พบผลลัพธ์ทั้งหมด 168 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4176/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผ่านที่ดินของผู้อยู่ในที่ล้อมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 แม้มีการตกลงยกเลิกสิทธิทางวาจาก็ไม่ผูกพัน
ที่ดินของโจทก์ทั้งสองที่แบ่งซื้อมาจากจำเลยทั้งสองไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ถ้าโจทก์จะออกสู่ทางสาธารณะจะต้องอาศัยทางในที่ดินของบุคคลอื่นและไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองมีสิทธิใช้ทางดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินของโจทก์ทั้งสองอยู่ในที่ล้อมจึงมีสิทธิผ่านที่ดินแปลงเดิมของจำเลยทั้งสองที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนออกไปสู่ทางสาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 และเมื่อเป็นทางจำเป็นโดยผลของกฎหมายดังกล่าว จำเลยทั้งสองจึงไม่จำต้องไปจดทะเบียน โจทก์ทั้งสองมีสิทธิผ่านที่ดินแปลงเดิมของจำเลยทั้งสองที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนออกไปสู่ทางสาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 การที่โจทก์ทั้งสองตกลงด้วยวาจากับจำเลยทั้งสองยกเลิกสัญญาที่จำเลยทั้งสองยินยอมให้โจทก์ทั้งสองใช้ทางผ่าน เป็นการตกลงยกเลิกข้อจำกัดสิทธิแห่งเจ้าของอสังหาริมทรัพย์โดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1338 วรรคสอง จึงไม่มีผลผูกพันระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง สิทธิของโจทก์ทั้งสองที่จะใช้ทางจำเป็นผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองเกิดขึ้นโดยผลของกฎหมายคือมีสิทธิเดินผ่านในที่ดินของจำเลยทั้งสองได้ตลอดเวลา เมื่อใดจำเลยทั้งสองปิดทางเดินจนโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์ทั้งสองย่อมจะฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสองเปิดทางได้ ไม่มีอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4176/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิใช้ทางจำเป็นในที่ดินของผู้อื่น แม้มีข้อตกลงยกเลิก แต่ต้องทำเป็นหนังสือจดทะเบียนจึงมีผลผูกพัน สิทธิเดินผ่านไม่มีอายุความ
เดิมที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 402 เป็นของจำเลย ต่อมาโจทก์ ได้ซื้อที่ดินดังกล่าวบางส่วนเนื้อที่ 3 งาน ซึ่งอยู่ด้านหลังก่อนแย่งแยกหรือแบ่งโอน จำเลยได้ทำสัญญากับโจทก์ว่าจะ เปิดทางเดินกว้าง 2.5 เมตร ให้โจทก์เดินออกสู่ทางสาธารณะแต่ต่อมาจำเลยล้อมรั้วปิดกั้นในที่ดินของจำเลยทำให้โจทก์ไม่สามารถออกสู่ทางสาธารณะได้ ที่ดินของโจทก์ที่แบ่งแยกจากที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 402 อยู่ในที่ล้อม จึงมีสิทธิผ่าน ที่ดินของจำเลยที่แบ่งแยกที่แบ่งหรือแบ่งโอนไปสู่ทางสาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 การยกเลิกสัญญาที่จำเลยยินยอมให้โจทก์ใช้ทางผ่านกว้าง 2.5 เมตร เป็นข้อจำกัดสิทธิแห่งเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ต้องทำนิติกรรมเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงาน เจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1338 วรรคสองเพียงแต่ตกลงยกเลิกกันด้วยปากเปล่า ไม่มีผลผูกพัน ทางจำเลยโดยผลของกฎหมายไม่จำต้องไปจดทะเบียน สิทธิของโจทก์ที่จะเดินผ่านในที่ดินของจำเลยเกิดขึ้นโดย ผลของกฎหมาย โจทก์ย่อมจะฟ้องให้จำเลยเปิดทางได้โดยไม่มีอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3252/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาททางภารจำยอมและอายุความ การใช้ทางส่วนเกินเพื่อรถยนต์
ตามคำฟ้องโจทก์ยอมรับว่าจำเลยยังเปิดทางกว้าง 1 เมตร จากที่ดินโจทก์ผ่านที่ดินของจำเลยไปสู่ทางสาธารณะได้ แต่โจทก์ขอให้จำเลยเปิดทางกว้างไม่น้อยกว่า 4 เมตร เพื่อให้รถยนต์แล่นผ่านเข้าออกได้ด้วย โจทก์จำเลยจึงมีข้อพิพาทกันเฉพาะทางส่วนที่กว้างเกินกว่า 1 เมตร ที่พอจะให้รถยนต์แล่นเข้าออกได้เท่านั้น
