็นที่สาธารณประโยชน์ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท หาใช่มีทุนทรัพย์เพียงเท่าค่าเสียหายจำนวน 20,000 บาท จึงไม่ต้องห้ามโจทก์อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามป.วิ.พ.มาตรา 224

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1069/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทุนทรัพย์ในคดีแพ่ง: การคำนวณจากราคาที่พิพาทและค่าเสียหาย เพื่อกำหนดอำนาจศาลและขอบเขตการอุทธรณ์ฎีกา
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลและให้จำเลยที่1โอนขายที่พิพาทให้โจทก์ที่1เนื้อที่ประมาณ71ตารางวา ในราคาตารางวาละ250บาทรวมเป็นเงิน17,750บาทตามสัญญาจะซื้อจะขายและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน10,000บาทโดยเสียค่าขึ้นศาลในส่วนของที่พิพาทในราคาตารางวาละ250บาทตามสัญญาจะซื้อจะขายศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลยังไม่ครบถ้วนโดยไม่ได้คำนวณราคาที่พิพาทจึงให้โจทก์ทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลให้ครบต่อมาได้มีการ คำนวณราคาที่พิพาทตารางวาละ1,000บาทรวมเป็นราคาที่พิพาท71,000บาทค่าเสียหายอีก10,000บาทรวมเป็น81,000บาทซึ่งถือเป็นทุนทรัพย์ในคดีนี้ดังนั้นจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องหรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทในคดี ขณะยื่นคำฟ้องจึงเกินกว่า50,000บาทไม่ใช่ถือเอาทุนทรัพย์หรือราคาตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยโดยเห็นว่าจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน50,000บาทต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่งจึงไม่ชอบทั้งเป็นคดีที่ ต้องห้ามฎีกาใน ข้อเท็จจริง ศาลฎีกาย่อมย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวตามลำดับชั้นศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 906/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทสัญญาซื้อขายที่ดิน: การพิจารณาประเด็นข้อเท็จจริงและการย้อนสำนวนเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด
โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทโจทก์จึงริบมัดจำและถือว่าสัญญาเลิกกันขอให้ขับไล่และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์ผิดสัญญาจะซื้อขายเพราะไม่สามารถแบ่งแยกที่ดินได้ตามสัญญาขอให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาหรือคืนเงินมัดจำดังนั้นสภาพแห่งข้อหาจึงมิใช่คดีฟ้องขับไล่บุคคลใดออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ4,000บาทแต่เป็นคดีที่พิพาทกันตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินซึ่งราคาทรัพย์หรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์เกินกว่า50,000บาทจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
of 65