พบผลลัพธ์ทั้งหมด 581 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 609/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจของผู้ซื้อจากการขายทอดตลาด: สิทธิในการขอเพิกถอนคำสั่งห้ามทำนิติกรรมในคดีที่มิได้เป็นคู่ความ
ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและเป็นผู้ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีหมายเลขแดงที่ 15111/2522 การที่เจ้าพนักงานที่ดินจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันไปในคดีที่ผู้ร้องซื้อทรัพย์มาจากการขายทอดตลาด ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งยกเลิกคำสั่งห้ามทำนิติกรรมชั่วคราวเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวในคดีนี้ ซึ่งผู้ร้องมิได้เป็นคู่ความหรือมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
เรื่องเกี่ยวกับอำนาจของผู้ร้องนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ศาลก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
เรื่องเกี่ยวกับอำนาจของผู้ร้องนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ศาลก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 609/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและการดำเนินการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขายทอดตลาด ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้ยกเลิกคำสั่งอายัดในคดีที่ไม่เกี่ยวข้อง
ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและเป็นผู้ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีหมายเลขแดงที่15111/2522 การที่เจ้าพนักงานที่ดินจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันไปในคดีที่ผู้ร้องซื้อทรัพย์มาจากการขายทอดตลาด ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งยกเลิกคำสั่งห้ามทำนิติกรรมชั่วคราวเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวในคดีนี้ ซึ่งผู้ร้องมิได้เป็นคู่ความหรือมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
เรื่องเกี่ยวกับอำนาจของผู้ร้องนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ศาลก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
เรื่องเกี่ยวกับอำนาจของผู้ร้องนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ศาลก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3169/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชี้สองสถาน, ประเด็นข้อพิพาท, การซื้อขายทอดตลาด, สิทธิในทรัพย์สิน, การวินิจฉัยนอกประเด็น
ผู้ร้องสอดร้องเข้ามาเป็นจำเลยร่วม จึงมีฐานะเช่นเดียวกับจำเลยดังนั้นเมื่อผู้ร้องสอดยื่นคำให้การแล้ว โจทก์จึงไม่จำต้องยื่นคำคัดค้านคำให้การของผู้ร้องสอดอีกกรณีย่อมถือได้ว่าคำฟ้องของโจทก์คือคำคัดค้านคำให้การของผู้ร้องสอดอยู่ในตัว
เอกสารท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องศาลย่อมหยิบยกเอาเอกสารท้ายฟ้องมาวินิจฉัยคดีโดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องได้
ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานในวันที่ 3 ตุลาคม 2522 และกำหนดประเด็นพิพาท 3 ข้อคือ ข้อแรก จำเลยอยู่ในตึกและที่ดินที่เป็นของโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ข้อสองโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่พิพาทแล้วหรือไม่ ข้อสามโจทก์เสียหายเพียงใดหรือไม่ หลังจากนั้นผู้ร้องสอดจึงยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นจำเลยร่วมเมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตแล้ว