คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 224

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 645 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2886/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีขับไล่และการบอกเลิกสัญญาเช่า ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ซึ่งขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาท จำเลยมิได้กล่าวแก้ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ทั้งไม่มีประเด็นเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่า ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลย การที่จำเลยอุทธรณ์อ้างว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีโดยถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบและให้สืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวเป็นการไม่ชอบ ทั้งมีสัญญาต่างตอบแทนระหว่างผู้ให้เช่ากับจำเลย โจทก์บอกเลิกการเช่าโดยมิชอบและค่าเสียหายของโจทก์ไม่ถึงจำนวนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้นเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2886/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดสิทธิอุทธรณ์คดีขับไล่ - ปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามมาตรา 224
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ซึ่งขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาท จำเลยมิได้กล่าวแก้ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ทั้งไม่มีประเด็นเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่า ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลย การที่จำเลยอุทธรณ์อ้างว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีโดยถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบและให้สืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวเป็นการไม่ชอบ ทั้งมีสัญญาต่างตอบแทนระหว่างผู้ให้เช่ากับจำเลย โจทก์บอกเลิกการเช่าโดยมิชอบและค่าเสียหายของ โจทก์ไม่ถึงจำนวนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้น เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2514/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีค่าเช่าและขับไล่: ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาไม่อาจวินิจฉัยได้
คดีฟ้องเรียกค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์อันมีทุนทรัพย์ไม่เกินสองหมื่นบาทและขอให้ขับไล่จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์ซึ่งในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาท จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วให้ยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ว่ามิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ดังนี้เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 3 และจำเลยไม่มีสิทธิฎีกาได้อีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1679/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ต้องปฏิบัติตามขั้นตอน ป.วิ.พ. มาตรา 234 หากไม่ปฏิบัติตามศาลมีสิทธิยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาในคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 20,000 บาท ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์เพราะเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง การที่จำเลยยื่นคำร้องโดยอ้าง ป.วิ.พ. มาตรา 27 ขอให้ศาลอุทธรณ์เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นโดยอ้างว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายนั้นเนื้อแท้ของคำร้องก็คือการอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 234 นั่นเอง เมื่อจำเลยไม่นำค่าฤชาธรรมเนียมและเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษามาวางศาลภายในเวลาที่ศาลอุทธรณ์กำหนด ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ยกคำร้อง จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1679/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์คดีทุนทรัพย์น้อยกว่า 20,000 บาท: การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการวางเงินประกัน ทำให้ศาลยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาในคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 20,000 บาทศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์เพราะเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงการที่จำเลยยื่นคำร้องโดยอ้างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 ขอให้ศาลอุทธรณ์เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นโดยอ้างว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายนั้น เนื้อแท้ของคำร้องก็คือการอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยตามมาตรา 234นั่นเอง เมื่อจำเลยไม่นำค่าฤชาธรรมเนียมและเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษา มาวางศาลภายในเวลาที่ศาลอุทธรณ์กำหนด ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ยกคำร้องจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1270/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัยคดี: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจแก้ไขข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกต้องแม้ทุนทรัพย์น้อย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3จำเลยที่ 