คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 212

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 433 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4796/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพรากผู้เยาว์, พาไปเพื่อการอนาจาร, และร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราโดยมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 17 ปีเศษไปให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 กับพวกผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรานั้นจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาโดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วยกรรมหนึ่ง และจำเลยที่ 1 ยังมีความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารอีกกรรมหนึ่งด้วย
แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตามแต่การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายไปให้พวกของตนผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราและรออยู่จนพวกของตนข่มขืนกระทำชำเราเสร็จแล้วจึงพาผู้เสียหายกลับไปนั้น ถือได้ว่าจำเลยที่1 ร่วมกับพวกกระทำผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 และมาตรา 318 โดยมิได้ระบุวรรคศาลฎีกาจึงระบุวรรคเสียให้ถูกต้องและเมื่อฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามมาตรา 284 วรรคแรก ตามฟ้องอีกด้วย ศาลฎีกาปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ให้ถูกต้องได้ แต่เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้เพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4796/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานพรากผู้เยาว์, พาไปเพื่อการอนาจาร, ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา โดยจำเลยที่ 1 มีส่วนร่วมโดยการพาผู้เสียหายไปหาผู้กระทำผิด
การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 17 ปีเศษ ไปให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 กับพวกผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรานั้นจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาโดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วยกรรมหนึ่ง และจำเลยที่ 1ยังมีความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารอีกกรรมหนึ่งด้วย
แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตามแต่การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายไปให้พวกของตนผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราและรออยู่จนพวกของตนข่มขืนกระทำชำเราเสร็จแล้วจึงพาผู้เสียหายกลับไปนั้น ถือได้ว่าจำเลยที่1 ร่วมกับพวกกระทำผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา276 และมาตรา 318 โดยมิได้ระบุวรรคศาลฎีกาจึงระบุวรรคเสียให้ถูกต้องและเมื่อฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามมาตรา 284 วรรคแรกตามฟ้องอีกด้วย ศาลฎีกาปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ให้ถูกต้องได้ แต่เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้เพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3854/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาลงโทษฐานชิงทรัพย์และมีอาวุธปืนโดยมิได้รับอนุญาต รวมถึงประเด็นการลดโทษและริบของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี จำคุก 18 ปี เพิ่มโทษตามมาตรา 93เป็นจำคุก 27 ปี มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯมาตรา 7,8 ทวิ,72,72 ทวิฐานมีอาวุธปืนจำคุก 1 ปี 6 เดือนฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะจำคุกคนละ 6เดือน เป็นโทษจำคุก29 ปี ลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก19 ปี 4 เดือน จำเลยอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 จำคุก 12 ปีเพิ่มโทษตามมาตรา 93เป็นจำคุก 18 ปี รวมกับโทษฐานมีอาวุธปืนพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร เป็นจำคุก 20 ปี ไม่ได้ลดโทษให้แก่จำเลย เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยโดยที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ เป็นการไม่ถูกต้องศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกไว้ 13 ปี 4 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 โดยมิได้ระบุวรรคใด ยังไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยระบุวรรคให้ถูกต้อง
แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏในทางพิจารณาว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมกับยึดอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนและกระสุนปืนจากจำเลยเป็นของกลางซึ่งเป็นทรัพย์ที่ผู้ใดมีไว้เป็นความผิดอันจะต้องริบเสียทั้งสิ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา32 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้กล่าวไว้ในฟ้องว่า ได้มีการยึดอาวุธปืนและกระสุนปืนเป็นของกลาง ทั้งมิได้มีคำขอให้ศาลสั่งริบ ศาลย่อมริบอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก. (วรรคสุดท้ายวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่8/2530).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3854/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาโทษอาญาที่ถูกต้อง การลดโทษ และการริบของกลางตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี จำคุก 18 ปี เพิ่มโทษตามมาตรา 93 เป็นจำคุก 27 ปี มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิฐานมีอาวุธปืนจำคุก 1 ปี 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะจำคุกคนละ 6 เดือน เป็นโทษจำคุก 29 ปี ลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก19 ปี 4 เดือน จำเลยอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 จำคุก 12 ปี เพิ่มโทษตามมาตรา 93 เป็นจำคุก 18 ปี รวมกับโทษฐานมีอาวุธปืนพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร เป็นจำคุก 20 ปี ไม่ได้ลดโทษให้แก่จำเลย เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยโดยที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ เป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกไว้ 13 ปี 4 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 โดยมิได้ระบุวรรคใด ยังไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยระบุวรรคให้ถูกต้อง
แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏในทางพิจารณาว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมกับยึดอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนและกระสุนปืนจากจำเลยเป็นของกลางซึ่งเป็นทรัพย์ที่ผู้ใดมีไว้เป็นความผิดอันจะต้องริบเสียทั้งสิ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา32 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้กล่าวไว้ในฟ้องว่า ได้มีการยึดอาวุธปืนและกระสุนปืนเป็นของกลาง ทั้งมิได้มีคำขอให้ศาลสั่งริบ ศาลย่อมริบอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก.