ผู้ร้องสอดจึงได้ยื่นคำให้การ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2522 ต่อมาวันที่ 4 ธันวาคม 2522 อันเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า'ศาลได้พิเคราะห์คำให้การจำเลยร่วมแล้วเห็นว่าจำเลยร่วมต่อสู้ในประเด็นที่ว่าตึกและที่ดินรายพิพาทมิได้เป็นของโจทก์ทำนองเดียวกับที่จำเลยได้ต่อสู้ไว้แล้วเป็นแต่จำเลยร่วมยกข้อต่อสู้เพิ่มขึ้นอีกข้อหนึ่งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมจึงให้เพิ่มประเด็นข้อพิพาทขึ้นอีกข้อหนึ่งเป็นข้อที่สี่ว่าฟ้องโจทก์'เคลือบคลุมหรือไม่'การดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวของศาลชั้นต้นมิใช่เป็นการชี้สองสถานดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 เพราะศาลกำหนดเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ มิใช่วันนัดชี้สองสถานทั้งไม่ปรากฏว่าศาลได้ตรวจคำฟ้องของโจทก์เทียบกับคำให้การของผู้ร้องสอดหรือไม่ประเด็นเรื่องสิทธิของโจทก์ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดเสียไปหรือไม่จึงยังคงมีอยู่ทั้งการที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่าประเด็นข้อนี้เป็นประเด็นเดียวกับประเด็นที่ว่าตึกและที่ดินพิพาทมิได้เป็นของโจทก์ทำนองเดียวกับที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้นั้นก็ไม่ถูกต้อง เพราะจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าตึกและที่ดินพิพาทมิใช่ของโจทก์ระหว่างโจทก์จำเลยจึงไม่มีประเด็นพิพาทว่าตึกและที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ดังนั้นศาลชั้นต้นจึงกำหนดประเด็นพิพาทระหว่างโจทก์และผู้ร้องสอดไม่ตรงตามคำฟ้องและคำให้การแต่ปรากฏว่าโจทก์และผู้ร้องสอดได้นำสืบในประเด็นข้อนี้ครบถ้วนและศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้แล้วที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยข้อนี้จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
เอกสารท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องศาลย่อมหยิบยกเอาเอกสารท้ายฟ้องมาวินิจฉัยคดีโดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องได้
ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานในวันที่ 3 ตุลาคม 2522 และกำหนดประเด็นพิพาท 3 ข้อคือ ข้อแรก จำเลยอยู่ในตึกและที่ดินที่เป็นของโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ข้อสองโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่พิพาทแล้วหรือไม่ ข้อสามโจทก์เสียหายเพียงใดหรือไม่ หลังจากนั้นผู้ร้องสอดจึงยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นจำเลยร่วมเมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตแล้ว ผู้ร้องสอดจึงได้ยื่นคำให้การ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2522 ต่อมาวันที่ 4 ธันวาคม 2522 อันเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า'ศาลได้พิเคราะห์คำให้การจำเลยร่วมแล้วเห็นว่าจำเลยร่วมต่อสู้ในประเด็นที่ว่าตึกและที่ดินรายพิพาทมิได้เป็นของโจทก์ทำนองเดียวกับที่จำเลยได้ต่อสู้ไว้แล้วเป็นแต่จำเลยร่วมยกข้อต่อสู้เพิ่มขึ้นอีกข้อหนึ่งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมจึงให้เพิ่มประเด็นข้อพิพาทขึ้นอีกข้อหนึ่งเป็นข้อที่สี่ว่าฟ้องโจทก์'เคลือบคลุมหรือไม่'การดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวของศาลชั้นต้นมิใช่เป็นการชี้สองสถานดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 เพราะศาลกำหนดเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ มิใช่วันนัดชี้สองสถานทั้งไม่ปรากฏว่าศาลได้ตรวจคำฟ้องของโจทก์เทียบกับคำให้การของผู้ร้องสอดหรือไม่ประเด็นเรื่องสิทธิของโจทก์ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดเสียไปหรือไม่จึงยังคงมีอยู่ทั้งการที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่าประเด็นข้อนี้เป็นประเด็นเดียวกับประเด็นที่ว่าตึกและที่ดินพิพาทมิได้เป็นของโจทก์ทำนองเดียวกับที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้นั้นก็ไม่ถูกต้อง เพราะจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าตึกและที่ดินพิพาทมิใช่ของโจทก์ระหว่างโจทก์จำเลยจึงไม่มีประเด็นพิพาทว่าตึกและที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ดังนั้นศาลชั้นต้นจึงกำหนดประเด็นพิพาทระหว่างโจทก์และผู้ร้องสอดไม่ตรงตามคำฟ้องและคำให้การแต่ปรากฏว่าโจทก์และผู้ร้องสอดได้นำสืบในประเด็นข้อนี้ครบถ้วนและศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้แล้วที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยข้อนี้จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3129/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องสอดเป็นฟ้องซ้อน: สิทธิสินสมรสและการฉ้อฉลสัญญาเช่า
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์แล้วผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่า โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าแล้วขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ผู้ร้องยื่นคำร้องสอดว่าผู้ร้องเป็นภรรยาของจำเลย ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นสินสมรสผู้ร้องมีส่วนเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง จำเลยนำไปขายฝากโดยผู้ร้องไม่ทราบ เมื่อผู้ร้องทราบได้ฟ้องจำเลยขอให้ลงชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดินพิพาทคดีอยู่ระหว่างพิจารณา ก่อนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทจะหลุดเป็นสิทธิแก่โจทก์ผู้ร้องได้ขอไถ่การขายฝากแต่โจทก์ไม่ให้ไถ่ ผู้ร้องได้ฟ้องโจทก์และจำเลยว่าสมคบกันไม่ยอมให้ผู้ร้องไถ่ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา และที่จำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์เป็นการฉ้อฉลโดยจำเลยมีเจตนาจะให้ผิดสัญญาเพื่อโจทก์จะได้ฟ้องขับไล่จำเลยกับบริวารคือผู้ร้อง จึงขอร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยเพื่อขอให้ศาลรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) คำร้องสอดของผู้ร้องดังกล่าวเป็นการตั้งสิทธิเข้ามาในฐานะเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม เป็นปฏิปักษ์แก่ทั้งโจทก์และจำเลย หาใช่เข้ามาเพียงเป็นจำเลยต่อสู้คดีกับโจทก์โดยเฉพาะไม่ซึ่งถ้าศาลรับคำร้องสอดไว้ โจทก์จำเลยก็ต้องให้การแก้คำร้องสอด คำร้องสอดของผู้ร้องจึงเป็นคำฟ้อง และผู้ร้องอยู่ในฐานะเป็นโจทก์ ทั้งสิทธิที่ผู้ร้องอ้างว่าถูกโจทก์จำเลยโต้แย้งนี้ ผู้ร้องได้ฟ้องโจทก์จำเลยต่อศาลไว้ก่อน คดีอยู่ระหว่างพิจารณา คำร้องสอดของผู้ร้องจึงเป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา173(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3129/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องสอดเป็นฟ้องซ้อน: สิทธิเจ้าของร่วมสินสมรสถูกโต้แย้งในคดีขับไล่
