พบผลลัพธ์ทั้งหมด 433 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7014/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำพิพากษาเรื่องค่าปรับและวิธีการกักขังแทนค่าปรับในคดีศุลกากรและป่าไม้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 200บัญญัติว่าให้ศาลส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งแก้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาอุทธรณ์ จึงนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 70 วรรคสอง และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 มาใช้บังคับให้ผู้อุทธรณ์เป็นผู้นำส่งสำเนาอุทธรณ์หาได้ไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาไว้ในตอนต้นว่า "ฐานร่วมกันรับเอาไว้ซึ่งของต้องจำกัดมิให้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร ปรับรวมเป็นเงิน 26,000 บาท" แม้จะระบุเพิ่มเติมต่อไปว่า"ซึ่งจำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระกันคนละกึ่งหนึ่งเป็นเงิน 13,000 บาท"ก็ถือได้ว่าเป็นเพียงศาลชั้นต้นประสงค์จะแบ่งความรับผิดของจำเลยทั้งสองให้เป็นสัดส่วนเพื่อสะดวกแก่การกักขังแทนค่าปรับเท่านั้นการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้เฉลี่ยกักขังไปตามสัดส่วนของจำเลยแต่ละคน ไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะเรื่องค่าปรับว่าเป็นการปรับรวมกันมิใช่แยกปรับเป็นรายบุคคลในความผิดฐานร่วมกันรับเอาไว้ซึ่งของต้องจำกัดมิให้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร และแก้ไขเรื่องการจ่ายสินบนนำจับของผู้นำจับและรางวัลของผู้จับโดยแยกให้ชัดเจนตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯและพระราชบัญญัติศุลกากรฯ เช่นนี้ เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองไม่เกินห้าปีหรือปรับหรือทั้งจำทั้งปรับ แต่โทษจำคุกไม่เกินห้าปี จำเลยทั้งสองฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ลงโทษหนักเกินไปเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
จำเลยทั้งสองถูกปรับรวมกันตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯไม่เกิน 40,000 บาท จึงกักขังแทนค่าปรับได้ไม่เกิน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 30 เมื่อมีจำเลย 2 คน ต้องแบ่งการกักขังแทนค่าปรับละ 6 เดือน
ศาลชั้นต้นพิพากษาไว้ในตอนต้นว่า "ฐานร่วมกันรับเอาไว้ซึ่งของต้องจำกัดมิให้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร ปรับรวมเป็นเงิน 26,000 บาท" แม้จะระบุเพิ่มเติมต่อไปว่า"ซึ่งจำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระกันคนละกึ่งหนึ่งเป็นเงิน 13,000 บาท"ก็ถือได้ว่าเป็นเพียงศาลชั้นต้นประสงค์จะแบ่งความรับผิดของจำเลยทั้งสองให้เป็นสัดส่วนเพื่อสะดวกแก่การกักขังแทนค่าปรับเท่านั้นการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้เฉลี่ยกักขังไปตามสัดส่วนของจำเลยแต่ละคน ไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะเรื่องค่าปรับว่าเป็นการปรับรวมกันมิใช่แยกปรับเป็นรายบุคคลในความผิดฐานร่วมกันรับเอาไว้ซึ่งของต้องจำกัดมิให้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร และแก้ไขเรื่องการจ่ายสินบนนำจับของผู้นำจับและรางวัลของผู้จับโดยแยกให้ชัดเจนตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯและพระราชบัญญัติศุลกากรฯ เช่นนี้ เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองไม่เกินห้าปีหรือปรับหรือทั้งจำทั้งปรับ แต่โทษจำคุกไม่เกินห้าปี จำเลยทั้งสองฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ลงโทษหนักเกินไปเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
จำเลยทั้งสองถูกปรับรวมกันตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯไม่เกิน 40,000 บาท จึงกักขังแทนค่าปรับได้ไม่เกิน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 30 เมื่อมีจำเลย 2 คน ต้องแบ่งการกักขังแทนค่าปรับละ 6 เดือน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6828/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: ขายยาเสพติดและยาแผนปัจจุบัน ศาลปรับบทลงโทษตามกฎหมายที่หนักที่สุด
ความผิดฐานร่วมกันขายโดยการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 และยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 20 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 71 และพ.ร.บ. ยา พ.ศ. 2510 มาตรา 12 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 101 นั้น เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตาม พ.ร.บ. ยา พ.ศ. 2510 มาตรา 12 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 101 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ. มาตรา 90 ส่วนความผิดฐานมีไว้เพื่อขาย ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 ไม่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นความผิด
