พบผลลัพธ์ทั้งหมด 433 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1617/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับการลดโทษทางอาญา: ลดโทษตามอายุเยาว์ก่อนแล้วค่อยลดโทษตามเหตุบรรเทา
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยโดยลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม หากแต่ได้ลดมาตราส่วนโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ก่อนแล้วจึงกำหนดโทษฐานพยายามตามมาตรา 80 เป็นการไม่ถูกต้องศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้ไขให้กำหนดโทษสำหรับความผิดฐานพยายามตามมาตรา 80 ก่อน แล้วจึงลดมาตราส่วนโทษตามมาตรา 75 ในเมื่อจำเลยอุทธรณ์แต่ฝ่ายเดียว การที่ศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นอย่างอื่นอีกย่อมต้องถือว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลดโทษแก่จำเลยในเหตุบรรเทาโทษตามมาตรา 78 หนึ่งในสามด้วย เพราะเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์มิอาจพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 101/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท-การเพิ่มโทษเกินกรอบ: กรณีประทับตราอนุญาตชักลากไม้และทำบัญชีเท็จ
ตามระเบียบการตรวจวัดประทับตราอนุญาตชักลากไม้ และตามคำสั่งของป่าไม้เขตที่ให้จำเลยออกไปตรวจวัดประทับตราอนุญาตชักลากไม้ จำเลยจะต้องทำบัญชีอนุญาตชักลากไม้ด้วย ดังนั้น การที่จำเลยทำบัญชีอนุญาตชักลากไม้เป็นเท็จก็เพื่อให้การประทับตราอนุญาตชักลากไม้ไม่ถูกต้อง ตามระเบียบเสร็จสิ้นไปโดยบริบูรณ์ การทำบัญชีอนุญาตชักลากไม้เป็นเท็จกับการประทับตราอนุญาตชักลากไม้ไม่ถูกต้องตามระเบียบจึงเป็นกรรมเดียวกันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้ขั้นตอนที่จะต้องกระทำ จำเลยต้องประทับตราอนุญาตชักลากไม้ก่อนแล้วจึงทำบัญชีอนุญาตชักลากก็หาทำให้การกระทำของจำเลยเป็นสองกรรมต่างกันไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 160, 162 แต่ละกรรมเป็นความผิดตามมาตรา 157 ด้วย ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนักทั้งสองกระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี ข้อหาทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติด้วย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยตามมาตรา 160, 162 เป็นความผิดกรรมเดียวกัน พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 160, 162 และ 157 ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด จำคุก 10 ปี ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าโจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงเดียว 10 ปี เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 160, 162 แต่ละกรรมเป็นความผิดตามมาตรา 157 ด้วย ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนักทั้งสองกระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี ข้อหาทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติด้วย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยตามมาตรา 160, 162 เป็นความผิดกรรมเดียวกัน พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 160, 162 และ 157 ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด จำคุก 10 ปี ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าโจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงเดียว 10 ปี เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 101/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: การประทับตราอนุญาตชักลากไม้เท็จ และการทำบัญชีขนาดไม้เป็นเท็จ
ตามระเบียบการตรวจวัดประทับตราอนุญาตชักลากไม้ และตามคำสั่งของป่าไม้เขต ที่ให้จำเลยออกไปตรวจวัด ประทับตราอนุญาตชักลากไม้ จำเลยจะต้องทำบัญชีอนุญาต ชักลากไม้ด้วย ดังนั้น การที่จำเลยทำบัญชีอนุญาตชักลากไม้ เป็นเท็จก็เพื่อให้การประทับตราอนุญาตชักลากไม้ไม่ถูกต้อง ตามระเบียบเสร็จสิ้นไปโดยบริบูรณ์ การทำบัญชีอนุญาต ชักลากไม้เป็นเท็จกับการประทับตราอนุญาตชักลากไม้ไม่ถูกต้อง ตามระเบียบจึงเป็นกรรมเดียวกันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้ขั้นตอนที่จะต้องกระทำ จำเลยต้องประทับตราอนุญาต ชักลากไม้ก่อนแล้วจึงทำบัญชีอนุญาตชักลากไม้ ก็หาทำให้ การกระทำของจำเลยเป็นสองกรรมต่างกันไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 160,162 