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์แล้วผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่า โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าแล้วขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ผู้ร้องยื่นคำร้องสอดว่าผู้ร้องเป็นภรรยาของจำเลย ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นสินสมรสผู้ร้องมีส่วนเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง จำเลยนำไปขายฝากโดยผู้ร้องไม่ทราบ เมื่อผู้ร้องทราบได้ฟ้องจำเลยขอให้ลงชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดินพิพาทคดีอยู่ระหว่างพิจารณา ก่อนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทจะหลุดเป็นสิทธิแก่โจทก์ผู้ร้องได้ขอไถ่การขายฝากแต่โจทก์ไม่ให้ไถ่ ผู้ร้องได้ฟ้องโจทก์และจำเลยว่าสมคบกันไม่ยอมให้ผู้ร้องไถ่ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา และที่จำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์เป็นการฉ้อฉลโดยจำเลยมีเจตนาจะให้ผิดสัญญาเพื่อโจทก์จะได้ฟ้องขับไล่จำเลยกับบริวารคือผู้ร้อง จึงขอร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยเพื่อขอให้ศาลรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) คำร้องสอดของผู้ร้องดังกล่าวเป็นการตั้งสิทธิเข้ามาในฐานะเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม เป็นปฏิปักษ์แก่ทั้งโจทก์และจำเลย หาใช่เข้ามาเพียงเป็นจำเลยต่อสู้คดีกับโจทก์โดยเฉพาะไม่ซึ่งถ้าศาลรับคำร้องสอดไว้ โจทก์จำเลยก็ต้องให้การแก้คำร้องสอด คำร้องสอดของผู้ร้องจึงเป็นคำฟ้อง และผู้ร้องอยู่ในฐานะเป็นโจทก์ ทั้งสิทธิที่ผู้ร้องอ้างว่าถูกโจทก์จำเลยโต้แย้งนี้ ผู้ร้องได้ฟ้องโจทก์จำเลยต่อศาลไว้ก่อน คดีอยู่ระหว่างพิจารณา คำร้องสอดของผู้ร้องจึงเป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา173(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2617/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบุคคลภายนอกในคดีประนีประนอมยอมความ: สิทธิในการโต้แย้งและการดำเนินคดีใหม่
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้นำเอาสิทธิการทำเหมืองแร่มาจับสลากแบ่งปันกัน โจทก์เป็นฝ่ายจับสลากได้ศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว ดังนี้ ผู้ร้องจะร้องต่อศาลขอให้สั่งเพิกถอนการปฏิบัติของคู่ความตามสัญญาประนีประนอมยอมความและเพิกถอนคำพิพากษาตามยอม โดยอ้างว่าสิทธิการทำเหมืองแร่พิพาทเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องไม่ใช่ คู่ความในคดี ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความและ คำพิพากษาตามยอมไม่ ผูกพันผู้ร้อง หาได้ไม่ หากผู้ร้องเห็นว่าการกระทำใด ๆ ของคู่ความเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้อง ผู้ร้องก็ชอบที่จะว่ากล่าวกันเป็นคดีใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2617/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบุคคลภายนอกสัญญาประนีประนอม: ห้ามร้องเพิกถอนคำพิพากษาตามยอม ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้นำเอาสิทธิการทำเหมืองแร่มาจับสลากแบ่งปันกัน โจทก์เป็นฝ่ายจับสลากได้ศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว ดังนี้ ผู้ร้องจะร้องต่อศาลขอให้สั่งเพิกถอนการปฏิบัติของคู่ความตามสัญญาประนีประนอมยอมความและเพิกถอนคำพิพากษาตามยอมโดยอ้างว่าสิทธิการทำเหมืองแร่พิพาทเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องไม่ใช่ คู่ความในคดี ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความและ คำพิพากษาตามยอมไม่ ผูกพันผู้ร้อง หาได้ไม่ หากผู้ร้องเห็นว่าการกระทำใด ๆ ของคู่ความเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องผู้ร้องก็ชอบที่จะว่ากล่าวกันเป็นคดีใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2330/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งสินสมรสก่อน/หลังใช้ พ.ร.บ. บรรพ 5 และอายุความมรดก กรณีสามีภรรยาไม่ได้จดทะเบียนสมรส
