พบผลลัพธ์ทั้งหมด 129 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3906/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาและแพ่งเกี่ยวเนื่องกัน การยื่นคำให้การ และค่าขึ้นศาลฎีกา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกและขอให้ขับไล่จำเลยกับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เป็นการฟ้องคดีอาญาและคดีแพ่งที่เกี่ยวกับคดีอาญา ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ประทับฟ้อง หมายเรียกจำเลยมาให้การในวันนัดสืบพยานโจทก์ให้โจทก์นำส่งหมายเรียกภายใน 7 วันจำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำให้การในวันนัดสืบพยานโจทก์ได้โดยไม่ต้องยื่นคำให้การแก้คดีภายใน 15 วัน นับแต่ได้ส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคหนึ่งดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นออกหมายเรียกและกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2533 และเมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์นั้น ศาลชั้นต้นได้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นบันทึกคำให้การของจำเลยไว้จึงถือได้ว่าจำเลยได้ยื่นคำให้การในคดีส่วนแพ่งในวันนั้นด้วยแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามมิให้เข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไปและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์6,000 บาท กับค่าเสียหายปีละ 6,000 บาท ทุกปีไปจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินของโจทก์มาด้วย เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จำนวน6,000 บาท และไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วยทั้งยังมีคำขอให้ชำระค่าเสียหายในอนาคตรวมอยู่อีกด้วยเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนและโจทก์ฎีกาขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาอุทธรณ์ภาค 2ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามมิให้เข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้องโจทก์จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามข้อ (3) และข้อ (4)ของตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นจำนวนทั้งสิ้น 300 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2863/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งมีเงื่อนไข & สัญญาต่างตอบแทนไม่มีผลผูกพันผู้รับโอนที่ไม่ยินยอม
จำเลยฟ้องแย้งในทำนองว่า หากจำเลยต้องออกจากที่พิพาทที่เช่าแล้ว โจทก์ทั้งสองจะต้องชดใช้ค่าเสียหายในการที่จำเลยได้เสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามที่กล่าวอ้างไปเพื่อประโยชน์แก่เจ้าของที่พิพาทเดิมเป็นเงิน 2,000,000 บาท ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นฟ้องที่จำเลยขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองต่อเมื่อศาลฟังข้อเท็จจริงว่า ไม่มีสัญญาต่างตอบแทน และศาลพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทแล้ว เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไขกล่าวคือจะให้ถือเป็นฟ้องแย้งต่อเมื่อศาลพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทไปแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นภายหลัง ถ้าจำเลยชนะคดีตามคำให้การ ฟ้องแย้งของจำเลยก็ตกไป จึงเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา179 วรรคสุดท้าย ไม่เป็นฟ้องแย้งที่จะรับไว้พิจารณา สัญญาต่างตอบแทนนอกเหนือจากการเช่าเป็นบุคคลสิทธิมีผลผูกพันเฉพาะคู่สัญญาคือจำเลยและ ด. เท่านั้น หามีผลผูกพันผู้รับโอนซึ่งมิได้รู้เห็นและยินยอมที่จะปฏิบัติตามข้อสัญญานั้นด้วยไม่เมื่อจำเลยมิได้ให้การว่าโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับโอนที่พิพาทจาก ด. ได้ยินยอมที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงที่เป็นสัญญาต่างตอบแทนระหว่างจำเลยกับ ด. สัญญาต่างตอบแทนดังกล่าวย่อมไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับโอนที่พิพาทแต่อย่างใด ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานจึงชอบแล้ว จำเลยฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องแย้ง และให้งดสืบพยาน จำเลยต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 200 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2204/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: คดีเดิมยังพิจารณาอยู่ ห้ามฟ้องเรื่องเดียวกันซ้ำ