แต่ละกรรมเป็นความผิดตามมาตรา 157ด้วย ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนักทั้งสองกระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี ข้อหาทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษ จำเลยฐานทำไม้ใน เขตป่าสงวนแห่งชาติด้วย ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยว่าการกระทำ ของจำเลยตามมาตรา 160,162 เป็นความผิดกรรมเดียวกัน พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมี ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 160,162 และ 157 ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่ง เป็นบทหนักที่สุด จำคุก 10 ปี ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าโจทก์อุทธรณ์ ขอให้ลงโทษจำเลย หนักขึ้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา ลงโทษ จำคุกจำเลย กระทงเดียว 10 ปี เป็นการพิพากษา เพิ่มเติม โทษจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 160,162 แต่ละกรรมเป็นความผิดตามมาตรา 157ด้วย ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนักทั้งสองกระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี ข้อหาทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษ จำเลยฐานทำไม้ใน เขตป่าสงวนแห่งชาติด้วย ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยว่าการกระทำ ของจำเลยตามมาตรา 160,162 เป็นความผิดกรรมเดียวกัน พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมี ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 160,162 และ 157 ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่ง เป็นบทหนักที่สุด จำคุก 10 ปี ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าโจทก์อุทธรณ์ ขอให้ลงโทษจำเลย หนักขึ้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา ลงโทษ จำคุกจำเลย กระทงเดียว 10 ปี เป็นการพิพากษา เพิ่มเติม โทษจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1912/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษทางอาญาฐานทำไม้และมีไม้หวงห้าม โดยศาลอุทธรณ์ลงโทษปรับไม่ถูกต้อง และการเพิ่มโทษจำคุกในชั้นฎีกาทำไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำไม้โดยตัดฟันไม้ยาง กับจำเลยมีไม้ยางอันเป็นไม้หวงห้าม ยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต และคำขอท้ายฟ้องโจทก์ ได้ระบุอ้าง พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 ซึ่งเป็นบทมาตราความผิดและมาตรา 31 ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษ กับอ้างพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2484 มาตรา 69 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 12 ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษผู้ที่ฝ่าฝืนมีไม้ยาง ยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต เพียงแต่โจทก์มิได้อ้าง พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 มาตรา 3 ที่ให้ยกเลิกความในมาตรา 69 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2489 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2503 แล้วบัญญัติความใหม่ขึ้นแทนเท่านั้น ตามความที่บัญญัติขึ้นใหม่ยังคงเรียกว่ามาตรา 31 และ มาตรา 69 อยู่นั่นเอง การที่จำเลยกระทำความผิดหลังจากใช้กฎหมายซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมใหม่แล้ว แต่โจทก์มิได้ระบุอ้างพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงมิทำให้ฟ้องโจทก์ขาดความสมบูรณ์ เมื่อศาลฟังว่าจำเลยกระทำการฝ่าฝืนเป็นความผิดตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งมีบทกำหนดโทษไว้ในมาตรา 31 และ พระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 69 แล้ว ศาลก็ลงโทษจำเลยตามกำหนดโทษในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 มาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยต่ำกว่า อัตราโทษขั้นต่ำ ตามที่กฎหมายกำหนดที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยเพิ่มขึ้น เพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกา ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเพิ่มขึ้นไม่ได้
โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตามศาลชั้นต้น กับลงโทษปรับจำเลยแล้วรอการลงโทษจำคุกได้ และหากปรากฏว่า ศาลอุทธรณ์ลงโทษปรับจำเลยน้อยกว่า ที่กฎหมายกำหนด ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษปรับจำเลยตามกฎหมายกำหนดตามที่โจทก์ฎีกาได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยต่ำกว่า อัตราโทษขั้นต่ำ ตามที่กฎหมายกำหนดที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยเพิ่มขึ้น เพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกา ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเพิ่มขึ้นไม่ได้
โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตามศาลชั้นต้น กับลงโทษปรับจำเลยแล้วรอการลงโทษจำคุกได้ และหากปรากฏว่า ศาลอุทธรณ์ลงโทษปรับจำเลยน้อยกว่า ที่กฎหมายกำหนด ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษปรับจำเลยตามกฎหมายกำหนดตามที่โจทก์ฎีกาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1912/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษทางอาญาฐานทำไม้และมีไม้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกาวินิจฉัยการใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่และการเพิ่มโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำไม้โดยตัดฟันไม้ยาง กับจำเลยมีไม้ยางอันเป็นไม่หวงห้ามยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และคำขอท้ายฟ้องโจทก์ได้ระบุอ้างพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14 ซึ่งเป็นบทมาตราความผิดและมาตรา 31 ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษกับอ้างพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 69 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4)พ.ศ.2503 มาตรา 12 ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษผู้ที่ฝ่าฝืนมีไม้ยางยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เพียงแต่โจทก์มิได้อ้างพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2522 มาตรา 3 ที่ให้ยกเลิกความในมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 กับพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่6) พ.ศ.2522 มาตรา 3 ที่ให้ยกเลิกความในมาตรา 69 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2503 แล้วบัญญัติความใหม่ขึ้นแทนเท่านั้น ตามความที่บัญญัติขึ้นใหม่ยังคงเรียกว่ามาตรา31 และมาตรา 69 อยู่นั่นเองการที่จำเลยกระทำความผิดหลังจากใช้กฎหมายซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมใหม่แล้วแต่โจทก์มิได้ระบุอ้างพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงมิทำให้ฟ้องโจทก์ขาดความสมบูรณ์ เมื่อศาลฟังว่าจำเลยกระทำการฝ่าฝืนเป็นความผิดตามมาตรา 14แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติซึ่งมีบทกำหนดโทษไว้ในมาตรา 31 และพระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 69 แล้ว ศาลก็ลงโทษจำเลยตามกำหนดโทษในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2522 และมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2522 ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยต่ำกว่าอัตราโทษขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยเพิ่มขึ้น เพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกาศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเพิ่มขึ้นไม่ได้
โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตามศาลชั้นต้น กับลงโทษปรับจำเลยแล้วรอการลงโทษจำคุกได้ และหากปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ลงโทษปรับจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษปรับจำเลยตามกฎหมายกำหนดตามที่โจทก์ฎีกาได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยต่ำกว่าอัตราโทษขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยเพิ่มขึ้น เพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกาศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเพิ่มขึ้นไม่ได้
โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตามศาลชั้นต้น กับลงโทษปรับจำเลยแล้วรอการลงโทษจำคุกได้ และหากปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ลงโทษปรับจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษปรับจำเลยตามกฎหมายกำหนดตามที่โจทก์ฎีกาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1631/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนายิงต่อเนื่องทำให้ผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าหลายกรรม