ผู้ร้องสอดกับ ล. สมรสกันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 ดังนั้น หากมีข้อกล่าวอ้างถึงความสมบูรณ์ในเรื่องการสมรสหรือการหย่าขึ้นหลังจากได้มีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5ใช้บังคับแล้ว การสมรสหรือการหย่าจะมีผลสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้ปฏิบัติการให้เป็นไปตามบทกฎหมายขณะที่ใช้อยู่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องสอดกับ ล. มิได้จดทะเบียนหย่าให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1499 ข้ออ้างการหย่าที่จำเลยยกขึ้นอ้างจึงไม่มีผลตามกฎหมายแม้จะได้ความว่าคู่สมรสจะได้เลิกร้างแยกกันอยู่ ก็หาทำให้การเป็นสามีภรรยาของคู่สมรสขาดจากกันไม่
ที่ดินโฉนดพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องสอดกับ ล.ที่ไม่ได้มีการแบ่งแยกกันมาก่อน ต่อมา ล. ถึงแก่ความตายความเป็นสามีภรรยาระหว่างคนทั้งสองย่อมขาดจากกันนับแต่วันที่ ล. ตาย สินสมรสจึงต้องแยกจากกันและการแบ่งสินสมรสสำหรับบุคคลทั้งสอง แม้จะเป็นกรณีพิพาทกันหลังจากมีพระราชบัญญัติให้ใช้บัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ใช้บังคับแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนกับการสมรสและความสัมพันธ์ในครอบครัวอันเกิดแก่การสมรสนั้นๆ ซึ่งได้มีอยู่ก่อนวันใช้ประมวลกฎหมายบรรพนี้ ตามมาตรา 4(1) ของพระราชบัญญัติดังกล่าว การแบ่งสินสมรสของคนทั้งสองจึงต้องเป็นไปตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องสอดเป็นฝ่ายที่มีสินเดิมมาฝ่ายเดียวล. ไม่มีสินเดิมที่ดินตามโฉนดพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสจึงตกได้แก่ผู้ร้องสอดผู้เป็นสามีแต่ฝ่ายเดียวไม่เหลือตกเป็นมรดกของ ล.ผู้ตายไว้เลย ด้วยเหตุนี้ผู้ร้องสอดจึงไม่อยู่ในข่ายการนับอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 คดีของผู้ร้องสอดจึงไม่ขาดอายุความ
ที่ดินโฉนดพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องสอดกับ ล.ที่ไม่ได้มีการแบ่งแยกกันมาก่อน ต่อมา ล. ถึงแก่ความตายความเป็นสามีภรรยาระหว่างคนทั้งสองย่อมขาดจากกันนับแต่วันที่ ล. ตาย สินสมรสจึงต้องแยกจากกันและการแบ่งสินสมรสสำหรับบุคคลทั้งสอง แม้จะเป็นกรณีพิพาทกันหลังจากมีพระราชบัญญัติให้ใช้บัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ใช้บังคับแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนกับการสมรสและความสัมพันธ์ในครอบครัวอันเกิดแก่การสมรสนั้นๆ ซึ่งได้มีอยู่ก่อนวันใช้ประมวลกฎหมายบรรพนี้ ตามมาตรา 4(1) ของพระราชบัญญัติดังกล่าว การแบ่งสินสมรสของคนทั้งสองจึงต้องเป็นไปตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องสอดเป็นฝ่ายที่มีสินเดิมมาฝ่ายเดียวล. ไม่มีสินเดิมที่ดินตามโฉนดพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสจึงตกได้แก่ผู้ร้องสอดผู้เป็นสามีแต่ฝ่ายเดียวไม่เหลือตกเป็นมรดกของ ล.ผู้ตายไว้เลย ด้วยเหตุนี้ผู้ร้องสอดจึงไม่อยู่ในข่ายการนับอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 คดีของผู้ร้องสอดจึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2330/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สินสมรสก่อน-หลัง บรรพ 5, การหย่า, อายุความมรดก: การแบ่งสินสมรสต้องเป็นไปตามกฎหมายก่อน/หลังใช้ บรรพ 5, การหย่าโดยไม่ได้จดทะเบียน, และอายุความมรดก
