คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 212

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 433 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2318/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและการทำร้ายร่างกาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษจำเลย
จำเลยมีปืนลูกซองและกระสุนปืน โดยไม่ได้รับอนุญาตแต่ทำหายเสียก่อน กฎหมายยกเว้นโทษระหว่างฎีกา จึงไม่มีปืนไปขอรับอนุญาต จำเลยไม่ได้รับยกเว้นโทษ
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืน จำคุก 3 เดือน กับฐานทำร้ายร่างกาย จำคุก 4 ปี รวม 4 ปี 3 เดือนเพิ่มโทษ 1 ใน 3 เป็น 5 ปี 8 เดือน ไม่มีผู้ใดอุทธรณ์ในฐานมีอาวุธปืน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้เพิ่มโทษก่อนลดโทษ ทั้งในฐานทำร้ายร่างกายและฐานมีอาวุธปืนด้วยก็ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 958/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานปล้นทรัพย์และพยายามฆ่า: การใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด และการไม่เป็นฟ้องซ้ำ
อัยการศาลทหารเคยยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลทหารมาครั้งหนึ่งแล้วศาลทหารเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลพลเรือน จะฟ้องต่อศาลทหารมิได้จึงพิพากษายกฟ้องโดยยังมิได้วินิจฉัยถึงความผิดที่ฟ้องนั้นแต่ประการใดดังนี้ พนักงานอัยการฟ้องจำเลยต่อศาลพลเรือนด้วยข้อหาเดียวกันนั้นอีกได้ ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ และในการปล้นนี้จำเลยกับพวกยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายด้วยขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340,289,80 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามมาตรา 288,80 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เพียงว่า จำเลยมีความผิด ตามมาตรา 340,83 อีกบทหนึ่ง จำเลยฎีกา ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์จริง และในการปล้นนี้คนร้ายที่ร่วมปล้นคนหนึ่งได้ยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายด้วยอันเป็นความผิดหลายบทคือมาตรา 340 วรรคสี่กับมาตรา 289(6)(7),80แต่ความผิดฐานพยายามฆ่านี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามมาตรา 288,80 และโจทก์เห็นว่าชอบ มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 289,80 ศาลฎีกาจึงลงโทษได้เพียงตามมาตราที่ศาลชั้นต้นวางบทมาและเมื่อศาลอุทธรณ์มิได้ใช้กฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลย ศาลฎีกาย่อมพิพากษาแก้เฉพาะส่วนนี้เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 958/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดหลายบท ปล้นทรัพย์พร้อมทำร้าย – ศาลต้องใช้บทหนักสุดลงโทษ แม้โจทก์ไม่ขอเพิ่มโทษ
อัยการศาลทหารเคยยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลทหารมาครั้งหนึ่งแล้ว ศาลทหารเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลพลเรือน จะฟ้องต่อศาลทหารมิได้ จึงพิพากษายกฟ้องโดยยังมิได้วินิจฉัยถึงความผิดที่ฟ้องนั้นแต่ประการใด ดังนี้ พนักงานอัยการฟ้องจำเลยต่อศาลพลเรือนด้วยข้อหาเดียวกันนั้นอีกได้ ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ และในการปล้นนี้จำเลยกับพวกยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายด้วย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340,289,80 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามมาตรา 288,80 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เพียงว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 340,43 อีกบทหนึ่ง จำเลยฎีกา ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์จริง และในการปล้นนี้คนร้ายที่ร่วมปล้นคนหนึ่งได้ยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายด้วย อันเป็นความผิดหลายบท คือมาตรา 340 วรรค 4 กับมาตรา 289 (6) (7), 80 แต่ความผิดฐานพยายามฆ่านี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามมาตรา 288,80 และโจทก์เห็นว่าชอบ มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 289,80 ศาลฎีกาจึงลงโทษได้เพียงตามมาตราที่ศาลชั้นต้นวางบทมา และเมื่อศาลอุทธรณ์มิได้ใช้กฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลย ศาลฎีกาย่อมพิพากษาแก้เฉพาะส่วนนี้เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 215/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์ การให้ผู้อื่นยืมก่อนถือเป็นเจตนาทุจริต การปรับบทลงโทษตาม ป.อาญา ม.147