แม้โจทก์จะบรรยายมาในฟ้องอ้างว่าที่ดินของโจทก์และจำเลยเป็นที่ดินที่แบ่งแยกมาจากโฉนดเดียวกัน เป็นเหตุให้ที่ดินของโจทก์ตกอยู่ด้านในไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ แต่ปรากฏจากคำฟ้องว่ามีทางออกจากที่ดินโจทก์ไปสู่ทางสาธารณะแล้ว และโจทก์บรรยายฟ้องต่อไปว่า โจทก์ได้ใช้บางส่วนของที่ดินของจำเลยเป็นทางสำหรับรถยนต์ผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะเรื่อยมาเป็นเวลาติดต่อกันรวม 31 ปีโดยไม่มีผู้ใดห้ามปราม แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะอ้างว่า ทางพิพาทส่วนที่กว้างเกินกว่า 1 เมตรนั้น เป็นทางภารจำยอมที่โจทก์ได้มาโดยอายุความซึ่งจำเลยก็เข้าใจคำฟ้องของโจทก์ว่าเป็นเช่นนั้น เพราะจำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์ไม่เคยใช้ที่ดินบางส่วนของจำเลยเป็นทางสำหรับรถยนต์เข้าออกสู่ทางสาธารณะเป็นเวลา 31 ปี ตามคำฟ้องโจทก์เพิ่งจะนำรถยนต์เข้าจอดในที่ดินของจำเลยเมื่อประมาณ 3 ปีมานี้ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่า โจทก์ได้ใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกทางพิพาทสู่ทางสาธารณะจนได้อายุความหรือไม่เท่านั้น ไม่มีประเด็นเรื่องทางจำเป็น โจทก์จึงไม่มีสิทธิฎีกาเรียกร้องให้จำเลยรื้อรั้วคอนกรีตเปิดทางให้รถยนต์แล่นผ่านเข้าออกทางพิพาทเพราะเป็นทางจำเป็นได้
แม้โจทก์จะบรรยายมาในฟ้องอ้างว่าที่ดินของโจทก์และจำเลยเป็นที่ดินที่แบ่งแยกมาจากโฉนดเดียวกัน เป็นเหตุให้ที่ดินของโจทก์ตกอยู่ด้านในไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ แต่ปรากฏจากคำฟ้องว่ามีทางออกจากที่ดินโจทก์ไปสู่ทางสาธารณะแล้ว และโจทก์บรรยายฟ้องต่อไปว่า โจทก์ได้ใช้บางส่วนของที่ดินของจำเลยเป็นทางสำหรับรถยนต์ผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะเรื่อยมาเป็นเวลาติดต่อกันรวม 31 ปีโดยไม่มีผู้ใดห้ามปราม แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะอ้างว่า ทางพิพาทส่วนที่กว้างเกินกว่า 1 เมตรนั้น เป็นทางภารจำยอมที่โจทก์ได้มาโดยอายุความซึ่งจำเลยก็เข้าใจคำฟ้องของโจทก์ว่าเป็นเช่นนั้น เพราะจำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์ไม่เคยใช้ที่ดินบางส่วนของจำเลยเป็นทางสำหรับรถยนต์เข้าออกสู่ทางสาธารณะเป็นเวลา 31 ปี ตามคำฟ้องโจทก์เพิ่งจะนำรถยนต์เข้าจอดในที่ดินของจำเลยเมื่อประมาณ 3 ปีมานี้ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่า โจทก์ได้ใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกทางพิพาทสู่ทางสาธารณะจนได้อายุความหรือไม่เท่านั้น ไม่มีประเด็นเรื่องทางจำเป็น โจทก์จึงไม่มีสิทธิฎีกาเรียกร้องให้จำเลยรื้อรั้วคอนกรีตเปิดทางให้รถยนต์แล่นผ่านเข้าออกทางพิพาทเพราะเป็นทางจำเป็นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3252/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิภารจำยอมโดยอายุความ: ประเด็นข้อพิพาทจำกัดเฉพาะส่วนที่เกิน 1 เมตร ไม่ใช่ทางจำเป็น
ตามคำฟ้องโจทก์ยอมรับว่าจำเลยยังเปิดทางกว้าง 1 เมตร จากที่ดินโจทก์ผ่านที่ดินของจำเลยไปสู่ทางสาธารณะได้ แต่โจทก์ขอให้จำเลยเปิดทางกว้างไม่น้อยกว่า 4 เมตร เพื่อให้รถยนต์แล่นผ่านเข้าออกได้ด้วย โจทก์จำเลยจึงมีข้อพิพาทกันเฉพาะทางส่วนที่กว้างเกินกว่า 1 เมตร ที่พอจะให้รถยนต์แล่นเข้าออกได้เท่านั้น แม้โจทก์จะบรรยายมาในฟ้องอ้างว่าที่ดินของโจทก์และจำเลยเป็นที่ดินที่แบ่งแยกมาจากโฉนดเดียวกัน เป็นเหตุให้ที่ดินของโจทก์ตกอยู่ด้านในไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ แต่ปรากฏจากคำฟ้องว่ามีทางออกจากที่ดินโจทก์ไปสู่ทางสาธารณะแล้ว และโจทก์บรรยายฟ้องต่อไปว่า โจทก์ได้ใช้บางส่วนของที่ดินของจำเลยเป็นทางสำหรับรถยนต์ผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะเรื่อยมาเป็นเวลาติดต่อกันรวม 31 