2 ที่ 3 ปฏิเสธว่ามิได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 2 รับว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและกระทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ดังนี้ โจทก์ต้องนำสืบต่อไปว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ดังที่ฟ้อง เมื่อโจทก์มิได้นำสืบเช่นนั้น การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ด้วย จึงเป็นการนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัยให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นปัญหาข้อกฎหมาย มิใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจรับฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวน แม้ทุนทรัพย์คดีไม่เกิน 20,000 บาท ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 195/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลสมบูรณ์ของการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์: การทำสัญญาและการชำระราคาเป็นสำคัญ
อุทธรณ์ของผู้ร้องที่ว่า การที่ผู้ร้องและจำเลยได้ยื่นคำขอโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ ณ ที่ทำการชุมสายโทรศัพท์ ถือได้ว่าการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ของผู้ร้องมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้วตั้งแต่วันที่ได้ทำคำขอโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์และเป็นการปฏิบัติถูกต้องตามวิธีการโอนสิทธิเรียกร้องอันถือได้ว่าองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้ยินยอมให้มีการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ดังกล่าวแล้ว เป็นอุทธรณ์ข้อกฎหมาย
จำเลยและผู้ร้องได้ตกลงโอนขายสิทธิการเช่าโทรศัพท์ต่อกันทั้งได้ทำคำขอโอนและรับโอนการเช่าโทรศัพท์ร่วมกันต่อองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยก็รับทราบและได้แจ้งให้จำเลยและผู้ร้องไปชำระเงินค่าโอนย้ายโทรศัพท์แล้ว อีกทั้งผู้ร้องก็ได้ชำระราคาให้จำเลยและจำเลยได้ส่งมอบเครื่องโทรศัพท์ไว้ในครอบครองของผู้ร้องแล้วตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขายดังนั้นการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์รายนี้ย่อมมีผลสมบูรณ์ตั้งแต่ขณะทำสัญญาเสร็จการที่จะไปทำการเปลี่ยนชื่อผู้เช่าโทรศัพท์จากจำเลยมาเป็นชื่อผู้ร้องเป็นแต่เพียงแบบพิธีการเท่านั้น.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4096/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายที่จำกัดตามค่าเช่าอาคาร ทำให้ต้องห้ามอุทธรณ์ตามมาตรา 224
การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 20,000 บาทนั้น เมื่อโจทก์เรียกค่าเสียหายมาเป็นส่วนหนึ่งของการฟ้องขับไล่ มิได้เรียกมาอย่างเอกเทศในข้อหาอื่น และขณะยื่นคำฟ้องปรากฏว่าอาคารพิพาทมีค่าเช่าไม่ถึงเดือนละ 2,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224
ในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวมิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 เช่นเดียวกับฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
แม้จำเลยจะได้ทำสัญญาเช่าอาคารพิพาทกับเจ้าของอาคารซึ่งได้เลิกสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยก่อนที่จำเลยจะทำสัญญาเช่ากับเจ้าของอาคารโดยขณะนั้นโจทก์ยังเป็นผู้เช่าอาคารพิพาทอยู่จำเลยจึงหาอาจยกสัญญาเช่าของจำเลยมาเป็นข้อต่อสู้ไม่ยอมออกจากอาคารพิพาทที่จำเลยอาศัยอยู่โดยสิทธิของโจทก์ได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4096/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีต้องห้ามอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 224 พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความแพ่ง กรณีค่าเช่าอาคารต่ำกว่าเกณฑ์
การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 20,000 บาทนั้น เมื่อโจทก์เรียกค่าเสียหายมาเป็นส่วนหนึ่งของการฟ้องขับไล่ มิได้เรียกมาอย่างเอกเทศในข้อหาอื่น และขณะยื่นคำฟ้องปรากฏว่าอาคารพิพาทมีค่าเช่าไม่ถึงเดือนละ 2,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224
ในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวมิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 เช่นเดียวกับฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
แม้จำเลยจะได้ทำสัญญาเช่าอาคารพิพาทกับเจ้าของอาคารซึ่งได้เลิกสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยก่อนที่จำเลยจะทำสัญญาเช่ากับเจ้าของอาคารโดยขณะนั้นโจทก์ยังเป็นผู้เช่าอาคารพิพาทอยู่จำเลยจึงหาอาจยกสัญญาเช่าของจำเลยมาเป็นข้อต่อสู้ไม่ยอมออกจากอาคารพิพาทที่จำเลยอาศัยอยู่โดยสิทธิของโจทก์ได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2677/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีล้มละลาย: จำนวนทุนทรัพย์ไม่เกินสองหมื่นบาท และการโต้แย้งดุลพินิจศาลชั้นต้น
กรณีที่เจ้าหนี้ในคดีล้มละลายยื่นคำขอรับชำระหนี้ที่มีจำนวนทุนทรัพย์ไม่เกินสองหมื่นบาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 153 การอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยถึงแม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่มีสิทธิยกปัญหาดังกล่าวขึ้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 153.
of 65