จำเลยเป็นพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย มีหน้าที่รับเงินรายได้ต่างๆ ของการรถไฟฯ ได้รับเงินรายได้ไว้จำนวนหนึ่ง แล้วไม่นำส่งตามกำหนดเวลาที่มีระเบียบวางไว้โดยได้ให้ อ. ยืมเงินจำนวนนี้ไป ต่อมา อ. หนีไปจำเลยจึงรับใช้เงินดังกล่าวให้จนครบ ดังนี้ กรณีจึงเป็นเรื่องที่จำเลยนำเงินที่จำเลยมีหน้าที่รักษาไว้ไปให้ผู้อื่นยืมใช้ก่อนถือได้ว่าเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นประโยชน์ของตนเองและผู้อื่นโดยมีเจตนาทุจริตตั้งแต่เวลาที่จำเลยให้ผู้อื่นยืมไป การใช้เงินคืนในภายหลังเพียงเป็นเหตุบรรเทาโทษเท่านั้นและเมื่อพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.2494 มาตรา 18 บัญญัติให้พนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าพนักงานตามความหมายแห่งกฎหมายลักษณะอาญา จึงถือได้ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 จะปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2953/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนกระทำชำเราโทรมหญิง: ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงกลับศาลอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสอง, 83 ตามที่แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคแรก, 83 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ (โดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายคนเดียว ส่วนจำเลยที่ 2 ถือปืนขู่) จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เข้าลักษณะเป็นการโทรมหญิงและพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติได้ส่วนกำหนดโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2953/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนกระทำชำเราโทรมหญิง: ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงกลับ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสอง,83 ตามที่แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคแรก,83 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ (โดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายคนเดียว ส่วนจำเลยที่ 2 ถือปืนขู่) จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เข้าลักษณะเป็นการโทรมหญิงและพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสองซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติได้ส่วนกำหนดโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2754/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรอการลงโทษเบากว่าโทษกักขัง ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาได้โดยไม่เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและปรับจำเลยแต่โทษจำคุกให้เปลี่ยนเป็นโทษกักขังแทน การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังและให้รอการลงโทษจำเลยไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56นั้นไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 212 เพราะการรอการลงโทษยังไม่ต้องรับโทษจึงเบากว่าโทษกักขัง
(วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2517)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2754/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรอการลงโทษเบากว่าโทษกักขัง ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและปรับจำเลย แต่โทษจำคุกให้เปลี่ยนเป็นโทษกักขังแทน การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังและให้รอการลงโทษจำเลยไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56นั้น ไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 เพราะการรอการลงโทษยังไม่ต้องรับโทษจึงเบากว่าโทษกักขัง
(วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2517)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2651/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงโทษกักขังเป็นโทษจำคุกรอการลงโทษไม่ถือเป็นการเพิ่มเติมโทษ และฎีกาคัดค้านดุลพินิจศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาต้องห้าม
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 5 วัน ปรับ 200บาทโทษจำคุกเปลี่ยนเป็นกักขัง จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1ปี โดยไม่ลงโทษกักขังแทนจำคุกนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น เป็นการกำหนดโทษจำคุกโดยมีเงื่อนไขให้เป็นคุณแก่จำเลย เพื่อให้จำเลยไม่ต้องรับโทษกักขังไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
ฎีกาโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นฎีกาคัดค้านดุลพินิจในการวางโทษของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 (ปัญหาข้อแรกตัดสินโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2517)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2175/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบเครื่องจักรที่ใช้ในการตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต และการปรับบทลงโทษให้ถูกต้องตามกฎหมาย
เครื่องจักรเลื่อยวงเดือน เครื่องจักรเลื่อยสายพานเครื่องจักรใช้เจาะไม้และเครื่องจักรไสไม้ ซึ่งจำเลยใช้ในการตั้งโรงงานแปรรูปไม้สัก ไม้ยาง โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 48 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 116 ข้อ 4 จึงต้องริบ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 4)พ.ศ.2503 มาตรา 18 (อ้างฎีกาที่ 1572/2505)
ความผิดฐานตั้งโรงงานไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติโรงงานมีอัตราโทษปรับสถานเดียว จึงเบากว่าความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้สัก ไม้ยาง โดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกและปรับ ต้องปรับบทลงโทษฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้สัก ไม้ยาง โดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยฐานตั้งโรงงานไม่ได้รับอนุญาต วางโทษปรับ 5,000 บาทโจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนมาศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องโดยไม่เพิ่มเติมโทษจำเลย
of 44