สำหรับความผิดฐานมีไว้เพื่อขายซึ่งยาแผนปัจจุบัน ตาม พ.ร.บ. ยา พ.ศ. 2510 มาตรา 4 ได้วิเคราะห์ศัพท์คำว่า "ขาย" หมายความว่า ขายปลีก ขายส่ง จำหน่าย จ่าย แจก แลกเปลี่ยนเพื่อประโยชน์ในทางการค้า และให้หมายความรวมถึงการมีไว้เพื่อขายด้วย ฉะนั้น การขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งยาแผนปัจจุบันจึงถือเป็นความผิดอย่างเดียวกัน จำเลยที่สองร่วมกันมียาแผนปัจจุบันไว้ในครอบครองเพื่อขายและร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันที่มีอยู่บางส่วนในวันเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นกรรมเดียวคือ การขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ดังนั้น แม้จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามฟ้องว่า ร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อขายและขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเป็น 2 กรรมก็ตาม แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยไว้เอง โดยให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเพียงกรรมเดียวโดยไม่แก้โทษในความผิดฐานดังกล่าวตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาเพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยทั้งสอง
สำหรับความผิดฐานมีไว้เพื่อขายซึ่งยาแผนปัจจุบัน ตาม พ.ร.บ. ยา พ.ศ. 2510 มาตรา 4 ได้วิเคราะห์ศัพท์คำว่า "ขาย" หมายความว่า ขายปลีก ขายส่ง จำหน่าย จ่าย แจก แลกเปลี่ยนเพื่อประโยชน์ในทางการค้า และให้หมายความรวมถึงการมีไว้เพื่อขายด้วย ฉะนั้น การขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งยาแผนปัจจุบันจึงถือเป็นความผิดอย่างเดียวกัน จำเลยที่สองร่วมกันมียาแผนปัจจุบันไว้ในครอบครองเพื่อขายและร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันที่มีอยู่บางส่วนในวันเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นกรรมเดียวคือ การขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ดังนั้น แม้จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามฟ้องว่า ร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อขายและขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเป็น 2 กรรมก็ตาม แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยไว้เอง โดยให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเพียงกรรมเดียวโดยไม่แก้โทษในความผิดฐานดังกล่าวตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาเพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2653/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพนันฟุตบอลและสลากกินรวบ: ความผิดหลายกรรม, การรับสารภาพ, และการปรับบทลงโทษ
สำหรับข้อหาเล่นการพนันทายผลฟุตบอลโลก โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้จัดให้มีการเล่นทายผลฟุตบอลโลก อันเป็นการเล่นซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการเล่นการพนันซึ่งได้ระบุไว้ในบัญชี ข. หมายเลข 3 ท้าย พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน นำมาซึ่งผลประโยชน์ของตน และร่วมเล่นกับพวกที่หลบหนีอยู่ ส่วนข้อหาเล่นการพนันสลากกินรวบ โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินรวบ อันนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน และร่วมกันเล่นพนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน อันเป็นการเล่นซึ่งระบุไว้ในบัญชี ข. หมายเลข 16 ท้ายพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 โดยถือเอาเลขท้าย 3 ตัว ของเลขรางวัลที่ 1 และเลขท้าย 2 ตัว ของสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดประจำวันที่ 1 และ 16 ระหว่างวันที่ 16 มกราคม 2541 ถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2541 เป็นเลขถูกรางวัลสลากกินรวบ ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นการบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวข้องพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี อีกทั้งจำเลยก็ให้การรับสารภาพ ย่อมแสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อหาตามคำฟ้องแล้ว ส่วนยอดเงินตามโพยมิใช่องค์ประกอบความผิดแต่เป็นรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องทั้งสองข้อหาจึงหาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดต่อ พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพข้อเท็จจริงจึงฟังได้ดังฟ้องโจทก์ จำเลยจะมาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่า พฤติการณ์ในการค้นและออกหมายค้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่อาจนำพยานหลักฐานที่ได้มาใช้รับฟังลงโทษจำเลยได้นั้นหาได้ไม่ เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว ทั้งยังเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาซึ่งมิใช่ข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิด 2 กรรมต่างกัน จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยเพียงกรรมเดียวซึ่งไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฏหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์และฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรปรับบทลงโทษเสียให้ถูกต้องโดยไม่แก้ไขโทษ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดต่อ พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพข้อเท็จจริงจึงฟังได้ดังฟ้องโจทก์ จำเลยจะมาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่า