ปีโดยไม่มีผู้ใดห้ามปราม แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะอ้างว่า ทางพิพาทส่วนที่กว้างเกินกว่า 1 เมตรนั้น เป็นทางภารจำยอมที่โจทก์ได้มาโดยอายุความซึ่งจำเลยก็เข้าใจคำฟ้องของโจทก์ว่าเป็นเช่นนั้น เพราะจำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์ไม่เคยใช้ที่ดินบางส่วนของจำเลยเป็นทางสำหรับรถยนต์เข้าออกสู่ทางสาธารณะเป็นเวลา 31 ปี ตามคำฟ้องโจทก์เพิ่งจะนำรถยนต์เข้าจอดในที่ดินของจำเลยเมื่อประมาณ 3 ปีมานี้ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่า โจทก์ได้ใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกทางพิพาทสู่ทางสาธารณะจนได้อายุความหรือไม่เท่านั้น ไม่มีประเด็นเรื่องทางจำเป็น โจทก์จึงไม่มีสิทธิฎีกาเรียกร้องให้จำเลยรื้อรั้วคอนกรีตเปิดทางให้รถยนต์แล่นผ่านเข้าออกทางพิพาทเพราะเป็นทางจำเป็นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1136/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิใช้ทางผ่านที่ดินของผู้อื่นถูกจำกัดเฉพาะที่ดินเดิมที่แบ่งแยกมา แม้ที่ดินเดิมเคยเป็นแปลงเดียวกัน
เจ้าของที่ดินที่ถูกที่ดินแปลงอื่นปิดล้อมสามารถใช้สิทธิเรียกร้องผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ เป็นการตัดสิทธิของเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ จึงต้องแปลโดยเคร่งครัด จะแปลโดยอนุโลมหาได้ไม่ เมื่อที่ดินของโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 33092 แม้ที่ดินโฉนดเลขที่ 33092 จะเคยเป็นที่แปลงเดียวกับที่ดินจำเลยมาก่อนก็ตาม จะถือโดยอนุโลมว่าที่ดินโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินจำเลยด้วยหาได้ไม่ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินผ่านไปสู่ทางสาธารณะได้เฉพาะภายในบริเวณที่ดินโฉนดเลขที่ 33092 ซึ่งเป็นที่ดินแปลงที่ที่ดินโจทก์แบ่งแยกมาเท่านั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 จะใช้สิทธิเรียกร้องเอาทางเดินผ่านที่ดินจำเลยไปสู่ทางสาธารณะไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1136/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเดินทางผ่านที่ดินปิดล้อม: การแบ่งแยกที่ดินต้องพิจารณาที่ดินเดิมที่แบ่งแยกมา ไม่ใช่ที่ดินแปลงแรก
การที่เจ้าของที่ดินที่ถูก ที่ดินแปลงอื่นปิดล้อมใช้ สิทธิเรียกร้องผ่านที่ดินซึ่ง ล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะนั้น เป็นการตัดสิทธิของเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ จึงต้อง แปลโดย เคร่งครัดดังนั้น เมื่อที่ดินของโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนด เลขที่ 33092ก็ต้อง ถือ โดย เคร่งครัดว่าที่ดินโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 33092 เท่านั้น แม้ที่ดินโฉนด เลขที่ 33092 จะเคยเป็นที่แปลงเดียว กับที่ดินจำเลยมาก่อนก็ตาม จะถือ โดย อนุโลมว่าที่ดินโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินจำเลยด้วย หา ได้ ไม่ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินผ่านไปสู่ทางสาธารณะได้ เฉพาะ ภายในบริเวณที่ดินโฉนด เลขที่ 33092 ซึ่ง เป็นที่ดินแปลงที่ที่ดินโจทก์แบ่งแยกมาเท่านั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 จะใช้ สิทธิเรียกร้องเอาทางเดินผ่านที่ดินจำเลยไปสู่ทางสาธารณะหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1136/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิใช้ทางผ่านที่ดินปิดล้อม: การแบ่งแยกที่ดินและการตีความสิทธิเรียกร้องทางผ่าน
