พบผลลัพธ์ทั้งหมด 433 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1025/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีรวม และการเพิ่มโทษจำเลยหลังศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว
อัยการฟ้อง ร. กับ ส. เป็นจำเลย หาว่าทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน และ ส. ฟ้อง ร. เป็นอีกสำนวนหนึ่งว่าทำร้ายร่างกายตน ศาลชั้นต้นสั่งรวมการพิจารณาพิพากษา แล้วพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับ ร. แต่โทษจำคุกให้รอไว้ ส่วน ส. นั้นก็ให้ลงโทษปรับ กับยกฟ้องคดีที่ ส. เป็นโจทก์ ส.แต่ผู้เดียวอุทธรณ์ทั้ง 2 สำนวน ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องคดีที่ ส. เป็นโจทก์เหมือนกัน แต่ให้แก้โทษของ ร. เป็นไม่รอการลงโทษจำคุก ดังนี้ หาชอบไม่ เพราะคดีเฉพาะตัว ร. จำเลยในสำนวนที่อัยการเป็นโจทก์นั้นถึงที่สุดแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1025/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาโทษจำเลยในสำนวนคดีที่อัยการเป็นโจทก์ และจำเลยอุทธรณ์เฉพาะสำนวนของตนเอง ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจเพิ่มโทษ
อัยการฟ้อง ร. กับ ส. เป็นจำเลย หาว่าทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันและ ส. ฟ้อง ร. เป็นอีกสำนวนหนึ่งว่าทำร้ายร่างกายตน ศาลชั้นต้นสั่งรวมการพิจารณาพิพากษา แล้วพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับ ร. แต่โทษจำคุกให้รอไว้ ส่วน ส. นั้นก็ให้ลงโทษปรับ กับยกฟ้องคดีที่ ส. เป็นโจทก์ส. แต่ผู้เดียวอุทธรณ์ทั้ง 2 สำนวนศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องคดีที่ ส. เป็นโจทก์เหมือนกัน แต่ให้แก้โทษของ ร. เป็นไม่รอการลงโทษจำคุก ดังนี้ หาชอบไม่ เพราะคดีเฉพาะตัว ร. จำเลยในสำนวนที่อัยการเป็นโจทก์นั้นถึงที่สุดแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1003/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาพยายามทำร้ายผู้อื่น vs. พยายามฆ่า: การประเมินอันตรายที่เกิดจากการกระทำที่เสี่ยง
จำเลยขับรถแซงรถผู้เสียหายขึ้นไปด้วยความเร็ว แล้วหักพวงมาลัยให้ท้ายรถจำเลยปัดหน้ารถผู้เสียหายจนรถยนต์ผู้เสียหายแฉลบไปจนเกือบตกถนนนั้น หากถนนตรงนั้นเป็นที่สูงหรืออยู่หน้าผาสูงชันย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า ถ้ารถคว่ำลงไปแล้วทั้งรถและคนย่อมถึงซึ่งความพินาศ เห็นผลได้ชัดว่าผู้เสียหายย่อมได้รับอันตรายถึงชีวิต ดังนั้น แม้รถยนต์ผู้เสียหายจะไม่ตกถนนลงไป จำเลยก็มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น และไม่จำต้องคำนึงถึงว่าคนนั่งภายในรถจะมีตัวรถป้องกันหรือไม่ แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าถนนตรงที่เกิดเหตุสูงจากพื้นนาประมาณ 1 แขน หรือ 1 เมตร ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายขับรถอยู่ในอัตราความเร็ว 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อถูกจำเลยเอาท้ายรถปาดหน้ารถผู้เสียหายๆก็แตะเบรครถหยุดทันที และเครื่องดับเอง ล้อรถด้านซ้ายยังห่างขอบถนนอีกราว 1 ศอก ผู้เสียหายไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด จึงถือว่าจำเลยมีเจตนาพยายามฆ่าผู้เสียหายให้ถึงตายยังไม่ได้ เพราะถึงหากรถยนต์ผู้เสียหายจะตกลงไปโดยผู้เสียหายนั่งอยู่ภายในตัวรถก็ไม่แน่ว่าจะถึงตาย แต่ก็พอคาดหมายได้ว่าอย่างน้อยผู้เสียหายย่อมได้รับการกระทบกระแทกเป็นอันตรายถึงบาดเจ็บซึ่งจำเลยก็น่าจะเล็งเห็นผลอันจะเกิดแก่ผู้เสียหายได้ดังนี้ จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามทำร้ายผู้เสียหายเป็นอันตรายถึงบาดเจ็บตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295,80
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 80 และมาตรา 358 การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ตามมาตรา 90 ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลย แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ได้ใช้บทมาตรา 358 ฐานทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งมีโทษหนักที่สุดลงโทษมาแล้ว และฎีกาของโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นอีก จึงแก้โทษจำเลยไม่ได้
