พบผลลัพธ์ทั้งหมด 546 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 857/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถยนต์ของกลางในคดีป่าไม้: ศาลฎีกาตัดสินว่าการครอบครองของป่าเกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด ไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตราที่บัญญัติถึงการริบ
การริบทรัพย์สินอันเนื่องจากการกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ฯมีบัญญัติไว้ในมาตรา74และมาตรา74ทวิ
ยานพาหนะซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำผิดหรือได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดตามมาตรา11,48,54หรือ69มีบัญญัติไว้ในมาตรา74ทวิ
การมีเปลือกไม้สีเสียดอันเป็นของป่าหวงห้ามไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่กฎหมายกำหนดอันมิใช่การกระทำอันเป็นความผิดตามมาตรา11,48,54และ69รถยนต์ของกลางซึ่งใช้เป็นยานพาหนะจึงไม่อยู่ในข่ายอันจะพึงริบได้ตามมาตรา74ทวิทั้งจะริบรถยนต์ของกลางตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา33ก็ไม่ได้เพราะรถยนต์ของกลางมิใช่ทรัพย์ซึ่งจำเลยได้ใช้หรือไม้ไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิดความผิดของจำเลยอยู่ที่การไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น
ยานพาหนะซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำผิดหรือได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดตามมาตรา11,48,54หรือ69มีบัญญัติไว้ในมาตรา74ทวิ
การมีเปลือกไม้สีเสียดอันเป็นของป่าหวงห้ามไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่กฎหมายกำหนดอันมิใช่การกระทำอันเป็นความผิดตามมาตรา11,48,54และ69รถยนต์ของกลางซึ่งใช้เป็นยานพาหนะจึงไม่อยู่ในข่ายอันจะพึงริบได้ตามมาตรา74ทวิทั้งจะริบรถยนต์ของกลางตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา33ก็ไม่ได้เพราะรถยนต์ของกลางมิใช่ทรัพย์ซึ่งจำเลยได้ใช้หรือไม้ไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิดความผิดของจำเลยอยู่ที่การไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 242/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบของกลาง: เมื่อจำเลยยกฟ้อง การฎีกาเรื่องความเกี่ยวข้องกับความผิดของผู้อื่นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม
การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 4 และให้ริบรถยนต์ของกลางศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นไม่ริบรถยนต์ของกลางส่วนการยกฟ้องจำเลยที่ 4 คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แล้วโจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางคดีนี้มีส่วนรู้เห็นในการใช้รถยนต์เป็นพาหนะในการกระทำผิดของจำเลยอื่น ขอให้ริบของกลางนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 242/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถยนต์ของกลางเมื่อจำเลยที่ 4 พ้นผิด ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 4 และให้ริบรถยนต์ของกลางศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นไม่ริบรถยนต์ของกลางส่วนการยกฟ้องจำเลยที่ 4 คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วโจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางคดีนี้มีส่วนรู้เห็นในการใช้รถยนต์เป็นพาหนะในการกระทำผิดของจำเลยอื่น ขอให้ริบของกลางนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3504/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายยาเสพติด: การมอบยาตัวอย่างถือเป็นการจำหน่าย และเงินล่อซื้อต้องคืนเจ้าของ
ตำรวจปลอมตัวเป็นพ่อค้าไปล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลย แต่จำเลย นำผงซักฟอกมาหลอกขายให้แทน ในการหลอกขายนี้จำเลยได้นำเฮโรอีนบรรจุหลอดพลาสติกครึ่งหลอดมามอบให้ตำรวจ มิใช่เพียงมอบให้ดูเท่านั้น แต่มอบให้ตำรวจไปเลย แม้จำเลยจะมอบให้เพื่อเป็นตัวอย่างในการหลอกขายผงซักฟอกก็ตาม ก็เป็นการมอบเฮโรอีนให้แก่ผู้อื่น ถือเป็นการจำหน่ายแจกจ่ายเฮโรอีนครึ่งหลอดนั้นให้แก่ตำรวจ คำว่า 'จำหน่าย' มิได้หมายความเฉพาะการขายเท่านั้น การจำหน่ายแจกจ่ายด้วยประการใดก็ถือเป็นการจำหน่าย ธนบัตรของกลางฉบับละห้าร้อยบาท 10 ฉบับ ที่เจ้าพนักงานนำมาใช้ล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยนั้น ปรากฏว่าเป็นเงินที่ตำรวจยืมมาจากสำนักงานปราบปรามยาเสพติดให้โทษอเมริกา ฯ หาใช่เป็นของจำเลยไม่ฉะนั้นจึงต้องคืนธนบัตรนั้นให้แก่เจ้าของจะริบไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3504/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายยาเสพติด แม้เป็นการมอบตัวอย่างเพื่อหลอกลวง ก็ถือเป็นการจำหน่ายได้ และการริบของกลางต้องเป็นของจำเลย