(วรรคสุดท้ายวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2530).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2692/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการปรับเรียงรายตัวเมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์เรื่องการปรับรวม – การเพิ่มโทษโดยมิชอบ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับจำเลยทั้งสองฐานฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุม อาคาร พ.ศ.2522 โจทก์อุทธรณ์เฉพาะเรื่องที่ศาลชั้นต้นคำนวณวันที่จำเลยทั้งสองฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นไม่ถูกต้อง ส่วนที่ศาลชั้นต้นปรับจำเลยทั้งสองฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นรวมกันนั้นโจทก์มิได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจพิพากษาปรับเรียงรายตัว ซึ่งรวมแล้วเกินไปกว่าที่ปรับรวมกัน เพราะเป็นการเพิ่มโทษจำเลยทั้งสองโดยที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ และอุทธรณ์ของโจทก์ถือไม่ได้ว่าอุทธรณ์ให้เพิ่มโทษ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2692/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการปรับเรียงรายตัวเมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์เรื่องการปรับรวมกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับจำเลยทั้งสองฐานฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 โจทก์อุทธรณ์เฉพาะเรื่องที่ศาลชั้นต้นคำนวณวันที่จำเลยทั้งสองฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นไม่ถูกต้อง ส่วนที่ศาลชั้นต้นปรับจำเลยทั้งสองฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นรวมกันนั้นโจทก์มิได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจพิพากษาปรับเรียงรายตัว ซึ่งรวมแล้วเกินไปกว่าที่ปรับรวมกัน เพราะเป็นการเพิ่มโทษจำเลยทั้งสองโดยที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ และอุทธรณ์ของโจทก์ถือไม่ได้ว่าอุทธรณ์ให้เพิ่มโทษ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2163/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเฮโรอีนแม้ปริมาณน้อย และการขัดขวางเจ้าพนักงาน ศาลฎีกาพิพากษากลับ
การที่จำเลยมีหลอดฉีดยาและเข็มฉีดยาซึ่งมีเฮโรอีนติดอยู่แม้เฮโรอีนนั้นจะมีจำนวนเล็กน้อยจนชั่งน้ำหนักไม่ได้ ก็ย่อมถือได้ว่าจำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138, 296 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 296 โดยมิได้วินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 138 ด้วยจึงไม่ถูกต้อง แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์ศาลฎีกาก็ชอบที่จะแก้ให้ถูกต้องโดยลงโทษเท่าเดิมได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2163/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเฮโรอีนปริมาณน้อย และขัดขวางเจ้าพนักงาน ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ลงโทษ
การที่จำเลยมีหลอดฉีดยาและเข็มฉีดยาซึ่งมีเฮโรอีนติดอยู่แม้เฮโรอีนนั้นจะมีจำนวนเล็กน้อยจนชั่งน้ำหนักไม่ได้ก็ย่อมถือได้ว่าจำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138,296 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 296 โดยมิได้วินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 138 ด้วยจึงไม่ถูกต้อง แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์ศาลฎีกาก็ชอบที่จะแก้ให้ถูกต้องโดยลงโทษเท่าเดิมได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1839/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน การแบ่งหน้าที่ความผิด ผู้สนับสนุน vs ผู้ร่วมกระทำ
การที่จำเลยที่ 1 ถอดหลังคารถเพื่อความคล่องตัวในการนำรถไปใช้กระทำความผิดและใช้รถหลบหนี โดยจำเลยที่ 1 รู้มาแต่แรกว่าคนร้ายให้ขับรถไปเพื่อฆ่าผู้อื่น แล้วจำเลยที่ 1 ขับรถพาคนร้ายไป จอดรถที่ถนนหน้าร้านผู้ตาย ติดเครื่องรออยู่ให้คนร้ายลงจากรถไปใช้อาวุธปืนยิงเร็วยิงผู้ตายกับพวกประมาณ 50 คนที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่แล้วคนร้ายกลับมาขึ้นรถ จำเลยที่ 1 ขับรถพาคนร้ายหลบหนีไป การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำความผิดที่ร่วมกันไปฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนมิใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด
โจทก์มิได้อุทธรณ์ ฎีกาขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาจึงจะลงโทษจำเลยที่ 1 หนักกว่าที่ศาลชั้นต้นลงโทษไม่ได้
ศาลล่างปรับบทกฎหมายไม่ถูกต้อง แม้โจทก์จะไม่ได้ฎีกาขึ้นมาศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1839/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน: การแบ่งหน้าที่ชัดเจนถือเป็นตัวการ ไม่ใช่ผู้สนับสนุน
การที่จำเลยที่ 1 ถอดหลังคารถเพื่อความคล่องตัวในการนำรถไปใช้กระทำความผิดและใช้รถหลบหนี โดยจำเลยที่ 1 รู้มาแต่แรกว่าคนร้ายให้ขับรถไปเพื่อฆ่าผู้อื่น แล้วจำเลยที่ 1 ขับรถพาคนร้ายไป จอดรถที่ถนนหน้าร้านผู้ตาย ติดเครื่องรออยู่ให้คนร้ายลงจากรถไปใช้อาวุธปืนยิงเร็วยิงผู้ตายกับพวกประมาณ50 คนที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่แล้วคนร้ายกลับมาขึ้นรถ จำเลยที่ 1 ขับรถพาคนร้ายหลบหนีไป การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำความผิดที่ร่วมกันไปฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนมิใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด
โจทก์มิได้อุทธรณ์ ฎีกาขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาจึงจะลงโทษจำเลยที่ 1 หนักกว่าที่ศาลชั้นต้นลงโทษไม่ได้
ศาลล่างปรับบทกฎหมายไม่ถูกต้อง แม้โจทก์จะไม่ได้ฎีกาขึ้นมาศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องได้.
of 44