คดีก่อนจำเลยในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยอ้างว่าโจทก์ขายที่ดินบางส่วนให้จำเลย จำเลยชำระเงิน 145,000 บาทให้โจทก์แล้ว โจทก์ยอมให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินที่ซื้อต่อมาโจทก์ผิดสัญญาจึงขอให้บังคับโจทก์รังวัดแบ่งแยกที่ดินที่ซื้อให้จำเลย โจทก์ให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยยังค้างชำระราคาที่ดินโจทก์เป็นเงิน 615,000 บาท การที่โจทก์ให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินที่ซื้อเกิดจากการฉ้อฉลและสำคัญผิดจึงเป็นโมฆะขอให้ยกฟ้อง และขอให้ศาลเพิกถอนจำเลยออกจากผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินที่ซื้อกับริบเงินมัดจำ 145,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์แบ่งแยกที่ดินที่ซื้อให้จำเลยตามฟ้องกับยกฟ้องแย้งโจทก์คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยว่า จำเลยตกลงซื้อที่ดินจากโจทก์ 72 ตารางวาตารางวาละ 11,000 บาท เป็นเงิน 792,000 บาท จำเลยชำระเงิน145,000 บาท คงค้าง 640,000 บาท จำเลยขอให้โจทก์ใส่ชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดไว้ก่อน ต่อมาโจทก์ทวงถามให้ชำระค่าที่ดินส่วนที่เหลือ จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินส่วนที่เหลือพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ดังนั้น ฟ้องแย้งในคดีเดิมของโจทก์จึงเป็นเรื่องเดียวกันกับคดีนี้และโจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีเดิมมีฐานะเป็นโจทก์ในส่วนฟ้องแย้งด้วย ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงซ้อนกับฟ้องแย้งในคดีก่อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1) โจทก์ฎีกาเพียงแต่ขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานต่อไปตามรูปคดี มิได้เรียกร้องอะไรจากจำเลย จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกา 200 บาท ตามตาราง 1(2) ก ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มิใช่เสียตามทุนทรัพย์ที่พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1335/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาลอุทธรณ์คดีล้มละลาย: การทิ้งฟ้องเนื่องจากไม่ชำระค่าธรรมเนียม
คำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายชื่อผู้ร้องออกจากบัญชีลูกหนี้เนื่องจากผู้ร้องไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ตามตาราง 1 ข้อ (1)(ก) ท้าย ป.วิ.พ. ประกอบด้วย พ.ร.บ.ล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 179 วรรคท้าย ผู้ร้องจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ผู้ร้องนำค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่ยังขาดอยู่มาชำระภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด แต่ผู้ร้องไม่ชำระภายในกำหนด เป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จำหน่ายคดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1335/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งอุทธรณ์เนื่องจากไม่ชำระค่าขึ้นศาลในคดีล้มละลาย การวินิจฉัยประเภทคดีและการคำนวณค่าขึ้นศาล
เจ้าพนักงานพิทักษ์มีหนังสือยืมยันหนี้ให้ผู้ร้องชำระหนี้เป็นเงินจำนวนหนึ่ง การที่ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายชื่อผู้ร้องออกจากบัญชีลูกหนี้ เนื่องจากไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวเท่ากับให้ศาลวินิจฉัยว่าผู้ร้องไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระตามจำนวนที่เจ้าพนักงานพิทักษ์แจ้งยืนยันไป หากศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องชนะคดีทุกข์ของผู้ร้องย่อมปลดเปลื้องไปตามจำนวนเงินที่ผู้ร้องไม่ต้องชำระหนี้ คำร้องของผู้ร้องจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามตาราง 1 ข้อ (1)(ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 179 วรรคท้ายต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อย่างคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อศาลอุทธรณ์สั่งให้ผู้ร้องนำค่าขึ้นศาลที่ยังขาดอยู่มาชำระ แต่ผู้ร้องเพิกเฉย จึงเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1216/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาลคดีแพ่ง: การฟ้องหลายข้อหา (ผิดสัญญา/ละเมิด) และการร้องเรียนต่อบุคคลที่สาม
การพิจารณาว่าคดีใดจะต้องเสียค่าขึ้นศาลเท่าใด จำต้องพิจารณาคำฟ้องเป็นเกณฑ์โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาข้อหาหนึ่ง และฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดอีกข้อหาหนึ่งคำฟ้องของโจทก์จึง เป็นการเสนอข้อหา 2 ข้อหา และแยกจากกันได้ โจทก์จึงต้องเสีย ค่าขึ้นศาลทั้ง 2 ข้อหา โจทก์ทำสัญญารับจ้างเหมาก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ โดยโจทก์ได้ทำสัญญาซื้อและติดตั้งลิฟต์ กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ ส่งมอบลิฟต์ และติดตั้งลิฟต์ ให้แก่โจทก์เรียบร้อยแล้ว โจทก์ได้รับ เงินจากมหาวิทยาลัยในงานส่วนติดตั้งลิฟต์ แล้ว แต่ไม่ยอมจ่ายเงิน ให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ร้องเรียนต่อ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยได้เรียกโจทก์และจำเลยที่ 1 ไปไกล่เกลี่ยในที่สุดโจทก์ตกลงจ่ายค่าลิฟต์ ให้จำเลยที่ 1 แต่ก็ ไม่จ่ายอีก เห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 ร้องเรียนโจทก์ต่อมหาวิทยาลัย ดังกล่าว เป็นสิทธิของจำเลยที่ 1 จะกระทำได้โดยชอบ หาเป็น การละเมิดโจทก์ไม่ พยานจำเลยที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานไปนั้น จะเบิกความถึงข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นคุณแก่จำเลยอยู่แล้ว การที่ ศาลชั้นต้นงดสืบพยานจำเลยไม่ทำให้คำวินิจฉัยของศาลเปลี่ยนแปลง เป็นอย่างอื่นฎีกาของจำเลยที่ว่าศาลชั้นต้นงดสืบพยานไม่ชอบ จึงไม่ เป็นสาระอันควรวินิจฉัยศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1216/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องผิดสัญญาและการละเมิดจากการร้องเรียนต่อหน่วยงาน และการชำระค่าขึ้นศาลในคดีที่มีหลายข้อหา
