พบผลลัพธ์ทั้งหมด 581 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1114/2540 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องจำกัดเฉพาะประเด็นทางภารจำยอม ศาลไม่ควรวินิจฉัยสิทธิครอบครองที่ดินเกินกว่าที่คู่ความพิพาทกัน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางพิพาทในที่ดินของจำเลยอ้างว่าเป็นทางภารจำยอม จำเลยให้การว่ามิใช่ทางภารจำยอมจึงพิพาทกันเฉพาะทางพิพาทว่าเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ไม่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินด้วย การที่จำเลยนำชี้ในการทำแผนที่พิพาทว่าที่ดินตามกรอบสีแดงเป็นของตนและจำเลยร่วมคัดค้านว่าที่ดินตามกรอบสีเขียวเป็นของจำเลยร่วมก็เป็นกรณีที่จำเลยร่วมถูกโต้แย้งสิทธิในความเป็นเจ้าของที่ดินซึ่งมิได้เป็นข้อพิพาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดี จำเลยและจำเลยร่วมต้องไปฟ้องร้องเป็นคดีใหม่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามกรอบสีเขียวต่อไป การที่ศาลชั้นต้นหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีและวินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตามกรอบสีเขียวระหว่างจำเลยกับจำเลยร่วมนอกเหนือจากเรื่องทางภารจำยอมด้วยจึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5176/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบอำนาจดูแลรักษาทางน้ำสาธารณสมบัติ และอำนาจฟ้องร้องบังคับใช้
เทศบาลโจทก์ได้รับมอบอำนาจจากกรมเจ้าท่าให้มีอำนาจดูแลรักษาทางน้ำอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือทรัพย์สินของแผ่นดิน อธิบดีกรมเจ้าท่าผู้ร้องสอดที่ 1 เป็นผู้แทนของกรมเจ้าท่า และได้มอบหมายแต่งตั้งให้เจ้าท่าภูมิภาคที่ 1ผู้ร้องสอดที่ 2 มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาลำน้ำ แม่น้ำเจ้าพระยาในบริเวณที่เกิดเหตุที่จำเลยถม เท ทิ้งหิน กรวด ทราย ดิน และสิ่งของอื่น ๆ ลงที่ชายตลิ่งในแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นเหตุให้ประชาชนไม่สามารถใช้แม่น้ำดังกล่าว ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจจากกรมเจ้าท่าจึงสามารถดำเนินการบังคับตามอำนาจหน้าที่ของผู้ร้องสอดทั้งสองได้อยู่แล้ว ผู้ร้องสอดทั้งสองจึงไม่มีความจำเป็นต้องยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดีอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8065/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องขอเข้าเป็นคู่ความต้องมีคำขอบังคับชัดเจนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองโดยอ้างมูลคดีว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาเช่าซื้อและค้ำประกันที่โจทก์กับจำเลยทั้งสองทำกันไว้ส่วนผู้ร้องขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามโดยอ้างนิติสัมพันธ์ตามสัญญาซื้อขายที่ผู้ร้องกับจำเลยที่1มีต่อกันเป็นคำร้องขอเพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา57(1)ซึ่งเป็นคำฟ้องตามมาตรา172วรรคสองที่ต้องแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับแต่คำร้องของผู้ร้องมิได้มีคำขอบังคับโดยชัดแจ้งหรือมีคำขอบังคับอยู่ในตัวว่าอย่างไรเป็นคำร้องที่ไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7642/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเรียกร้องค่าเสียหายจากประกันภัยและการขอให้ผู้รับประกันภัยเข้าเป็นจำเลยร่วมในคดีเช่าซื้อ
