คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 224

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 645 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2844/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นายหน้าไม่ใช่ผู้ซื้อ: ศาลฎีกายืนตามข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นนายหน้า ไม่ต้องรับผิดชำระค่าเครื่องปรับอากาศ ฟ้องแย้งค่านายหน้าไม่สามารถอุทธรณ์ฎีกาได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินค่าซื้อเครื่องปรับอากาศ 110,000 บาท แก่โจทก์ จำเลยให้การว่าไม่ได้เป็นผู้ซื้อแต่เป็นนายหน้าจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ และฟ้องแย้งให้โจทก์ชำระเงินค่านายหน้า 10,600 บาทแก่จำเลยศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเครื่องปรับอากาศและยกฟ้องแย้งจำเลยดังนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาข้อเท็จจริงและศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ ก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยมีสิทธิฎีกาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2184-2195/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ที่ดินวัด: แม้มีโฉนด แต่กรรมสิทธิ์ยังเป็นของวัด, อุทธรณ์ฎีกาได้ในข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและจำเลยร่วมออกจากที่ดิน จำเลยและจำเลยร่วมต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของตนจึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ และจำเลยทุกสำนวนได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ คู่ความย่อมมีสิทธิ์อุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224, 248
ที่พิพาทแปลงใหญ่เป็นของวัดโจทก์ แม้ที่พิพาทบางแปลงจะมีโฉนดที่ดินมีชื่อจำเลยและจำเลยร่วมในโฉนด จำเลยและจำเลยร่วมก็หาได้กรรมสิทธิ์ในที่ของวัดโจทก์ไม่ เพราะที่วัดจะโอนกรรมสิทธิ์ได้ก็แต่โดยพระราชบัญญัติ และบุคคลใดจะยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัดในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นที่วัดหาได้ไม่ ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. 2505 มาตรา 34

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2184-2195/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ที่ดินของวัด: แม้มีโฉนด แต่สิทธิยังเป็นของวัด คดีอุทธรณ์ฎีกาได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและจำเลยร่วมออกจากที่ดิน จำเลยและจำเลยร่วมต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของตนจึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ และจำเลยทุกสำนวนได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ คู่ความย่อมมีสิทธิ์อุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224, 248
ที่พิพาทแปลงใหญ่เป็นของวัดโจทก์ แม้ที่พิพาทบางแปลงจะมีโฉนดที่ดินมีชื่อจำเลยและจำเลยร่วมในโฉนด จำเลยและจำเลยร่วมก็หาได้กรรมสิทธิ์ในที่ของวัดโจทก์ไม่ เพราะที่วัดจะโอนกรรมสิทธิ์ได้ก็แต่โดยพระราชบัญญัติ และบุคคลใดจะยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัดในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นที่วัดหาได้ไม่ ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 34

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1727/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดสิทธิอุทธรณ์คดีเช่าค่าเช่าต่ำกว่าสองพันบาท และการเพิกเฉยต่อการดำเนินคดีฟ้องแย้ง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าห้องแถวจากโจทก์มีกำหนดเวลาสามสิบปีค่าเช่าเดือนละสี่สิบบาทโดยไม่ได้จดทะเบียนการเช่า จึงมีสิทธิการเช่าเพียงสามปี ครบกำหนดและบอกเลิกการเช่าแก่จำเลยแล้ว ขอให้ขับไล่ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาจะต้องไปจดทะเบียนการเช่ามีกำหนดสามสิบปี ในวันทำสัญญาจำเลยได้เสียค่าตอบแทนแก่โจทก์และได้ตกแต่งห้องแถวเป็นเงินจำนวนหนึ่ง สัญญาเช่าจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา ขอให้บังคับโจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าตามสัญญาดังนี้ เป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาทซึ่งจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่า ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
จำเลยอุทธรณ์ว่าสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา เพราะโจทก์ประสงค์จะให้จำเลยเช่ามีกำหนดสามสิบปี จำเลยได้ออกเงินชำระค่าก่อสร้าง ได้เสียเงินค่าตอบแทนและได้ปรับปรุงตกแต่งห้องพิพาทสิ้นเงินไปจำนวนหนึ่งนั้น เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังมา ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