พฤติการณ์ในการค้นและออกหมายค้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่อาจนำพยานหลักฐานที่ได้มาใช้รับฟังลงโทษจำเลยได้นั้นหาได้ไม่ เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว ทั้งยังเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาซึ่งมิใช่ข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิด 2 กรรมต่างกัน จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยเพียงกรรมเดียวซึ่งไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฏหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์และฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรปรับบทลงโทษเสียให้ถูกต้องโดยไม่แก้ไขโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2646/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นใหม่และข้อโต้แย้งดุลพินิจศาลชั้นต้น/อุทธรณ์ รวมถึงประเด็นโทษจำคุกที่ไม่ถูกต้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกับ ส. มีเฮโรอีนจำนวน 16 หลอด และมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 76 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด ไว้ในครองครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ส่วนเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนที่เหลือเป็นของ ส. โดยจำเลยทั้งสองมิได้ร่วมกับ ส. มีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว โจทก์มิได้อุทธรณ์ ปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับ ส. มีเฮโรอีนจำนวน 16 หลอด และเมทแอมเฟตามีนจำนวน 66 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่จึงยุติไป โจทก์จะโต้เถียงในชั้นฎีกาว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับ ส. มีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีน ดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตหาได้ไม่ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ แล้วคงจำคุก 1 ปี 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษเป็นจำคุก 1 ปี และปรับ 10,000 บาท ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 6 เดือน ปรับ 7,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก จำเลยที่ 2 ไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำเลยที่ 2 ไม่เกินกำหนดดังกล่าว จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 ที่โจทก์ฎีกาว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับ ส. มีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตและขอให้ลงโทษสถานหนักโดยไม่รอการลงโทษให้จำเลยที่ 2 นั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและการกำหนดโทษของศาลว่าสมควรลงโทษจำเลยที่ 2 เพียงใด อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว
เมื่อขณะค้นพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด ของกลาง จำเลยที่ 1 นอนหลับอยู่บนเตียง แม้จะได้ความว่าจำเลยทั้งสองเช่าห้องพักที่เกิดเหตุอยู่ด้วยกัน เมื่อโจทก์ไม่สามารถนำสืบให้ศาลเห็นถึงพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด ไว้ในครอบครองจึงรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 6 เดือน ที่ถูกต้องจำคุก 9 เดือน แต่โจทก์มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษให้ถูกต้อง และที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 โดยไม่รอการลงโทษ ก็เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 คดีของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงไม่อาจขึ้นมาสู่การวินิจฉัย ของศาลฎีกา ศาลฎีกาไม่อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 2 ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ แล้วคงจำคุก 1 ปี 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษเป็นจำคุก 1 ปี และปรับ 10,000 บาท ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 6 เดือน ปรับ 7,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก จำเลยที่ 2 ไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำเลยที่ 2 ไม่เกินกำหนดดังกล่าว จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 ที่โจทก์ฎีกาว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับ ส. มีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตและขอให้ลงโทษสถานหนักโดยไม่รอการลงโทษให้จำเลยที่ 2 นั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและการกำหนดโทษของศาลว่าสมควรลงโทษจำเลยที่ 2 เพียงใด อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว
เมื่อขณะค้นพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด ของกลาง จำเลยที่ 1 นอนหลับอยู่บนเตียง แม้จะได้ความว่าจำเลยทั้งสองเช่าห้องพักที่เกิดเหตุอยู่ด้วยกัน เมื่อโจทก์ไม่สามารถนำสืบให้ศาลเห็นถึงพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด ไว้ในครอบครองจึงรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 6 เดือน ที่ถูกต้องจำคุก 9 เดือน แต่โจทก์มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษให้ถูกต้อง และที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 โดยไม่รอการลงโทษ ก็เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 คดีของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงไม่อาจขึ้นมาสู่การวินิจฉัย ของศาลฎีกา ศาลฎีกาไม่อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 2 ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2578/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันฐานปรับคลื่นวิทยุและใช้เครื่องวิทยุโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกาพิพากษาเพิ่มกระทงความผิด