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 80 และมาตรา 358 การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ตามมาตรา 90 ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลย แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ได้ใช้บทมาตรา 358 ฐานทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งมีโทษหนักที่สุดลงโทษมาแล้ว และฎีกาของโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นอีก จึงแก้โทษจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1003/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำที่อาจเข้าข่ายพยายามฆ่า แต่ศาลเห็นว่าเป็นการทำร้ายร่างกายจนเป็นอันตรายถึงบาดเจ็บ
จำเลยขับรถแซงรถผู้เสียหายขึ้นไปด้วยความเร็ว แล้วหักพวกมาลัยให้ท้ายรถจำเลยปัดหน้ารถผู้เสียหายจนรถยนต์ผู้เสียหายแฉลมไปจนเกือบตกถนนนั้นหากถนนตรงนั้นเป็นที่สูงหรืออยู่หน้าผาสูงชันย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า ถ้ารถคว่ำลงไปแล้วทั้งรถและคนย่อมถึงซึ่งความพินาศ เห็นผลได้ชัดเจนว่าผู้เสียหายย่อมได้รับอันตรายถึงชีวิต ดังนั้น แม้รถยนต์ผู้เสียหายจะไม่ตกถนนลงไป จำเลยก็มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น และไม่ต้องคำนึงถึงว่าคนนั่งภายในรถจะมีตัวรถป้องกันหรือไม่ แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าถนนตรงที่เกิดเหตุสูงจากพื้นนาประมาณ 1 แขน หรือ 1 เมตร ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายขับรถอยู่ในอัตราความเร็ว 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อถูกจำเลยเอาท้ายรถปาดหน้ารถผู้เสียหาย ๆ ก็แตะเบรครถหยุดทันที และเครื่องดับเอง ล้อรถด้านซ้ายยังห่างขอบถนอีกราว 1 ศอก ผู้เสียหายไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด จึงถือว่าจำเลยมีเจตนาพยายามฆ่าผู้เสียหายให้ถึงตายยังไม่ได้ เพราะถึงหากรถยนต์ผู้เสียหายจะตกลงไปโดยผู้เสียหายนั่งภายในตัวรถก็ไม่แน่ว่าจะถึงตาย แต่ก็พอคาดหมายได้ว่าอย่างน้อยผู้เสียหายย่อมได้รับการกระทบกระแทกเป็นอันตรายถึงบาดเจ็บ ซึ่งจำเลยก็น่าจะเล็งเห็นผลอันจะเกิดแก่ผู้เสียหายได้ดังนี้ จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามทำร้ายผู้เสียหายเป็นอันตรายถึงบาดเจ็บตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295, 80
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 80 และมาตรา 358 การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท ตามมาตรา 90 ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลย แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ได้ใช้บทมาตรา 358 ฐานทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งมีโทษหนักที่สุดลงโทษมาแล้วและฎีกาของโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นอีก จึงแก้โทษจำเลยไม่ได้
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 80 และมาตรา 358 การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท ตามมาตรา 90 ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลย แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ได้ใช้บทมาตรา 358 ฐานทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งมีโทษหนักที่สุดลงโทษมาแล้วและฎีกาของโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นอีก จึงแก้โทษจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1003/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาพยายามทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นอันตรายถึงบาดเจ็บ การกระทำที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตแต่ไม่สำเร็จ
จำเลยขับรถแซงรถผู้เสียหายขึ้นไปด้วยความเร็ว แล้วหักพวงมาลัยให้ท้ายรถจำเลยปัดหน้ารถผู้เสียหายจนรถยนต์ผู้เสียหายแฉลบไปจนเกือบตกถนนนั้น.หากถนนตรงนั้นเป็นที่สูงหรืออยู่หน้าผาสูงชันย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า. ถ้ารถคว่ำลงไปแล้วทั้งรถและคนย่อมถึงซึ่งความพินาศ. เห็นผลได้ชัดว่าผู้เสียหายย่อมได้รับอันตรายถึงชีวิต. ดังนั้น แม้รถยนต์ผู้เสียหายจะไม่ตกถนนลงไป จำเลยก็มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น. และไม่จำต้องคำนึงถึงว่าคนนั่งภายในรถจะมีตัวรถป้องกันหรือไม่. แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าถนนตรงที่เกิดเหตุสูงจากพื้นนาประมาณ 1 แขนหรือ 1 เมตร. ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายขับรถอยู่ในอัตราความเร็ว 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง. เมื่อถูกจำเลยเอาท้ายรถปาดหน้ารถผู้เสียหายๆก็แตะเบรครถหยุดทันที และเครื่องดับเอง. ล้อรถด้านซ้ายยังห่างขอบถนนอีกราว 1ศอก. ผู้เสียหายไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด. จึงถือว่าจำเลยมีเจตนาพยายามฆ่าผู้เสียหายให้ถึงตายยังไม่ได้.เพราะถึงหากรถยนต์ผู้เสียหายจะตกลงไปโดยผู้เสียหายนั่งอยู่ภายในตัวรถก็ไม่แน่ว่าจะถึงตาย. แต่ก็พอคาดหมายได้ว่าอย่างน้อยผู้เสียหายย่อมได้รับการกระทบกระแทกเป็นอันตรายถึงบาดเจ็บ. ซึ่งจำเลยก็น่าจะเล็งเห็นผลอันจะเกิดแก่ผู้เสียหายได้ดังนี้. จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามทำร้ายผู้เสียหายเป็นอันตรายถึงบาดเจ็บตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295,80.
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 80 และมาตรา 358. การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท. ตามมาตรา 90 ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลย. แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ได้ใช้บทมาตรา 358 ฐานทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งมีโทษหนักที่สุดลงโทษมาแล้ว.และฎีกาของโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นอีก. จึงแก้โทษจำเลยไม่ได้.
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 80 และมาตรา 358. การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท. ตามมาตรา 90 ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลย. แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ได้ใช้บทมาตรา 358 ฐานทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งมีโทษหนักที่สุดลงโทษมาแล้ว.และฎีกาของโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นอีก. จึงแก้โทษจำเลยไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการเพิ่มโทษในชั้นอุทธรณ์: อุทธรณ์ในทำนองขอให้เพิ่มเติมโทษหนักขึ้นได้ แม้ข้อเท็จจริงเดิมไม่มีเจตนาฆ่า
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่มีเจตนาฆ่า โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าคนโดยเจตนา ถือได้ว่าเป็นอุทธรณ์ในทำนองขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยให้หนักขึ้นอยู่ในตัว ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยให้หนักขึ้นได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการแก้ไขโทษในชั้นอุทธรณ์: การเพิ่มเติมโทษให้หนักขึ้นได้เมื่ออุทธรณ์ฐานความผิดที่หนักกว่าเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่มีเจตนาฆ่า โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าคนโดยเจตนา ถือได้ว่าเป็นอุทธรณ์ในทำนองขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยให้หนักขึ้นอยู่ในตัว ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยให้หนักขึ้นได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษจำเลยในชั้นอุทธรณ์ แม้โจทก์ขอให้ลงโทษฐานพยายามฆ่า แต่ศาลเห็นว่าไม่มีเจตนา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส. แต่ไม่มีเจตนาฆ่า. โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าคนโดยเจตนา. ถือได้ว่าเป็นอุทธรณ์ในทำนองขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยให้หนักขึ้นอยู่ในตัว. ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยให้หนักขึ้นได้.ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 677/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายหญิงมีครรภ์จนแท้งลูก ความผิดตามมาตรา 297 และการเพิ่มโทษจากศาลฎีกา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำร้ายร่างกายเขาได้รับอันตรายสาหัสถึงแท้งลูกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(5) โจทก์จะยกเหตุอันตรายสาหัสเพราะป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วันตามมาตรา 297(8) มาอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้ เพราะไม่ได้กล่าวไว้ในฟ้อง
การกระทำอันจะเป็นผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายได้รับอันตรายถึงสาหัสถึงแท้งลูกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(5) นั้น จะต้องเป็นกรณีที่กระทำให้ลูกในครรภ์ของผู้ถูกทำร้ายคลอดออกมาในลักษณะที่ลูกนั้นไม่มีชีวิต ส่วนการคลอดก่อนกำหนดเวลาในลักษณะที่เด็กยังมีชีวิตอยู่ต่อมาอีก 8 วันแล้วจึงตาย ดังนี้ ไม่เป็นการทำให้ได้รับอันตรายสาหัสถึงแท้งลูกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(5)