จำเลยที่1ทำสัญญาเช่าซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปจากโจทก์มีจำเลยที่2เป็นผู้ค้ำประกันและมีจำเลยร่วมเป็นผู้ประกันภัยทรัพย์ที่เช่าซื้อต่อมาในระหว่างเช่าซื้อและภายในอายุสัญญาประกันภัยทรัพย์ที่เช่าซื้อถูกคนร้ายลักไปโจทก์ได้แสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญาตามกรมธรรม์แล้วการที่โจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยร่วมรับผิดต่อโจทก์ทั้งๆที่โจทก์ในฐานะผู้รับประโยชน์มีสิทธิฟ้องจำเลยร่วมให้รับผิดต่อโจทก์ได้เต็มตามจำนวนเงินที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองซึ่งหากจำเลยทั้งสองต้องชำระราคาแทนให้โจทก์จำเลยที่1ในฐานะเป็นผู้เอาประกันภัยย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยฟ้องเรียกค่าทดแทนสำหรับความเสียหายของโทรศัพท์ดังกล่าวจากจำเลยร่วมผู้รับประกันภัยได้ดังนั้นจำเลยที่1จึงขอให้ศาลเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา57(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7289/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแต่งตั้งผู้แทนเฉพาะคดี/ผู้แทนชั่วคราวเพื่อแก้ไขอุปสรรคในการต่อสู้คดี: ศาลต้องไต่สวนก่อนตัดสิน
ตามคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้ร้องเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของผู้ร้องกล่าวอ้างว่าการปล่อยตำแหน่งกรรมการกลุ่ม ข.ว่างไว้น่าจะเกิดความเสียหายขึ้นแก่จำเลยได้ เพราะจำเลยจะไม่อาจต่อสู้คดีกับโจทก์และผู้ร้องได้ ขอให้ศาลแก้ไขโดยอนุญาตให้ผู้ร้องเป็นผู้แทนเฉพาะคดีเพื่อจำเลยจะต่อสู้คดีกับโจทก์ได้ แม้คำร้องของผู้ร้องจะใช้เรียกคำว่าผู้แทนเฉพาะคดีซึ่งแตกต่างจากที่ ป.พ.พ.มาตรา 73ใช้คำว่าผู้แทนชั่วคราวก็ตาม แต่ก็พึงเห็นได้ว่าผู้ร้องประสงค์ให้ศาลตั้งผู้ร้องให้เป็นผู้แทนชั่วคราวโดยเป็นกรรมการกลุ่ม ข.เข้าไปมีอำนาจแก้ไขอุปสรรคข้อขัดข้องของบริษัทจำเลยในการที่จะต่อสู้คดีกับโจทก์เท่านั้น ซึ่งหากได้ความจริงดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ก็ชอบที่ศาลจะแต่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้แทนชั่วคราวขึ้นได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา73 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องโดยไม่ไต่สวนเสียก่อน จึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7226/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการร้องสอดในคดีไม่มีข้อพิพาท: ผู้มีส่วนได้เสียและถูกโต้แย้งสิทธิสามารถร้องสอดได้
ในคดีไม่มีข้อพิพาทบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียและถูกโต้แย้งสิทธิก็ร้องสอดเข้ามาในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา57(1)ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7226/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องสอดคดี: ผู้มีส่วนได้เสียแม้ไม่มีข้อพิพาทเดิมก็ร้องสอดได้ เพื่อให้พิจารณาคดีรวมกัน
ในคดีที่ไม่มีข้อพิพาทผู้มีส่วนได้เสียและถูกโต้แย้งสิทธิก็ร้องสอดเข้ามาในคดีได้ เพราะบทบัญญัติเกี่ยวกับการร้องสอด มีความมุ่งหมายทำนองเดียวกับการเข้าเป็นคู่ความร่วม การฟ้องแย้งและการรวมพิจารณานั่นเอง เรื่องราวทั้งหลายที่พิพาทกันนั้นหากมีใครเกี่ยวข้องที่จะต้องพิพาทกันด้วย ก็ควรจะได้พิจารณาไปเสียในคราวเดียวกัน หาจำต้องมีโจทก์และจำเลยเป็นคู่ความเดิมอยู่ก่อนเสมอไปไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6442/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้ร้องสอดในคดีรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง: ต้องแสดงความเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิทธิในที่ดินพิพาท