จำเลยลักลอบปรับคลื่นโทรคมนาคมของโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบุคคลอื่นจำนวน 6 เครื่อง อันเป็นการจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนและขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมและนำออกให้ประชาชนเช่าบริการสาธารณะ อันเป็นการใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้จำเลยจะกระทำในวันเวลาเดียวกัน แต่ก็เป็นการกระทำที่สามารถแยกจากกันเป็นราย ๆ ไปได้ตามจำนวนโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่จำเลยลักลอบปรับคลื่นและนำออกให้ประชาชนเช่าบริการสาธารณะ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงฟังว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดแยกเป็นราย ๆ ไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันรวม 6 กระทง
ความผิดฐานมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตและความผิดฐานจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมตามมาตรา 6 ระวางโทษตามมาตรา 23 และมาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ. วิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มีองค์ประกอบความผิดต่างกัน จำเลยมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงเป็นความผิดตามมาตรา 23 อีกกระทงหนึ่ง
โจทก์มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกกระทงหนึ่งแยกต่างหากจากความผิดฐานจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมตามมาตรา 26 ด้วย ศาลฎีกาจึงลงโทษจำเลยตามมาตรา 23 อีกกระทงหนึ่งไม่ได้เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225 แต่ศาลฎีกาปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามมาตรา 195 ประกอบมาตรา 225
ความผิดฐานมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตและความผิดฐานจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมตามมาตรา 6 ระวางโทษตามมาตรา 23 และมาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ. วิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มีองค์ประกอบความผิดต่างกัน จำเลยมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงเป็นความผิดตามมาตรา 23 อีกกระทงหนึ่ง
โจทก์มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกกระทงหนึ่งแยกต่างหากจากความผิดฐานจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมตามมาตรา 26 ด้วย ศาลฎีกาจึงลงโทษจำเลยตามมาตรา 23 อีกกระทงหนึ่งไม่ได้เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225 แต่ศาลฎีกาปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามมาตรา 195 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2567/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากเหตุยิงในที่สาธารณะ ศาลแก้ไขบทลงโทษตามที่ฎีกาขอ
จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงไปที่กลุ่มคนหมู่มากและอยู่ในที่จำกัด ย่อมถือได้ว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล เมื่อมีผู้ถูกกระสุนปืนทั้งถึงแก่ความตายและไม่ตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่า
แม้ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มิใช่เป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก็ตาม แต่เมื่อโจทก์และโจทก์ร่วม มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น ศาลฎีกาจึงแก้ไขบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องได้เท่านั้น ไม่อาจพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
แม้ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มิใช่เป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก็ตาม แต่เมื่อโจทก์และโจทก์ร่วม มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น ศาลฎีกาจึงแก้ไขบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องได้เท่านั้น ไม่อาจพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1983/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายต้องมีภยันตรายใกล้ถึง การวิวาทสมัครใจไม่ถือเป็นการป้องกัน
การที่จะกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้ต้องเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง หากภยันตรายยังไม่ใกล้จะถึงเสียแล้วย่อมไม่อาจกระทำการเพื่อป้องกันได้ แม้ผู้ตายกับผู้เสียหายจะกระทำการประทุษร้ายกระชากคอเสื้อ ส. และข่มขู่ท้าทายให้ชกต่อยอันเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อกฎหมายและไม่มีอำนาจก็ตาม แต่เมื่อจำเลยสมัครใจเข้าวิวาท จำเลยก็ไม่อาจยกข้อต่อสู้ว่าจำต้องแทงทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหายเพื่อป้องกันสิทธิของ ส. หรือจำเลยได้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมาและพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยถือว่าจำเลยกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของ ส. ในขณะที่ภยันตรายยังไม่ใกล้จะถึงเป็นการกระทำการเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายอันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 เป็นการไม่ชอบ
แม้การกระทำของจำเลยจะไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายแต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาศาลฎีกาจึงปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องเท่านั้นไม่มีอำนาจแก้โทษจำเลยเพื่อกำหนดโทษใหม่ตามความผิดที่ถูกต้องและลงโทษจำเลยเกินกว่าที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดไว้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
แม้การกระทำของจำเลยจะไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายแต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาศาลฎีกาจึงปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องเท่านั้นไม่มีอำนาจแก้โทษจำเลยเพื่อกำหนดโทษใหม่ตามความผิดที่ถูกต้องและลงโทษจำเลยเกินกว่าที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดไว้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9012/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายยาเสพติด: การส่งมอบยาให้ตำรวจถือเป็นความผิดฐานจำหน่าย แม้ยังไม่ได้รับเงิน
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 นิยามคำว่า "จำหน่าย" หมายความถึง ขาย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน ให้ การที่จำเลยส่งมอบเมทแอมเฟตามีนให้เจ้าพนักงานตำรวจตรวจดูโดยไม่รู้ว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ แม้ว่าเจ้าพนักงานตำรวจจะยังมิได้ส่งมอบเงินค่าเมทแอมเฟตามีนให้แก่จำเลย การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแล้ว มิใช่เป็นเพียงความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้โจทก์มิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง แต่ไม่อาจแก้โทษที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามา เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8682/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษในคดีก่อนเข้ากับคดีหลัง แม้ศาลล่างมิได้ดำเนินการ
จำเลยกระทำความผิดคดีนี้อีกเป็นครั้งที่สามภายในเวลาที่รอการลงโทษไว้ในสองคดีก่อน แสดงว่าจำเลยไม่เข็ดหลาบและมิได้เกรงกลัว ไม่มีประโยชน์ที่จะปราณีรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยอีก
ศาลล่างทั้งสองไม่นำโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนสองคดีมาบวกเข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้ ศาลฎีกามีอำนาจนำโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้มาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคแรก และกรณีมิใช่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยเพราะกฎหมายบังคับให้ดำเนินการ ทั้งเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง
ศาลล่างทั้งสองไม่นำโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนสองคดีมาบวกเข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้ ศาลฎีกามีอำนาจนำโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้มาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคแรก และกรณีมิใช่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยเพราะกฎหมายบังคับให้ดำเนินการ ทั้งเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8154/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกายกประเด็นความไม่ชอบที่ศาลล่างลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมเกินกว่าที่ฟ้อง และสั่งริบของกลางได้ แม้คู่ความมิได้ฎีกา
ความผิดสองกระทงหลังโจทก์ฟ้องเฉพาะฐานปลอมเอกสารมิได้ฟ้องฐานใช้เอกสารปลอมด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264,266(4),268,335(7)(11),32,33,83,91 และขอให้ริบของกลางคือเช็ค 2 ฉบับ ที่จำเลยทั้งสองลักไปและทำการปลอมด้วย แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้มีคำวินิจฉัยว่าจะริบของกลางนั้นหรือไม่ คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9) แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 225 และการริบทรัพย์สินของกลางนี้ไม่เป็นการเพิ่มโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามตามมาตรา 212
เช็คของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองลักไปแล้วทำการปลอมเช็คจึงให้ริบ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264,266(4),268,335(7)(11),32,33,83,91 และขอให้ริบของกลางคือเช็ค 2 ฉบับ ที่จำเลยทั้งสองลักไปและทำการปลอมด้วย แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้มีคำวินิจฉัยว่าจะริบของกลางนั้นหรือไม่ คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9) แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 225 และการริบทรัพย์สินของกลางนี้ไม่เป็นการเพิ่มโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามตามมาตรา 212
เช็คของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองลักไปแล้วทำการปลอมเช็คจึงให้ริบ