การพิจารณาว่าคดีใดจะต้องเสียค่าขึ้นศาลเท่าใด ต้องพิจารณาคำฟ้องเป็นเกณฑ์ซึ่งต้องดูว่าคำฟ้องที่เสนอต่อศาลมีกี่ข้อหาแต่ละข้อหาเกี่ยวข้องกันหรือแยกจากกัน โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายในฐานผิดสัญญาข้อหาหนึ่ง และฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดอีกข้อหาหนึ่ง คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นการเสนอข้อหา 2 ข้อหาและแยกจากกันได้ โจทก์จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลทั้ง 2 ข้อหา โจทก์ทำสัญญารับจ้างเหมาก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลสงขลานครินทร์โดยโจทก์ได้ทำสัญญาซื้อและติดตั้งลิฟต์กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1ได้ส่งมอบลิฟต์และติดตั้งลิฟต์ให้แก่โจทก์เรียบร้อยแล้ว โจทก์ได้รับเงินจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ในงานส่วนติดตั้งลิฟต์แล้วแต่ไม่ยอมจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ร้องเรียนต่อมหาวิทยาลัยว่าโจทก์ไม่จ่ายเงินค่าลิฟต์และค่าติดตั้งลิฟต์ให้จำเลยที่ 1 มหาวิทยาลัยได้เรียกโจทก์และจำเลยที่ 1 ไปไกล่เกลี่ยในที่สุดโจทก์ตกลงจ่ายค่าลิฟต์ให้จำเลยที่ 1 แต่ก็ไม่จ่ายอีกการที่จำเลยที่ 1 ร้องเรียนโจทก์ต่อมหาวิทยาลัยเป็นสิทธิของจำเลยที่ 1 จะกระทำได้โดยชอบหาเป็นการละเมิดโจทก์ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 611/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายฝ้ายดิบ การบังคับตามคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ จำเลยไม่ต้องรับผิดหากไม่มีสัญญาผูกพัน
ข้อตกลงตามสัญญาซื้อขายฝ้ายดิบที่ว่าหากมีกรณีพิพาทตามสัญญาซื้อขายเกิดขึ้น จะต้องเสนอคดีต่ออนุญาโตตุลาการตามระเบียบและกฎข้อบังคับของเดอะริเวอร์พูลคอตต้อนแอสโซซิเอชั่นลิมิเตดเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาซื้อขาย เมื่อจำเลยมิได้ทำสัญญาซื้อขายฝ้ายดิบกับโจทก์ โจทก์จึงไม่อาจนำคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการมาฟ้องบังคับให้จำเลยต้องปฏิบัติตามนั้นได้ ฟ้องโจทก์มีคำขอให้ศาลบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนอกศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 221 แม้โจทก์จะระบุฐานความผิดในฟ้องว่าผิดสัญญาทางแพ่ง และบรรยายฟ้องเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายมาด้วย แต่โจทก์ก็มิได้ขอให้บังคับจำเลยตามสัญญาซื้อขาย ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 ข้อ (1)(ข)ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในอัตราหนึ่งบาทต่อทุกหนึ่งร้อยบาทตามจำนวนที่อนุญาโตตุลาการกำหนดไว้ในคำชี้ขาดแต่ไม่ให้เกินแปดหมื่นบาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4201/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาลต้องชำระก่อนรับคำฟ้อง การรับฟ้องโดยไม่ชำระค่าธรรมเนียมเป็นกระบวนการที่ไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นสั่งรับฟ้องของโจทก์ โดยที่โจทก์ยังมิได้เสีย ค่าขึ้นศาลในเวลาที่ยื่นคำฟ้องเป็นการขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 150 วรรคแรกและตาราง 1 ท้าย ป.วิ.พ. ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้น ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาจนกระทั่งสั่งจำหน่ายคดี เพราะถือว่า โจทก์ทิ้งฟ้อง จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบและไม่มีผลผูกพัน คู่ความ โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งจำหน่ายคดี หาใช่ อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ จึงไม่จำต้องเสียค่าขึ้นศาล ในชั้นอุทธรณ์ตามทุนทรัพย์ที่ฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3148/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเรื่องบัญชีระบุพยาน เหตุมิได้ว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ และค่าขึ้นศาล
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับบัญชีระบุพยานของโจทก์และไม่อนุญาตให้โจทก์สืบพยาน เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 แม้โจทก์จะได้ยื่นคำแถลงแจ้งเหตุขัดข้องและจำเป็นที่มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนดและขอยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลชั้นต้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226(2) แล้วก็ตามแต่เมื่อโจทก์มิได้หยิบยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวมาในชั้นอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 แม้ผู้ร้องจะนำสืบพยานฝ่ายเดียว แต่ถ้าเป็นพยานที่มีน้ำหนักและเหตุผลเป็นที่เชื่อถือได้ ศาลก็ย่อมจะรับฟังพยานเช่นว่านั้นแล้ววินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทให้ผู้ร้องเป็นฝ่ายชนะคดีได้ โจทก์ฎีกาเพียงแต่ขอให้พิจารณาคดีใหม่ มิได้ฎีกาขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดี จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลสำนวนละ 200 บาท ตามตารางท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2(ข)