ผู้ร้องสอดกับ ล. สมรสกันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 ดังนั้น หากมีข้อกล่าวอ้างถึงความสมบูรณ์ในเรื่องการสมรสหรือการหย่าขึ้นหลังจากได้มีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ใช้บังคับแล้ว การสมรสหรือการหย่าจะมีผลสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้ปฏิบัติการให้เป็นไปตามบทกฎหมายขณะที่ใช้อยู่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องสอดกับ ล. มิได้จดทะเบียนหย่าให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1499 ข้ออ้างการหย่าที่จำเลยยกขึ้นอ้างจึงไม่มีผลตามกฎหมาย แม้จะได้ความว่าคู่สมรสจะได้เลิกร้างแยกกันอยู่ ก็หาทำให้การเป็นสามีภรรยาของคู่สมรสขาดจากกันไม่
ที่ดินโฉนดพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องสอดกับ ล. ที่ไม่ได้มีการแบ่งแยกกันมาก่อน ต่อมา ล. ถึงแก่ความตาย ความเป็นสามีภรรยาระหว่างคนทั้งสองย่อมขาดจากกันนับแต่วันที่ ล. ตาย สินสมรสจึงต้องแยกจากกันและการแบ่งสินสมรสสำหรับบุคคลทั้งสอง แม้จะเป็นกรณีพิพาทกันหลังจากมีพระราชบัญญัติให้ใช้บัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ใช้บังคับแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนกับการสมรสและความสัมพันธ์ในครอบครัวอันเกิดแก่การสมรสนั้นๆ ซึ่งได้มีอยู่ก่อนวันใช้ประมวลกฎหมาย บรรพนี้ ตามมาตรา 4(1) ของพระราชบัญญัติดังกล่าว การแบ่งสินสมรสของคนทั้งสองจึงต้องเป็นไปตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องสอดเป็นฝ่ายที่มีสินเดิมมาฝ่ายเดียว ล. ไม่มีสินเดิมที่ดินตามโฉนดพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสจึงตกได้แก่ผู้ร้องสอดผู้เป็นสามีแต่ฝ่ายเดียวไม่เหลือตกเป็นมรดกของ ล. ผู้ตายไว้เลย ด้วยเหตุนี้ผู้ร้องสอดจึงไม่อยู่ในข่ายการนับอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 คดีของผู้ร้องสอดจึงไม่ขาดอายุความ
ที่ดินโฉนดพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องสอดกับ ล. ที่ไม่ได้มีการแบ่งแยกกันมาก่อน ต่อมา ล. ถึงแก่ความตาย ความเป็นสามีภรรยาระหว่างคนทั้งสองย่อมขาดจากกันนับแต่วันที่ ล. ตาย สินสมรสจึงต้องแยกจากกันและการแบ่งสินสมรสสำหรับบุคคลทั้งสอง แม้จะเป็นกรณีพิพาทกันหลังจากมีพระราชบัญญัติให้ใช้บัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ใช้บังคับแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนกับการสมรสและความสัมพันธ์ในครอบครัวอันเกิดแก่การสมรสนั้นๆ ซึ่งได้มีอยู่ก่อนวันใช้ประมวลกฎหมาย บรรพนี้ ตามมาตรา 4(1) ของพระราชบัญญัติดังกล่าว การแบ่งสินสมรสของคนทั้งสองจึงต้องเป็นไปตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องสอดเป็นฝ่ายที่มีสินเดิมมาฝ่ายเดียว ล. ไม่มีสินเดิมที่ดินตามโฉนดพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสจึงตกได้แก่ผู้ร้องสอดผู้เป็นสามีแต่ฝ่ายเดียวไม่เหลือตกเป็นมรดกของ ล. ผู้ตายไว้เลย ด้วยเหตุนี้ผู้ร้องสอดจึงไม่อยู่ในข่ายการนับอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 คดีของผู้ร้องสอดจึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2199/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการร้องสอดของเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินที่ถูกโต้แย้ง ผู้ร้องสอดมีสิทธิเลือกร้องสอดเป็นคู่ความฝ่ายที่สามหรือโจทก์ร่วม
ผู้ร้องสอดกับโจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามโฉนดตราจอง ร่วมกันซึ่งรวมทั้งที่พิพาทด้วย เมื่อจำเลยและจำเลยร่วมโต้แย้งสิทธิในที่พิพาทผู้ร้องสอดย่อมมีสิทธิร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ เพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ ส่วนจะร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) หรือเข้าเป็นโจทก์ร่วมตามมาตรา57(2) ย่อมเป็นสิทธิของผู้ร้องสอดที่จะเลือก