ตำรวจปลอมตัวเป็นพ่อค้าไปล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลย แต่จำเลยนำผงซักฟอกมาหลอกขายให้แทน ในการหลอกขายนี้จำเลยได้นำเฮโรอีนบรรจุหลอดพลาสติกครึ่งหลอดมามอบให้ตำรวจ มิใช่เพียงมอบให้ดูเท่านั้น แต่มอบให้ตำรวจไปเลย แม้จำเลยจะมอบให้เพื่อเป็นตัวอย่างในการหลอกขายผงซักฟอกก็ตาม ก็เป็นการมอบเฮโรอีนให้แก่ผู้อื่น ถือเป็นการจำหน่ายแจกจ่ายเฮโรอีนครึ่งหลอดนั้นให้แก่ตำรวจ คำว่า "จำหน่าย" มิได้หมายความเฉพาะการขายเท่านั้น การจำหน่ายแจกจ่ายด้วยประการใดก็ถือเป็นการจำหน่าย
ธนบัตรของกลางฉบับละห้าร้อยบาท 10 ฉบับ ที่เจ้าพนักงานนำมาใช้ล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยนั้น ปรากฏว่าเป็นเงินที่ตำรวจยืมมาจากสำนักงานปราบปรามยาเสพติดให้โทษอเมริกา ฯ หาใช่เป็นของจำเลยไม่ ฉะนั้นจึงต้องคืนธนบัตรนั้นให้แก่เจ้าของจะริบไม่ได้
ธนบัตรของกลางฉบับละห้าร้อยบาท 10 ฉบับ ที่เจ้าพนักงานนำมาใช้ล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยนั้น ปรากฏว่าเป็นเงินที่ตำรวจยืมมาจากสำนักงานปราบปรามยาเสพติดให้โทษอเมริกา ฯ หาใช่เป็นของจำเลยไม่ ฉะนั้นจึงต้องคืนธนบัตรนั้นให้แก่เจ้าของจะริบไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3213/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีลามกและการริบของกลาง: องค์ประกอบความผิดและทรัพย์สินที่ริบได้
แม้ศาลจะบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาของโจทก์แต่เพียงว่า จำเลย มีวีดีโอเทปภาพลามกไว้ในครอบครองเพื่อบริการแลกเปลี่ยนให้แก่ลูกค้าหรือสมาชิกด้วยการคิดค่าบริการเป็นเงินค่าเช่า แต่บันทึกหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาของโจทก์ได้บรรยายไว้ชัดแจ้งว่าจำเลยมีวิดีโอเทปภาพยนตร์ลามกไว้ในความครอบครองเพื่อบริการให้เช่าแลกเปลี่ยนแก่ลูกค้าหรือสมาชิก ด้วยการคิดค่าบริการเป็นเงินค่าเช่า อันเป็นการบรรยายครบ องค์ประกอบความผิดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา287(2) แล้ว เมื่อจำเลยรับสารภาพ ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามฟ้องได้
บันทึกหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาของโจทก์ระบุแต่เพียงว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้จับจำเลยพร้อมทั้งยึดของกลางจำนวน 2 รายการซึ่งได้แนบท้ายฟ้องและบัญชีของกลางระบุว่าเงิน570 บาทเป็นของกลางที่พบในสถานที่เกิดเหตุขณะจับกุมเท่านั้น เมื่อโจทก์ไม่บรรยายให้ชัดแจ้งว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดหรือได้มาโดยการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 เงินของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่พึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32,33
บันทึกหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาของโจทก์ระบุแต่เพียงว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้จับจำเลยพร้อมทั้งยึดของกลางจำนวน 2 รายการซึ่งได้แนบท้ายฟ้องและบัญชีของกลางระบุว่าเงิน570 บาทเป็นของกลางที่พบในสถานที่เกิดเหตุขณะจับกุมเท่านั้น เมื่อโจทก์ไม่บรรยายให้ชัดแจ้งว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดหรือได้มาโดยการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 เงินของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่พึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32,33
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3213/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์ประกอบความผิดฐานมีวัตถุอนาจารเพื่อการค้า และการริบเงินที่ได้จากการกระทำผิด
แม้ศาลจะบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาของโจทก์แต่เพียงว่า จำเลยมีวีดีโอเทปภาพลามกไว้ในครอบครองเพื่อบริการแลกเปลี่ยนให้แก่ลูกค้าหรือสมาชิกด้วยการคิดค่าบริการเป็นเงินค่าเช่า แต่บันทึกหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาของโจทก์ได้บรรยายไว้ชัดแจ้งว่า จำเลยมีวิดีโอเทปภาพยนตร์ลามกไว้ในความครอบครองเพื่อบริการให้เช่า แลกเปลี่ยน แก่ลูกค้าหรือสมาชิก ด้วยการคิดค่าบริการเป็นเงินค่าเช่า อันเป็นการบรรยายครบองค์ประกอบความผิดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287(2) แล้ว เมื่อจำเลยรับสารภาพ ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามฟ้องได้
บันทึกหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาของโจทก์ระบุแต่เพียงว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้จับจำเลยพร้อมทั้งยึดของกลางจำนวน 2 รายการซึ่งได้แนบท้ายฟ้อง และบัญชีของกลางระบุว่าเงิน 570 บาทเป็นของกลางที่พบในสถานที่เกิดเหตุขณะจับกุมเท่านั้น เมื่อโจทก์ไม่บรรยายให้ชัดแจ้งว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด หรือได้มาโดยการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 เงินของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่พึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33
บันทึกหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาของโจทก์ระบุแต่เพียงว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้จับจำเลยพร้อมทั้งยึดของกลางจำนวน 2 รายการซึ่งได้แนบท้ายฟ้อง และบัญชีของกลางระบุว่าเงิน 570 บาทเป็นของกลางที่พบในสถานที่เกิดเหตุขณะจับกุมเท่านั้น เมื่อโจทก์ไม่บรรยายให้ชัดแจ้งว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด หรือได้มาโดยการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 เงินของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่พึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3027/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพกพาอาวุธปืนโดยไม่จำเป็นเร่งด่วน แม้เก็บไว้ในรถ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าถือว่าพกพาอาวุธ
จำเลยเก็บปืนและเงิน 70,000 บาท ไว้ในลิ้นชักรถ เมื่อจำเลยนั่งรถไปด้วย ถือได้ว่าจำเลยพาอาวุธปืนติดตัวไป และการที่จำเลยขับรถไปส่งผู้เสียหายกับพวกแล้วพากันไปนั่งดื่มสุราและเบียร์ โดยทิ้งเงินไว้ในรถซึ่งจอดอยู่ห่างจากจำเลยประมาณ 5 - 6 วา แสดงว่าจำเลยมิได้ห่วงใยเกี่ยวกับความปลอดภัยของทรัพย์สิน การที่จำเลยพาอาวุธปืนติดตัวไปจึงถือไม่ได้ว่ามีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3027/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพกพาอาวุธปืนโดยไม่มีเหตุจำเป็นและความรับผิดชอบต่อทรัพย์สิน
จำเลยเก็บปืนและเงิน 70,000 บาท ไว้ในลิ้นชักรถ เมื่อจำเลยนั่งรถไปด้วย ถือได้ว่าจำเลยพาอาวุธปืนติดตัวไป และการที่จำเลยขับรถไปส่งผู้เสียหายกับพวกแล้วพากันไปนั่งดื่มสุราและเบียร์ โดยทิ้งเงินไว้ในรถซึ่งจอดอยู่ห่างจากจำเลยประมาณ 5-6 วา แสดงว่าจำเลยมิได้ห่วงใยเกี่ยวกับความปลอดภัยของทรัพย์สิน การที่จำเลยพาอาวุธปืนติดตัวไปจึงถือไม่ได้ว่ามีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2695/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบยานพาหนะในความผิดชิงทรัพย์: ต้องพิจารณาว่าใช้ในการกระทำความผิดโดยตรงหรือไม่
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี ที่บัญญัติให้ผู้กระทำผิดต้องได้รับโทษหนักขึ้นกว่าที่บัญญัติไว้อีกกึ่งหนึ่งนั้น ถ้าปรากฏว่าผู้กระทำผิดได้ใช้ยานพาหนะพาทรัพย์ที่ได้จากการกระทำผิดหลบหนีไป หรือใช้ยานพาหนะเพื่อให้พ้นการจับกุมหลังจากได้กระทำผิดเป็นเพียงบทบัญญัติถึงเหตุที่จะทำให้ผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษหนักขึ้นเท่านั้น ส่วนปัญหาที่ว่ายานพาหนะใดเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดซึ่งศาลพึงสั่งริบตามมาตรา 33(1) นั้นต้องพิจารณาตามพฤติการณ์ของการกระทำผิดเป็นเรื่องๆไปว่าผู้กระทำผิดได้ใช้ยานพาหนะนั้นในการกระทำผิดหรือไม่
จำเลยทั้งสองใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะพาสร้อยคอทองคำหลบหนีไป และเพื่อให้พ้นการจับกุม ภายหลังจากจำเลยได้ทำการชิงทรัพย์สำเร็จแล้ว จำเลยทั้งสองมิได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการกระทำผิดชิงสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายรถจักรยานยนต์จึงมิใช่ทรัพย์สินอันพึงริบตามมาตรา 33(1)(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2615/2518)
จำเลยทั้งสองใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะพาสร้อยคอทองคำหลบหนีไป และเพื่อให้พ้นการจับกุม ภายหลังจากจำเลยได้ทำการชิงทรัพย์สำเร็จแล้ว จำเลยทั้งสองมิได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการกระทำผิดชิงสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายรถจักรยานยนต์จึงมิใช่ทรัพย์สินอันพึงริบตามมาตรา 33(1)(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2615/2518)