การที่เจ้าของที่ดินที่ถูกที่ดินแปลงอื่นปิดล้อมใช้สิทธิเรียกร้องผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้นั้น เป็นการตัดสิทธิของเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ จึงต้องแปลโดยเคร่งครัด จะแปลโดยอนุโลมหาได้ไม่เมื่อที่ดินของโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่33092 แม้ที่ดินโฉนดเลขที่ 33092 จะเคยเป็นที่แปลงเดียวกับที่ดินจำเลยมาก่อนก็ตามจะถือโดยอนุโลมว่าที่ดินโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินจำเลยด้วยหาได้ไม่โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินผ่านไปสู่ทางสาธารณะได้เฉพาะภายในบริเวณที่ดินโฉนดเลขที่ 33092 ซึ่งเป็นที่ดินแปลงที่ที่ดินโจทก์แบ่งแยกมาเท่านั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 จะใช้สิทธิเรียกร้องเอาทางเดินผ่านที่ดินจำเลยไปสู่ทางสาธารณะไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1136/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องทางผ่านที่ดินปิดล้อม: การแบ่งแยกที่ดินต้องพิจารณาตามโฉนดที่ดินปัจจุบัน ไม่สามารถอ้างสิทธิทางผ่านจากที่ดินเดิมได้
เจ้าของที่ดินที่ถูกที่ดินแปลงอื่นปิดล้อมสามารถใช้สิทธิเรียกร้องผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้เป็นการตัดสิทธิของเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ จึงต้องแปลโดยเคร่งครัด จะแปลโดยอนุโลมหาได้ไม่ เมื่อที่ดินของโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 33092 แม้ที่ดินโฉนดเลขที่ 33092 จะเคยเป็นที่แปลงเดียวกับที่ดินจำเลยมาก่อนก็ตาม จะถือโดยอนุโลมว่าที่ดินโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินจำเลยด้วยหาได้ไม่ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินผ่านไปสู่ทางสาธารณะได้เฉพาะภายในบริเวณที่ดินโฉนดเลขที่ 33092 ซึ่งเป็นที่ดินแปลงที่ที่ดินโจทก์แบ่งแยกมาเท่านั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 จะใช้สิทธิเรียกร้องเอาทางเดินผ่านที่ดินจำเลยไปสู่ทางสาธารณะไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5281/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางจำเป็น: ปลายทางไม่ต้องติดทางสาธารณะ หากมีทางออกถึงทางสาธารณะได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 มิได้บัญญัติว่าทางจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับทางสาธารณะโดยตรง ความมุ่งหมายสำคัญของมาตราดังกล่าวก็เพื่อให้ที่ดินที่ถูกล้อมอยู่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้เท่านั้น ดังนั้นการขอให้เปิดทางจำเป็น ปลายทางดังกล่าวหาจำต้องติดทางสาธารณะเสมอไปไม่
โจทก์ฟ้องขอให้เปิดทางพิพาทโดยอ้างว่าเป็นทางจำเป็นในที่ดินของจำเลยเพื่อผ่านออกไปสู่ที่ดินของ ช.ซึ่งเป็นทางที่ติดกับทางสาธารณะ เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่สามารถใช้ที่ดินของ ช.ได้เพราะ ช. ไม่ยินยอมให้ใช้ เช่นนี้ทางพิพาทจึงไม่ใช่ทางจำเป็น
โจทก์ฟ้องขอให้เปิดทางพิพาทโดยอ้างว่าเป็นทางจำเป็นในที่ดินของจำเลยเพื่อผ่านออกไปสู่ที่ดินของ ช.ซึ่งเป็นทางที่ติดกับทางสาธารณะ เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่สามารถใช้ที่ดินของ ช.ได้เพราะ ช. ไม่ยินยอมให้ใช้ เช่นนี้ทางพิพาทจึงไม่ใช่ทางจำเป็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5281/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางจำเป็นต้องสามารถออกสู่ทางสาธารณะได้ แม้ปลายทางไม่ใช่ทางสาธารณะโดยตรง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 มิได้บัญญัติว่าทางจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับทางสาธารณะโดยตรง ความมุ่งหมายสำคัญของมาตราดังกล่าวก็เพื่อให้ที่ดินที่ถูกล้อมอยู่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้เท่านั้นดังนั้นการขอให้เปิดทางจำเป็น ปลายทางดังกล่าวหาจำต้องติดทางสาธารณะเสมอไปไม่ โจทก์ฟ้องขอให้เปิดทางพิพาทโดยอ้างว่าเป็นทางจำเป็นในที่ดินของจำเลยเพื่อผ่านออกไปสู่ที่ดินของ ช. ซึ่งเป็นทางที่ติดกับทางสาธารณะ เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่สามารถใช้ที่ดินของ ช. ได้เพราะ ช. ไม่ยอมให้ใช้เช่นนี้ ทางพิพาทจึงไม่ใช่ทางจำเป็น