จำเลยยิง พ. 2 นัด แล้วเจตนายิง ส. และก.ซึ่งเดินตามพ. มาด้วยอีก กระสุนปืนถูก พ. ตาย ส. ถูกยิง 2 นัด เป็นอันตรายสาหัสกระสุน 1 นัดเฉียด ก. ไปดังนี้ จำเลยมีความผิดฐานฆ่าคนกรรมหนึ่งกับฐานพยายามฆ่าผู้อื่นอีก 2 กรรม ชั้นอุทธรณ์โจทก์ไม่อุทธรณ์ศาลฎีกาแก้บทให้ถูกต้องเป็น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และ288,80แต่ไม่แก้โทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1370/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจโจทก์ร่วม & การขอเพิ่มโทษในชั้นฎีกา: ต้องอุทธรณ์ก่อนจึงฎีกาได้
โจทก์ร่วมจะขอเพิ่มเติมฟ้องของพนักงานอัยการที่มีอยู่เดิมโดยขอเพิ่มเติมบทลงโทษให้หนักขึ้นหาได้ไม่
โจทก์ร่วมจะฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้นอีก โดยที่โจทก์ร่วมมิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ไว้ในชั้นอุทธรณ์หาได้ไม่ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอเพิ่มเติมฟ้อง (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289) และขอให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราที่ขอเพิ่มเติมฟ้องนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาต ให้โจทก์ร่วมเพิ่มเติมฟ้องแล้ว ก็เท่ากับว่าไม่มีคำขอของโจทก์ให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าว ฉะนั้น ศาลอุทธรณ์จะอาศัยเหตุที่โจทก์ร่วมขอเพิ่มเติมฟ้องดังกล่าวนั้น โดยถือว่าโจทก์ร่วมได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น แล้วพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยหาได้ไม่ เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 แม้ปัญหาดังกล่าวนี้จำเลยจะมิได้ฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงยกขึ้นวินิจฉัยได้
โจทก์ร่วมจะฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้นอีก โดยที่โจทก์ร่วมมิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ไว้ในชั้นอุทธรณ์หาได้ไม่ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอเพิ่มเติมฟ้อง (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289) และขอให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราที่ขอเพิ่มเติมฟ้องนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาต ให้โจทก์ร่วมเพิ่มเติมฟ้องแล้ว ก็เท่ากับว่าไม่มีคำขอของโจทก์ให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าว ฉะนั้น ศาลอุทธรณ์จะอาศัยเหตุที่โจทก์ร่วมขอเพิ่มเติมฟ้องดังกล่าวนั้น โดยถือว่าโจทก์ร่วมได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น แล้วพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยหาได้ไม่ เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 แม้ปัญหาดังกล่าวนี้จำเลยจะมิได้ฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1370/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจโจทก์ร่วม, การเพิ่มเติมฟ้อง, และการขอลงโทษหนักขึ้นในชั้นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ร่วมจะขอเพิ่มเติมฟ้องของพนักงานอัยการที่มีอยู่เดิม โดยขอเพิ่มเติมบทลงโทษให้หนัดขึ้นหาได้ไม่
โจทก์ร่วมจะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้นอีก โดยที่โจทก์ร่วมมิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ไว้ในชั้นอุทธรณ์หาได้ไม่ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอเพิ่มเติมฟ้อง (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289) และขอให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราที่ขอเพิ่มเติมฟ้องนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้โจทก์ร่วมเพิ่มเติมฟ้องแล้ว ก็เท่ากับว่าไม่มีคำขอของโจทก์ให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าว ฉะนั้นศาลอุทธรณ์จะอาศัยเหตุที่โจทก์ร่วมขอเพิ่มเติมฟ้องดังกล่าวนั้น โดยถือว่าโจทก์ร่วมได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น แล้วพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยหาได้ไม่ เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 แม้ปัญหาดังกล่าวนี้จำเลยจะมิได้ฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงยกขึ้นวินิจฉัยได้