คดีที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าเบาไป และโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามมาตรา 297 ถือได้ว่าโจทก์ฎีกาในทำนองที่ขอลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น ดังนี้ ศาลฎีกามีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยให้หนักกว่าที่ศาลอุทธรณ์กำหนดได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225
(ตัดสินโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14/2510)
การกระทำอันจะเป็นผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายได้รับอันตรายถึงสาหัสถึงแท้งลูกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(5) นั้น จะต้องเป็นกรณีที่กระทำให้ลูกในครรภ์ของผู้ถูกทำร้ายคลอดออกมาในลักษณะที่ลูกนั้นไม่มีชีวิต ส่วนการคลอดก่อนกำหนดเวลาในลักษณะที่เด็กยังมีชีวิตอยู่ต่อมาอีก 8 วันแล้วจึงตาย ดังนี้ ไม่เป็นการทำให้ได้รับอันตรายสาหัสถึงแท้งลูกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(5)
คดีที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าเบาไป และโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามมาตรา 297 ถือได้ว่าโจทก์ฎีกาในทำนองที่ขอลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น ดังนี้ ศาลฎีกามีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยให้หนักกว่าที่ศาลอุทธรณ์กำหนดได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225
(ตัดสินโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 677/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายสตรีมีครรภ์จนคลอดก่อนกำหนดและการพิจารณาความผิดฐานทำให้แท้งลูก
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำร้ายร่างกายเขาได้รับอันตรายสาหัสถึงแท้งลูกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(5) โจทก์จะยกเหตุอันตรายสาหัสเพราะป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วันตามมาตรา297(8)มาอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้ เพราะไม่ได้กล่าวไว้ในฟ้อง
การกระทำอันจะเป็นผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายได้รับอันตรายถึงสาหัสถึงแท้งลูกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(5) นั้น จะต้องเป็นกรณีที่กระทำให้ลูกในครรภ์ของผู้ถูกทำร้ายคลอดออกมาในลักษณะที่ลูกนั้นไม่มีชีวิต ส่วนการคลอดก่อนกำหนดเวลาในลักษณะที่เด็กยังมีชีวิตอยู่ต่อมาอีก 8 วันแล้วจึงตาย ดังนี้ ไม่เป็นการทำให้ได้รับอันตรายสาหัสถึงแท้งลูกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(5)
คดีที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าเบาไป และโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามมาตรา 297 ถือได้ว่าโจทก์ฎีกาในทำนองที่ขอลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น ดังนี้ ศาลฎีกามีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยให้หนักกว่าที่ศาลอุทธรณ์กำหนดได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225
(ตัดสินโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14/2510)
การกระทำอันจะเป็นผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายได้รับอันตรายถึงสาหัสถึงแท้งลูกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(5) นั้น จะต้องเป็นกรณีที่กระทำให้ลูกในครรภ์ของผู้ถูกทำร้ายคลอดออกมาในลักษณะที่ลูกนั้นไม่มีชีวิต ส่วนการคลอดก่อนกำหนดเวลาในลักษณะที่เด็กยังมีชีวิตอยู่ต่อมาอีก 8 วันแล้วจึงตาย ดังนี้ ไม่เป็นการทำให้ได้รับอันตรายสาหัสถึงแท้งลูกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(5)
คดีที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าเบาไป และโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามมาตรา 297 ถือได้ว่าโจทก์ฎีกาในทำนองที่ขอลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น ดังนี้ ศาลฎีกามีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยให้หนักกว่าที่ศาลอุทธรณ์กำหนดได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225
(ตัดสินโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14/2510)