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขออ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของผ. บิดาผู้วายชนม์ของผู้ร้องสอดไม่ใช่ของโจทก์โจทก์ไม่มีสิทธิใดๆในที่ดินพิพาทฟ้องโจทก์เป็นการสอดเข้ามาเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของผู้อื่นโดยมิชอบและเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องสอดผู้ร้องสอดจึงร้องขอเข้ามาในคดีเพื่อให้ได้รับการรับรองและคุ้มครองมิให้โจทก์เข้ามาก้าวล่วงสิทธิของผู้ร้องสอดโดยขอเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามและขอให้ยกฟ้องโจทก์ดังนี้คำร้องของผู้ร้องสอดไม่ได้กล่าวอ้างถึงสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินพิพาทเลยว่าผู้ร้องสอดมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสียอย่างไรบ้างและไม่ปรากฏจากคำร้องว่าสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่โจทก์ฟ้องบังคับให้รื้อถอนนั้นเป็นส่วนควบกับที่ดินพิพาทหรือไม่ทั้งไม่มีคำบังคับเกี่ยวกับที่ดินพิพาทที่ผู้ร้องสอดอ้างว่าถูกโต้แย้งสิทธิมาด้วยการฟ้องคดีของโจทก์จึงไม่มีผลกระทบต่อสิทธิของผู้ร้องสอดหากจะพึงมีคำร้องของผู้ร้องสอดจึงยังไม่มีความจำเป็นเพื่อให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา57(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6442/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเข้ามาเป็นคู่ความในคดีรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง กรณีสิทธิในที่ดินพิพาทไม่ชัดเจน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขออ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของ ผ. บิดาผู้วายชนม์ของผู้ร้องสอดไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินพิพาทฟ้องโจทก์เป็นการสอดเข้ามาเกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน ของผู้อื่นโดยมิชอบและเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องสอดผู้ร้องสอดจึงร้องขอเข้ามาในคดีเพื่อให้ได้รับการรับรอง และคุ้มครองมิให้โจทก์เข้ามาก้าวล่วงสิทธิของผู้ร้องสอด โดยขอเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามและขอให้ ยกฟ้องโจทก์ ดังนี้ คำร้องของผู้ร้องสอดไม่ได้กล่าวอ้างถึงสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินพิพาทเลยว่า ผู้ร้องสอดมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสียอย่างไรบ้าง และไม่ปรากฏจากคำร้องว่าสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่โจทก์ฟ้องบังคับให้รื้อถอนนั้นเป็นส่วนควบกับที่ดินพิพาทหรือไม่ ทั้งไม่มีคำขอบังคับเกี่ยวกับที่ดินพิพาทที่ผู้ร้องสอดอ้างว่าถูกโต้แย้งสิทธิมาด้วย การฟ้องคดีของโจทก์จึงไม่มีผลกระทบต่อสิทธิของผู้ร้องสอดหากจะพึงมี คำร้องของผู้ร้องสอดจึงยังไม่มีความจำเป็นเพื่อให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3665/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยร่วมขอเข้าเป็นจำเลยร่วมตามมาตรา 57(2) ไม่อาจใช้สิทธิฟ้องแย้งได้ หากจำเลยไม่ฟ้องแย้ง
ตามคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมของจำเลยร่วมอ้างว่าจำเลยและท.มารดาของจำเลยร่วมได้ร่วมกันซื้อที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากจ. มาตั้งแต่ปี2490แต่มิได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมหลังจากทำสัญญาซื้อขายแล้วจ.ได้ส่งมอบที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยและท. จำเลยและท.ได้ครอบครองใช้ทำประโยชน์ตลอดมาจนได้กรรมสิทธิ์แล้วโดยการครอบครองปรปักษ์ต่อมาท. ถึงแก่ความตายจำเลยร่วมผู้เป็นบุตรของท. จึงได้ครอบครองต่อซึ่งมีลักษณะเป็นเจ้าของร่วมมีฐานะเดียวกันกับจำเลยและในตอนท้ายของคำร้องก็ขอเข้าเป็นจำเลยร่วมจึงเป็นการร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา57(2)ไม่ใช่เป็นการเข้ามาในฐานะที่เป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามมาตรา57(1)เมื่อขอเข้ามาตามมาตรา57(2)จึงต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่จำเลยซึ่งเป็นคู่ความฝ่ายที่ตนเข้าร่วมเมื่อจำเลยให้การโดยมิได้ฟ้องแย้งจำเลยร่วมจึงไม่อาจใช้สิทธิฟ้องแย้งโจทก์ได้