โจทก์ร่วมจะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้นอีก โดยที่โจทก์ร่วมมิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ไว้ในชั้นอุทธรณ์หาได้ไม่ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอเพิ่มเติมฟ้อง (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289) และขอให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราที่ขอเพิ่มเติมฟ้องนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้โจทก์ร่วมเพิ่มเติมฟ้องแล้ว ก็เท่ากับว่าไม่มีคำขอของโจทก์ให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าว ฉะนั้นศาลอุทธรณ์จะอาศัยเหตุที่โจทก์ร่วมขอเพิ่มเติมฟ้องดังกล่าวนั้น โดยถือว่าโจทก์ร่วมได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น แล้วพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยหาได้ไม่ เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 แม้ปัญหาดังกล่าวนี้จำเลยจะมิได้ฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1295/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทุจริตออกเช็ค – การกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน – อำนาจฟ้อง
จำเลยออกเช็คลงวันที่ล่วงหน้าไปแล้ว ต่อมาไปตกลงกับธนาคารว่า เช็คของจำเลยต้องประทับตราด้วย.จึงจะจ่ายเงินได้ เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำไปขึ้นเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้ประทับตราผู้สั่งจ่าย ทั้งจำเลยก็สั่งห้ามธนาคารจ่ายเงินตามเช็ค ประกอบกับจำเลยมีหนี้ตามเช็คเป็นยอดเงินอีกจำนวนมาก ซึ่งธนาคารไม่ยอมผ่านเช็คให้ พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต ข้อที่โจทก์มิได้ให้จำเลยประทับตราก่อนจึงไม่เป็นข้ออ้างตามกฎหมายที่จะให้จำเลยพ้นผิด
จำเลยออกเช็คสองฉบับชำระหนี้ เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสองฉบับ เป็นความผิดสองกระทง
ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษรวมกันมาเป็นการไม่ชอบด้วย ป.อ. มาตรา 91 ศาลฎีกาเรียงกระทงลงโทษ แต่กำหนดโทษให้เป็นไปตามเดิมได้ แม้โจทก์จะมิได้ฎีกา
จำเลยออกเช็คสองฉบับชำระหนี้ เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสองฉบับ เป็นความผิดสองกระทง
ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษรวมกันมาเป็นการไม่ชอบด้วย ป.อ. มาตรา 91 ศาลฎีกาเรียงกระทงลงโทษ แต่กำหนดโทษให้เป็นไปตามเดิมได้ แม้โจทก์จะมิได้ฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1295/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทุจริตออกเช็ค – การฟ้องคดีอาญาฐานออกเช็คโดยไม่มีเจตนาจะให้ใช้ได้ แม้ผู้รับเช็คไม่ขอให้ประทับตรา
การที่จำเลยออกเช็คลงวันที่ล่วงหน้าไปแล้ว ต่อมาจำเลยไปตกลงกับธนาคารว่า เช็คของจำเลยต้องประทับตราด้วยจึงจะจ่ายเงินได้ เมื่อเช็คที่จำเลยออกไปก่อนที่จะมีการตกลงกับธนาคารดังกล่าวถึงกำหนด โจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้ประทับตราผู้สั่งจ่าย ทั้งจำเลยก็สั่งห้ามธนาคารจ่ายเงินตามเช็คประกอบกับจำเลยมีหนี้ตามเช็คเป็นยอดเงินอีกจำนวนมาก ซึ่งธนาคารไม่ยอมผ่านเช็คให้พฤติการณ์ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต ข้อที่โจทก์มิได้ให้จำเลยประทับตราก่อน จึงไม่เป็นข้ออ้างตามกฎหมายที่จะให้จำเลยพ้นความรับผิด
โจทก์เป็นผู้ทรงเช็ค ครั้นเช็คถึงกำหนดโจทก์นำเช็คเข้าบัญชี เพื่อเรียกเก็บเงิน เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คไม่ว่าด้วยเหตุใด โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายได้
จำเลยออกเช็คสองฉบับชำระหนี้ เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสองฉบับ เป็นความผิดสองกระทง
ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษรวมกันมาเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ศาลฎีกาเรียงกระทงลงโทษ แต่กำหนดโทษให้เป็นไปตามเดิมได้แม้โจทก์จะมิได้ฎีกา
โจทก์เป็นผู้ทรงเช็ค ครั้นเช็คถึงกำหนดโจทก์นำเช็คเข้าบัญชี เพื่อเรียกเก็บเงิน เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คไม่ว่าด้วยเหตุใด โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายได้
จำเลยออกเช็คสองฉบับชำระหนี้ เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสองฉบับ เป็นความผิดสองกระทง
ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษรวมกันมาเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ศาลฎีกาเรียงกระทงลงโทษ แต่กำหนดโทษให้เป็นไปตามเดิมได้แม้โจทก์จะมิได้ฎีกา