ศาลชั้นต้นสั่งรับคำให้การและฟ้องแย้งว่า หมายเรียกส่งสำเนาคำให้การและฟ้องแย้งให้โจทก์ ให้โจทก์แก้ฟ้องแย้งภายใน 8 วัน ส่งหมายเรียกไม่ได้ให้จำเลยแถลงภายใน 15 วันนับแต่วันส่งไม่ได้ ถ้าไม่แถลงให้ถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องแย้ง ดังนี้เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้นำเจ้าพนักงานศาลส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องแย้งแก่โจทก์แล้วแต่ส่งไม่ได้ ซึ่งแสดงว่าจำเลยทราบอยู่แล้วถึงการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องแย้งไม่ได้จำเลยจึงต้องแถลงให้ศาลทราบภายใน 15 วันนับแต่วันส่งไม่ได้ เมื่อจำเลยยื่นคำแถลงเกินกำหนดดังกล่าว ต้องถือว่าจำเลยเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในกำหนดเวลาตามที่ศาลกำหนด เป็นการทิ้งฟ้องแย้ง ชอบที่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1727/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีเช่า และการทิ้งฟ้องแย้งจากความล่าช้าในการดำเนินการ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าห้องแถวจากโจทก์มีกำหนดเวลาสามสิบปีค่าเช่าเดือนละสี่สิบบาทโดยไม่ได้จดทะเบียนการเช่าจึงมีสิทธิการเช่าเพียงสามปี ครบกำหนดและบอกเลิกการเช่าแก่จำเลยแล้ว ขอให้ขับไล่ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาจะต้องไปจดทะเบียนการเช่ามีกำหนดสามสิบปี ในวันทำสัญญาจำเลยได้เสียค่าตอบแทนแก่โจทก์และได้ตกแต่งห้องแถวเป็นเงินจำนวนหนึ่ง สัญญาเช่าจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา ขอให้บังคับโจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าตามสัญญาดังนี้ เป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท ซึ่งจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่า ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
จำเลยอุทธรณ์ว่าสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา เพราะโจทก์ประสงค์จะให้จำเลยเช่ามีกำหนดสามสิบปี จำเลยได้ออกเงินชำระค่าก่อสร้าง ได้เสียเงินค่าตอบแทนและได้ปรับปรุงตกแต่งห้องพิพาทสิ้นเงินไปจำนวนหนึ่งนั้น เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังมา ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
ศาลชั้นต้นสั่งรับคำให้การและฟ้องแย้งว่า หมายเรียกส่งสำเนาคำให้การและฟ้องแย้งให้โจทก์ ให้โจทก์แก้ฟ้องแย้งภายใน 8 วัน ส่งหมายเรียกไม่ได้ ให้จำเลยแถลงภายใน 15 วันนับแต่วันส่งไม่ได้ ถ้าไม่แถลงให้ถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องแย้ง ดังนี้เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้นำเจ้าพนักงานศาลส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องแย้งแก่โจทก์แล้วแต่ส่งไม่ได้ ซึ่งแสดงว่าจำเลยทราบอยู่แล้วถึงการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องแย้งไม่ได้จำเลยจึงต้องแถลงให้ศาลทราบภายใน 15 วันนับแต่วันส่งไม่ได้ เมื่อจำเลยยื่นคำแถลงเกินกำหนดดังกล่าว ต้องถือว่าจำเลยเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในกำหนดเวลาตามที่ศาลกำหนด เป็นการทิ้งฟ้องแย้ง ชอบที่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1652/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีขับไล่ผู้เช่าพ้นอาคารหลังสัญญาเช่าสิ้นสุด ศาลจำกัดสิทธิอุทธรณ์เฉพาะข้อกฎหมายตามมาตรา 224 ว.สอง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นบริวารของผู้เช่าออกจากตึกแถวที่เช่าเพราะครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้ว โดยเรียกค่าเสียหายที่ไม่อาจให้ผู้อื่นเช่าได้ค่าเช่าเดือนละ 1,500บาทมาด้วย จำเลยให้การต่อสู้ว่ายังไม่ครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่า และโจทก์ให้จำเลยเช่าต่อจากบิดาจำเลยเป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าหรือผู้อาศัยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 2,000 บาทจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2518 มาตรา 3จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย และศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นฟังมาจากพยานหลักฐานในสำนวน
ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 1,000 บาทเป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นและเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้จำเลยอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ถึงแม้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับบิดาจำเลยจะเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา ก็ไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิอยู่ในตึกแถวพิพาทหลังจากสัญญาเช่าครบกำหนดได้
เมื่อสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับบิดาจำเลยระงับลงตามกำหนดเวลาที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว โจทก์ผู้ให้เช่าจึงไม่ต้องบอกกล่าวเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 564
หลังจากบิดาจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าถึงแก่กรรม แม้โจทก์ยังเก็บค่าเช่าจากจำเลยและออกใบเสร็จรับเงินให้ แต่ออกให้ในนามของบิดาจำเลย กรณีจึงถือไม่ได้ว่าใบเสร็จรับเงินดังกล่าวเป็นหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือระหว่างโจทก์กับจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1652/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีขับไล่ผู้เช่าหลังสัญญาหมดอายุ แม้มีการเก็บค่าเช่าต่อ ก็ไม่ถือเป็นสัญญาใหม่
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นบริวารของผู้เช่าออกจากตึกแถวที่เช่าเพราะครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้ว โดยเรียกค่าเสียหายที่ไม่อาจให้ผู้อื่นเช่าได้ค่าเช่าเดือนละ 1,500 บาทมาด้วย จำเลยให้การต่อสู้ว่ายังไม่ครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่า และโจทก์ให้จำเลยเช่าต่อจากบิดาจำเลย เป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าหรือผู้อาศัยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 3 จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย และศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นฟังมาจากพยานหลักฐานในสำนวน
ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 1,000 บาท เป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นและเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้จำเลยอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ถึงแม้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับบิดาจำเลยจะเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา ก็ไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิอยู่ในตึกแถวพิพาทหลังจากสัญญาเช่าครบกำหนดได้
เมื่อสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับบิดาจำเลยระงับลงตามกำหนดเวลาที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว โจทก์ผู้ให้เช่าจึงไม่ต้องบอกกล่าวเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 564
หลังจากบิดาจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าถึงแก่กรรม แม้โจทก์ยังเก็บค่าเช่าจากจำเลยและออกใบเสร็จรับเงินให้ แต่ออกให้ในนามของบิดาจำเลย กรณีจึงถือไม่ได้ว่าใบเสร็จรับเงินดังกล่าวเป็นหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือระหว่างโจทก์กับจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1471/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างระบุระยะเวลาขั้นต่ำ 3 ปี มิใช่สัญญาที่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย
ข้อตกลงตามหนังสือสัญญาจ้างมีว่า 'กำหนดสัญญาว่าจ้างอย่างน้อยเป็นเวลา 3 ปี' นั้น สัญญาจ้างหาสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนด 3 ปีไม่ แต่ยังมีผลต่อไปจนกว่าจะมีการบอกเลิกสัญญา สัญญาจ้างดังกล่าวจึงมิใช่สัญญาที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนอันจะเป็นเหตุให้นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้างตามกำหนดระยะเวลานั้น
เมื่อศาลแรงงานกลางพิพากษายกคำขอของโจทก์ในเรื่องสินจ้างแทนการบอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้า โจทก์มิได้อุทธรณ์เพียงแต่ขอมาในคำแก้อุทธรณ์ว่าขอให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้าเป็นเงิน 30,000 บาทแก่โจทก์ ศาลฎีกาจะพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างดังกล่าวหาได้ไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 929-930/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์และฎีกาในคดีที่มีทุนทรัพย์น้อยกว่าสองหมื่นบาท และผลกระทบต่อการพิจารณาคดี
คดีสองสำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเหตุที่รถชนกันเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของคนขับรถของโจทก์ที่ 2 ที่ 3 และจำเลยที่ 2 ข้อที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าเหตุที่รถชนกันเป็นเพราะความประมาทของคนขับรถโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ฝ่ายเดียวนั้น เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อคดีสำหรับโจทก์ที่ 1 มีทุนทรัพย์แต่ละสำนวนไม่เกินสองหมื่นบาทจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยถึงแม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 929-930/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีแพ่งที่มีทุนทรัพย์น้อยกว่าสองหมื่นบาท และการฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว
คดีสองสำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเหตุที่รถชนกันเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของคนขับรถของโจทก์ที่ 2 ที่ 3 และจำเลยที่ 2 ข้อที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าเหตุที่รถชนกันเป็นเพราะความประมาทของคนขับรถโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ฝ่ายเดียวนั้น เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อคดีสำหรับโจทก์ที่ 1 มีทุนทรัพย์แต่ละสำนวนไม่เกินสองหมื่นบาทจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยถึงแม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
of 65